ภาค 3 บทที่ 65

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 65 ที่เจ้าพูดข้าล้วนเข้าใจ
บทที่ 65 ที่เจ้าพูดข้าล้วนเข้าใจ
โดย
Ink Stone_Romance
ด้านในโรงหมอจิ่วหลิงเสียงหัวเราะของเด็กสาวดังขึ้น

เฉินชีหัวเราะฝืดเฝื่อนสองทีด้วย

“อย่าล้อเล่นส่งเดช” ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วเอ่ย

“ไม่ได้ล้อเล่นนะ” คุณหนูจวินหัวเราะเอ่ย มองจูจั้น “ถ้าคุณชายหนิงเอ่ยปากช้าอีกก้าว ท่านไม่ใช่ก็เป็นด้วยแล้วหรือ?”

จูจั้นแค่นเสียง

“คิดไปเองจริงๆ” เขาเอ่ย

เฉินชีรู้สึกว่าสมองของตนสับสนอยู่บ้าง ความจริงตั้งแต่เขาได้รู้ว่าจูจั้นลากสินสอดไปทุบประตูใหญ่กรมสืบสวนฝ่ายเหนือก็เริ่มเลอะเลือนแล้ว

เขารู้สึกว่าสองคนนี้หนึ่งถามหนึ่งตอบแปลกพิกลแต่ก็ไม่แปลกพิกล เพราะดูไปแล้วสองคนนี้ต่างรู้ว่าอีกฝ่ายพูดอะไร

พวกเขาที่แท้พูดอะไรกัน?

ฟางจิ่นซิ่วก็อึ้งไปเช่นกัน คิดดูนิดหนึ่งยังคงเข้าใจแล้ว

คำพูดของคุณหนูจวินฟังแล้วเป็นการตอบหนึ่งประโยค ที่จริงเป็นการตอบสองประโยค

“คนหนึ่งสหายตัวน้อยผู้ร่ำรวย คนหนึ่งคุณชายจอหงวนผู้มากความสามารถ ทำไมกลายเป็นสามีเจ้าหมดแล้วเล่า? เจ้าที่แท้มีสามีกี่คนกันฮะ?”

ประโยคนี้ที่จูจั้นเอ่ยถามเมื่อครู่ ข้างในประโยคนี้มีสองคำถาม ถามว่าทำไมคุณชายจอหงวนผู้มากความสามารถกลายเป็นสามีเจ้าได้ แล้วถามอีกว่าที่แท้เจ้ามีสามีกี่คน

คุณหนูจวินตอบว่ามีสามคน หมายความว่านับจูจั้นด้วยอีกคนหนึ่ง เพราะว่าเขาเวลานั้นก็จะพูดวาจาเช่นเดียวกับหนิงอวิ๋นเจาออกมาเช่นกัน

จูจั้นย่อมไม่ใช่สามีของนาง เขาทำไมต้องเอ่ยวาจาเช่นนั้นออกมา เช่นนั้นหนิงอวิ๋นเจาก็เป็นเพราะเหตุนั้นเช่นกัน

แต่หนิงอวิ๋นเจาเพราะอะไร?

ฟางจิ่นซิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง

หรือว่าก็เพราะพวกเขารู้จักกันเหมือนกัน

นางนึกถึงประโยคหนึ่งที่คุณหนูจวินเคยเอ่ยยามถูกถามว่าทำไมสนใจว่าหนิงอวิ๋นเจาจะสอบได้ที่เท่าไร

คุณหนูจวินลุกขึ้นยืนแล้ว คำนับจูจั้น

“ขอบคุณมาก” นางปรับสีหน้าเอ่ย

ไม่ว่าบ้าบอมากเท่าไร เหนือความคาดหมายของคนมากเท่าไร ไม่ว่าเรื่องนี้ได้ช่วยหรือไม่ วันนี้จูจั้นกับหนิงอวิ๋นเจาก็ไม่ลังเลสักนิดยืดอกก้าวออกมาต่อหน้าผู้คน เพียงพอควรค่าขอบคุณแล้ว

ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีก็ค้อมกายคำนับเช่นกัน

จูจั้นรับการคำนับจากพวกเขาไม่หลบเลี่ยงสักนิด

แม้ฟางจิ่นซิ่วรู้สึกว่าไม่เหมาะสม แต่ก็รู้ว่าคุณหนูจวินมีความลับมากมายนัก ตัวอย่างเช่นกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงคนนี้ นางอ้างว่าไปต้มชาขอตัวออกมา ลากเฉินชีผู้ตัดใจออกมาไม่ลงออกมาด้วยกัน

ด้านในโถงเหลือเพียงคุณหนูจวินกับจูจั้นยืนประจันหน้ากัน

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” จูจั้นเอ่ย “เจ้าทำยังไงให้เขาเป็นบ้าขึ้นมา?”

เขาพูดมองประเมินคุณหนูจวิน

“เพียงแค่ชื่อชื่อเดียว ยังไม่ถึงขั้นนั้น”

ลู่อวิ๋นฉีเดิมทีก็เป็นคนบ้า เขาทำไมตั้งคำถามกับนาง หรือมั่นใจปานนั้นว่าหากไม่ใช่นางจงใจ ลู่อวิ๋นฉีไม่มีทางถูกยั่วโมโหจนเกาะติดนางปานนี้ได้?

ริมฝีปากของคุณหนูจวินผุดรอยยิ้มอีกครั้ง

เป็นคนฉลาดคนหนึ่งจริงๆ เขาพูดถูกแล้ว ที่ลู่อวิ๋นฉีถูกกระตุ้นจนบ้าคลั่งเช่นนี้ มีนางเป็นสาเหตุจริงๆ

“ตอนนั้นข้าจะทำเรื่องๆ หนึ่ง เพื่อเลี่ยงไม่ให้เขาค้นพบ” คุณหนูจวินเอ่ย มองจูจั้น “ข้าจึงตั้งใจหลอกล่อเขานิดหน่อย”

จูจั้นสบถ

“ไหวอ๋องยังอยู่ดีไหม?” เขาพลันเอ่ยถาม

คุณหนูจวินอึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่ได้ถามนางว่าต้องการทำเรื่องอะไร ยิ่งไม่ถามว่านางทำสิ่งใดถึงหลอกล่อลู่อวิ๋นฉีได้ ถึงขนาดไม่แสดงอาการดูแคลนหรือประหลาดใจกับคำว่าหลอกล่อคำนี้

เขาถามถึงแค่ไหวอ๋อง

คุณหนูจวินยิ้มเล็กน้อยอีกครั้ง

เขาสนใจใส่ใจแค่สิ่งที่เขาใส่ใจสนใจเท่านั้น ตัวอย่างเช่นไหวอ๋องปลอดภัยหรือไม่ ตัวอย่างเช่นนางคุกคามความปลอดภัยของไหวอ๋องหรือไม่

“ไหวอ๋องสบายดี เมื่อวานปลูกฝีให้เขาแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย

จูจั้นสะบัดมือ หมุนตัวจะจากไป

นี่จะไปแล้วรึ คุณหนูจวินอดไม่ได้ร้องเรียกเขาไว้

“อะไร?” จูจั้นหันกลับมาท่าทางรำคาญ

คุณหนูจวินยิ้มตาหยีมองเขา

“ไม่อะไร” นางเอ่ย “ท่านกลับมาเมื่อไร? เวลาสั้นขนาดนี้ไปเจินติ้งไม่ถึงกระมัง? ไม่ได้ไปส่งเด็กๆ ตระกูลโจวพวกนั้นถึงเจินติ้งหรือ? หรือท่านฝากคนไปส่ง?”

