ตอนที่ 347 ควบคุมสถานการณ์

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 347 ควบคุมสถานการณ์

“คุณหนูสี่…” เจี่ยงหมัวมัวตะลึงพลางหันไปถามไป๋ชิงเหยียน “คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่จะไปที่ใดกันเจ้าคะ”

“ลำบากท่านย่าแสดงละครฉากนี้ทั้งที เราต้องทำให้มันเกิดผลประโยชน์มากที่สุดสิ”

เจี่ยงหมัวมัวพยักหน้า นางเกลียดตระกูลบรรพบุรุษไป๋เข้ากระดูกดำเช่นเดียวกัน

“องค์หญิงใหญ่เชิญคุณหนูใหญ่เข้าไปด้านในเจ้าค่ะ…” เจี่ยงหมัวมัวรีบแหวกม่านให้ไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนเดินอ้อมฉากกั้นเข้าไปด้านใน ทำความเคารพองค์หญิงใหญ่จากนั้นนั่งลงถัดจากท่าน องค์หญิงใหญ่กล่าวขึ้น “อย่าเพิ่งถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษตอนนี้ ย่ารู้ว่าเจ้าไม่สนใจชื่อเสียงของตัวเอง แต่ย่าสนใจ ท่านแม่ของเจ้าก็สนใจ!”

ไป๋ชิงเหยียนมองไปทางองค์หญิงใหญ่ แผ่นหลังของท่านโค้งงอเล็กน้อย ผมสีขาวโพลนถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ หญิงสาวพยักหน้า “ท่านย่าคิดว่าเมื่อใดถึงจะเหมาะสมเจ้าคะ”

“ย่ารู้เรื่องที่เจ้าทำตอนกลับไปยังซั่วหยางแล้ว เจ้าจงจำไว้ว่าคนส่วนใหญ่มักเห็นใจผู้ที่อ่อนแอกว่า รอให้ข่าวเรื่องที่ตระกูลบรรพบุรุษบังคับให้ตระกูลไป๋ใช้อำนาจกดดันทางการให้ยอมปล่อยตัวลูกหลานของเขาออกจากคุกจนทำให้องค์หญิงใหญ่โกรธจนกระอักเลือดแพร่ออกไปก่อน ตระกูลไป๋จากเมืองหลวงค่อยถอนตัวออกจากตระกูลบรรพบุรุษ ถึงตอนนั้นทุกคนจะคิดว่าตระกูลบรรพบุรุษเหิมเกริม บีบบังคับจนตระกูลไป๋ไม่มีทางเลือกจึงต้องตัดสินใจเช่นนี้”

องค์หญิงใหญ่กล่าวสอนอย่างใจเย็น “ทว่า พวกเราไม่ได้มีแค่การถอนตัวออกจากตระกูลไป๋ทางเดียวเท่านั้น หลังจากเจ้ากลับไปซั่วหยาง เจ้าสามารถใช้ฐานะจวิ้นจู่ของเจ้าเรียกประชุมตระกูลไป๋ให้ขับไล่ผู้ที่ทำผิดออกจากตระกูลได้! จากนั้นคัดเลือกประมุขไป๋คนใหม่ที่เคารพยำเกรงเจ้า เช่นนี้ตระกูลบรรพบุรุษจะกลายเป็นคนของเจ้า คนถ่อยก็มีประโยชน์ที่ใช้งานได้ ขอแค่เลือกใช้งานอย่างเหมาะสม มันจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลไป๋เอง”

ไม่ใช่ว่าองค์หญิงใหญ่เสียดายตระกูลบรรพบุรุษไป๋เช่นนี้ ทว่า ในเมื่อสตรีของตระกูลไป๋จะย้ายกลับไปอยู่ซั่วหยางแล้ว หากมีคนคอยช่วยเหลือมากขึ้นถือเป็นเรื่องดี

“ท่านย่ากล่าวได้ตรงใจข้ายิ่งนักเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ตระกูลบรรพบุรุษมีคนถ่อยอยู่มากมาย คนเหล่านี้ชอบแทงข้างหลังผู้อื่น วางแผนร้ายทำลายผู้อื่น นอกจากจะสังหารให้เกลี้ยง มิเช่นนั้นเก็บไว้มีแต่จะเป็นภัยในภายภาคหน้า ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ได้มีรากฐานที่แข็งแรงอยู่ที่ซั่วหยาง หากสามารถกำจัดกาฝากที่เกาะติดตระกูลไป๋ออกไปได้ เหลือไว้เพียงคนที่สามารถใช้งานได้ ถึงเวลานั้นให้พวกเขาทะเลาะกันเอง เราจะได้มีเวลาไปจัดการเรื่องอื่นได้เจ้าค่ะ”