จูจั้นหมุนตัวชูนิ้วขึ้นมาส่ายใส่นาง

“เอาอีกแล้ว” เขาเอ่ย “เรื่องของข้าเจ้าไม่ต้องยุ่ง เรื่องของเจ้าข้าก็ไม่ยุ่ง พวกเราแค่แลกเปลี่ยนกันครั้งหนึ่งเท่านั้น”

ข้อแลกเปลี่ยนนี่คือเจ้ารักษาไหวอ๋องหายดี เจ้าไม่ทำอันตรายไหวอ๋อง ข้าก็จะปกป้องชีวิตเจ้า ไม่ว่าเจ้ามาเพื่ออะไรแล้วต้องการทำสิ่งใด ขอเค่เจ้าไม่คุกคามถึงไหวอ๋องเท่านั้น

ทำไมเล่า? ทำไมเขาเป็นห่วงเป็นใยไหวอ๋องปานนี้? เฉิงกั๋วกงฝากมาหรือ?

ในเมืองหลวงแห่งนี้คนที่ต้องการผูกมิตรกับเฉิงกั๋วกงมากมายนัก คนที่ควรค่าให้เฉิงกั๋วกงห่วงใยก็มากมายนัก แต่ไหวอ๋องไม่น่าจะอยู่ในรายชื่อนั้น ไม่เพียงไม่คุ้มค่า ตรงกันข้ามกลับเป็นปัญหาชิ้นหนึ่ง เป็นสิ่งต้องห้าม

เฉิงกั๋วกงรึ

คุณหนูจวินมองจูจั้น จากบนใบหน้าหล่อเหลาของเขามองเค้าโครงหน้าของคนผู้นั้นออกอยู่เลือนราง

ท่าทางจูจั้นจะหน้าตาเหมือนมารดาของเขามากกว่ากระมัง หรือบางทีนางอาจจำหน้าตาของเฉิงกั๋วกงได้ไม่ชัดแล้ว อย่างไรก็พบหน้ากันแค่ไม่กี่ครั้งนั้น

“ทำไมท่านดีกับไหวอ๋องเช่นนี้?” นางอดไม่ได้เอ่ยถาม

“เกี่ยวอะไรกับเจ้า” จูจั้นเอ่ย ไม่ได้เอ่ยเตือน ไม่ได้ระแวง ยังคงโอหังไม่สนสิ่งใดเช่นเดิม พูดจบก็เดินไปทางข้างนอกอีกครั้ง

“เฮ้ ท่านจะไปแล้วรึ? ถ้าอย่างนั้นปัญหาของข้าจะทำอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

จูจั้นศีรษะก็ไม่หันกลับมา

“ไปหาสามีจอหงวนของเจ้าสิ” เขาเอ่ยเสียงดัง

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว มองเขาเดินออกจากโรงหมอจิ่วหลิง หายไปจากสายตา

บนถนนราตรีปกคลุม

คุณหนูจวินมองไปบนถนนอย่างเหม่อลอยเล็กน้อย ฟางจิ่วซิ่วเดินเข้ามาจากด้านหลัง

“ถ้าอย่างนั้นต่อไปจะทำอย่างไร?” นางเอ่ยถาม “ให้ข้ากับเฉินชีไปพบคุณชายหนิงสักหน่อย?”

คุณหนูจวินได้สติกลับมา ส่ายศีรษะ

“ไม่ต้อง รอเขามาหาพวกเราเถอะ” นางเอ่ย “น่าจะใกล้มาแล้ว”

นี่เรียกเรื่องอะไรกันหึ ฟางจิ่นซิ่วก็มองตามนางไปนอกประตูด้วย รู้สึกว่าสมองเลอะเลือนอยู่บ้าง พลันคุณหนูจวินที่อยู่ด้านข้างก็หัวเราะพรืด

“ทำไม?” นางรีบเอ่ยถาม “คิดอะไรได้?”

คุณหนูจวินมองนาง ยิ้ม

“คิดถึงที่เขาถามข้าว่ามีสามีกี่คน” นางเอ่ย

สับสนวุ่นวายอะไรกัน ฟางจิ่นซิ่วกลอกตา เวลาไหนแล้ว คิดบ้าอะไรอยู่

“เฉินชี ไปเชิญผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว” นางคร้านจะสนคุณหนูจวินอีก หมุนตัวร้องตะโกนเข้าไปข้างใน

คุณหนูจวินยิ้ม มองนางเดินออกไป

ที่จริง ไม่ใช่สามคน เป็นสามีสี่คน นางก้มศีรษะแบมือออก งอนิ้วโป้งลงไป

ราตรีปกคลุมโรงหมอจิ่วหลิง หลิ่วเอ๋อร์รวมถึงแม่ครัวจุดโคมไฟในห้องสว่าง บนโต๊ะวางข้าวปลาอาหารไว้ เพียงแต่ตอนนี้ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะทานอาหาร

ฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่ในโถงมองไปด้านนอกประตู

“ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วน่าจะไปไม่ไกลนัก หลายวันนี้เพราะเรื่องของลู่อวิ๋นฉี เขาไม่ออกจากบ้าน” นางหันกลับมาเอ่ย

คุณหนูจวินนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร

“บอกเขาคำเดียวว่าให้เขาไม่ต้องกังวลก็พอ” นางเอ่ย

ฟางจิ่นซิ่วกำลังจะพูดก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู

“กลับมาแล้ว” นางรีบมองไปอย่างดีใจ กลับเห็นเพียงคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

เท้าที่ก้าวเข้าไปต้อนรับของฟางจิ่นซิ่วหยุดชะงัก มองชายหนุ่มที่ยืนอยู่ใต้โคมท่ามกลางราตรี

“คุณชายหนิง” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย ลังเลนิดหนึ่งหลุบตาย่อเข่า

นี่เป็นครั้งแรกที่ฟางจิ่นซิ่วพบเขาแล้วเป็นฝ่ายคำนับ

หนิงอวิ๋นเจายิ้มคำนับกลับ

“ข้ามาคงไม่นับว่าสายเกินไปใช่ไหม” เขาเอ่ย มองไปทางด้านในห้อง

ความหมายของคำพูดนี้ฟางจิ่นซิ่วก็เข้าใจเหมือนกัน

เรื่องที่เกิดขึ้นหน้ากรมสืบสวนฝ่ายเหนือพวกนางย่อมต้องรู้แล้ว แน่นอนย่อมประหลาดใจมาก ไม่เข้าใจตั้งคำถาม แต่เขาคนกระทำคนนี้จนกระทั่งตอนนี้เพิ่งมา

คุณหนูจวินที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารลุกขึ้นมาแล้ว

“ไม่สาย” นางเอ่ย มองดูข้าวปลาอาหารบนโต๊ะนิดหนึ่ง “ยังไม่ได้ทานอาหารใช่ไหม?”

นางยิ้มให้เขา ยื่นมือทำท่าเชิญ

“ไม่สู้ทานไปด้วยคุยไปด้วย”

ไม่ว่าครั้งไหน คำพูดเปิดบทสนทนาของเด็กสาวคนนี้ หนิงอวิ๋นเจาก็รู้สึกว่าเหมาะสมสบายใจปานนั้นอยู่เสมอ

เขาก็ยิ้มด้วย

“เอาสิ” เขาเอ่ย ยกเท้าเดินเข้าไป

ทำไมกินข้าวด้วยกันแล้วเล่า?

ยอมพวกเขาแล้วจริงๆ

พวกเขานี่ไม่เพียงหมายถึงคุณหนูจวินกับหนิงอวิ๋นเจา ยังมีจูจั้นอีก สรุปก็คือพวกผู้ชายที่คบหากับคุณหนูจวินผู้นี้ พูดจากระทำสิ่งใดล้วนประหลาดพิกลไม่มีเหตุผลทำให้คนอับจนวาจา รวมถึงลู่อวิ๋นฉีคนนั้นด้วย

ฟางจิ่นซิ่วกลอกตา

……………………………………….