องค์หญิงใหญ่ชะงักมือที่นับลูกประคำอยู่ หันไปมองไป๋ชิงเหยียนด้วยดวงตาสั่นไหว “เรื่องอื่นอย่างนั้นหรือ”

ไป๋ชิงเหยียนกำมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น พยักหน้าน้อยๆ “วันนี้เซียวเซียนเซิงมาที่จวนเพื่อบอกว่าใบชาขาวที่ส่งไปขายยังต้าเหลียงของเขาถูกโจรปล้นเจ้าค่ะ เขาขอความช่วยเหลือจากองค์รัชทายาท ทว่า พระองค์ตรัสว่าบัดนี้เยี่ยนว่อประสบปัญหาความอดอยาก ต้าเหลียงจ้องจะก่อสงครามกับต้าจิ้น ดังนั้นจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องโจรป่า ตอนที่ข้าจะกลับมาเมืองหลวง เจ้าเมืองซั่วหยางอยากจะส่งคนมาคุ้มกันข้า กล่าวว่ามีโจรป่าอยู่แถวนั้น คนแถวนั้นถูกปล้นกันเกือบหมด รวมถึงบุตรชายของประมุขไป๋ด้วยเจ้าค่ะ!”

“ข้ากลัวว่าหากปล่อยให้โจรเหล่านั้นเหิมเกริมเช่นนี้ต่อไปชาวบ้านอาจเดือดร้อนได้ ดังนั้นเพื่อป้องกันเรื่องนี้ ข้าจึงตั้งใจจะฝึกซ้อมชาวบ้าน ภายภาคหน้าอาจช่วยราชสำนักปราบปรามโจรกลุ่มนี้ได้เจ้าค่ะ ถือว่าเป็นการฝึกฝนร่างกายของชาวบ้านให้แข็งแรง หากราชสำนักยังไม่มีเวลาส่งคนมาปราบปรามโจรเหล่านี้ ข้าไม่มีทางทนเห็นพวกมันรังแกหรือทำร้ายชาวบ้านได้เจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวอย่างจริงจัง

องค์หญิงใหญ่มองไป๋ชิงเหยียนนิ่งๆ จากนั้นพยักหน้า ดวงตาร้อนผ่าวเล็กน้อย หลานสาวของนางคนนี้ช่างเหมือนกับไป๋เวยถิงมากจริงๆ คิดว่าความสุขของใต้หล้าคือหน้าที่ของตัวเอง

ไป๋ชิงเหยียนรู้ดีว่าท่านย่าของนางยังหวาดระแวงในตัวนางอยู่ ดังนั้นเทียบกับการลอบสั่งสมกำลังทหารแล้วท่านย่ามารู้ภายหลัง ไม่สู้นางสารภาพออกไปตั้งแต่แรกจะดีกว่า ผู้ที่มีฐานะสูงส่งเคยชินกับการเป็นคนควบคุมสถานการณ์ หยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีของตัวเอง

มีเพียงสารภาพความจริงกับท่านย่า องค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งผู้นี้จึงจะคิดว่าตนเองควบคุมสถานการณ์อยู่ เมื่อท่านไว้ในใจตัวนาง ภายภาคหน้าจะได้ไม่หวาดระแวงนางมากนัก

ทว่า หากวันหนึ่งท่านย่าพบว่านางลอบสั่งสมกำลังทหารของตัวเองไม่ใช่เพื่อราชสำนัก นางและท่านย่าต้องกลายเป็นศัตรูกันอย่างแน่นอน

แม้ทั้งคู่ต้องการปกป้องตระกูลไป๋เหมือนกัน ทว่า ท่านย่าของนางต้องการให้ตระกูลไป๋สวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์หลินเท่านั้น

“จิ่นเซ่อคล้ายเจ้ามาก…”

องค์หญิงใหญ่นึกถึงเรื่องที่ไป๋จิ่นเซ่อมาคุกเข่าขอร้องให้ตนอยู่ร่ำเรียนวิชาแพทย์ต่อกับแม่นางหลูที่เมืองหลวง มองดูไป๋จิ่นเซ่อ องค์หญิงใหญ่อดนึกถึงไป๋ชิงเหยียนยามเด็กขึ้นมาไม่ได้ รู้ว่าตัวเองต้องการสิ่งใด ฉลาดเกินวัย

“ทายาทตระกูลไป๋ไม่ว่าหญิงหรือชายล้วนคล้ายกันเจ้าค่ะ” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวกับองค์หญิงใหญ่

องค์หญิงใหญ่พยักหน้ายิ้มๆ จากนั้นแววตาก็สลดลงเล็กน้อย “นั่นสินะ ทายาทตระกูลไป๋ล้วนเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเป็นท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านอาของเจ้าหรือแม้แต่ซู่ชิว รวมถึงเด็กที่เหลืออยู่ตอนนี้ด้วย…”

แต่งงานเข้าตระกูลไป๋ นางปกป้องบุตรของตัวเองไว้ไม่ได้แม้แต่คนเดียว

องค์หญิงใหญ่ไม่เคยปกปิดสภาพแก่ชราของตัวเองเมื่ออยู่ต่อหน้าไป๋ชิงเหยียน ถึงแม้จะรัดผมรวบตึง ร่างกายมีบารมีและพลังที่น่าเกรงขาม ทว่า เมื่อผ่อนคลายหลังจากตระกูลบรรพบุรุษจากไป กลับส่อแววอ่อนล้าและเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

“หมอหลวงใกล้มาถึงแล้ว อาเป่า…พยุงย่าเข้าไปด้านในเถิด” องค์หญิงใหญ่ยื่นมือให้ไป๋ชิงเหยียน

ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นยืนพลางพยุงองค์หญิงใหญ่เข้าไปอย่างนอบน้อม ปลดที่คาดผมออกให้ จากนั้นพยุงให้ท่านเอนกายลงนอน

ไป๋จิ่นจื้อเริ่มอาละวาดที่หน้าประตูจวน ต่อว่าตระกูลบรรพบุรุษเนรคุณ บีบบังคับให้ท่านย่าและพี่หญิงใหญ่ของนางใช้ฐานะการเป็นองค์หญิงใหญ่และจวิ้นจู่กดดันให้ทางการปล่อยตัวทายาทตระกูลไป๋ที่ทำผิดโทษฐานฆ่าคนแย่งชิงกิจการของผู้อื่น ฉุดคร่าหญิงสาว ออกมาจากคุก! ท่านย่าและพี่หญิงใหญ่ไม่ยอมทำตาม พวกเขาจึงบีบคั้นจนองค์หญิงใหญ่โมโหจนกระอักเลือด

ไป๋จิ่นจื้ออาละวาดขึ้นเช่นนี้ ชาวบ้านล้วนรับรู้กันทั่ว

เมื่อวานตระกูลบรรพบุรุษไป๋อาละวาดอยู่ที่หน้าจวนเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ กล่าวว่าจวิ้นจู่ไม่เคารพตระกูลบรรพบุรุษ ไม่ทำหน้าที่ในฐานะคนในตระกูล

วันนี้มีคนเห็นเจี่ยงหมัวมัวข้างกายขององค์หญิงใหญ่เชิญคนเหล่านี้เข้าไปด้านในอย่างนอบน้อม เหตุใดจึงยั่วโมโหจนองค์หญิงใหญ่กระอักเลือดเช่นนี้กัน!

นี่มัน…เหิมเกริมเกินไปแล้ว

“ทุกคนรู้ดีว่าอีกไม่นานพวกข้าจะย้ายกลับไปอยู่ซั่วหยาง พอจวนบรรพบุรุษเพิ่งซ่อมแซมเสร็จ พวกท่านก็ยึดครองไปเป็นของตัวเองใช่หรือไม่! พี่หญิงใหญ่ของข้าไม่อยากหักหน้าตระกูลบรรพบุรุษ กำลังคิดหาที่อยู่ใหม่ให้คนทั้งตระกูลอย่างปวดหัว แต่พวกท่านกลับมาบีบบังคับให้พี่หญิงใหญ่ใช้ความเป็นจวิ้นจู่กดดันให้นายอำเภอยอมปล่อยคนออกมาจากคุก!”

“ตระกูลไป๋ของข้าเห็นชาวบ้านเป็นดั่งสายเลือดเดียวกัน ผู้ที่ไม่เคารพชาวบ้าน ควรโดนลงโทษ! แม้แต่ข้าที่เคยฟาดแส้ใส่ชาวบ้านยังโดนโทษโบยเลย! ทายาทตระกูลบรรพบุรุษที่ทำร้ายชาวบ้านจนเสียชีวิต ยิ่งไม่อาจปล่อยไปได้ ติดหนี้ชำระหนี้ ฆ่าคนชดใช้ด้วยชีวิต นี่คือความยุติธรรม หลายปีมานี้ตระกูลไป๋ของพวกเราเมตตาตระกูลบรรพบุรุษอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่มีสิ่งใดต้องละอาย! ทว่า ตระกูลบรรพบุรุษปฏิบัติต่อสตรีตระกูลไป๋อย่างพวกเราเช่นไรกัน!”