ตอนที่ 237 เขาไม่ได้มา

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 237 เขาไม่ได้มา
ตอนที่ 237 เขาไม่ได้มา

หลีจื่อฟานถึงกับประหลาดใจ รีบลุกขึ้นยืนและเข้าไปประคองเฉินจีซินให้ลุกขึ้นด้วยตนเอง “ฮูหยินอวี้ นี่ท่านทำอะไร?”

“ท่านเสนาบดี ท่านต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยนะเจ้าคะ” เฉินจีซินลุกขึ้นยืน ก่อนจะประคองอวี้ชิงโหรวที่เนื้อตัวสั่นเทาให้ลุกขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังบีบน้ำตาออกมาจากหางตาพร้อมสะอึกสะอื้น ท่าทางดูน่าสงสารมาก

เย่ฮ่าวหรานที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ถึงกับยิ้มอย่างห้ามไม่อยู่ เขาอยู่ที่นี่ก็ได้เห็นเรื่องสนุก ๆ จริง ๆ ด้วยสินะ

หลีจื่อฟานขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาฝึกฝนตนเองอยู่เสมอและชื่นชอบบรรยากาศสงบสุข ทุกครั้งที่เฉินจีซินมาที่จวนของเขา ก็จะทำตัวโหวกเหวกโวยวายเช่นนี้ตลอด จึงรู้สึกไม่ชอบจากก้นบึ้งของหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น วันนี้ยังมีท่านอ๋องแปดนั่งอยู่ในห้องโถงแห่งนี้ด้วย เหตุใดถึงได้ทำตัวไร้เหตุผลเช่นนี้?

เพียงแต่ ต่อให้ไม่ชอบมากกว่านี้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของจวนอวี้ เป็นท่านแม่ของชิงลั่ว ตอนนี้เขาได้เป็นเสนาบดีฝ่ายขวาแล้ว ย่อมต้องดูแลจวนอวี้ให้มาก

“ฮูหยินอวี้ มีอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถิด หากข้าช่วยเหลือได้ ย่อมช่วยเหลือโดยไม่ปฏิเสธ”

เย่ฮ่าวหรานแอบประหลาดใจ เสนาบดีฝ่ายขวาดูเหมือนจะไม่ได้วางตัวเย่อหยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าสองแม่ลูกเฉินจีซินเลย ไม่สิ ควรพูดว่า เขาดูเหมือนจะถ่อมตนและสุภาพต่อพวกนาง พูดคุยกับเฉินจีซินราวกับเป็นผู้น้อย

เสนาบดีฝ่ายขวาคนนี้ หรือว่าจะชอบอวี้ชิงโหรวจริง ๆ หลังจากนี้คิดจะแต่งงานกับอวี้ชิงโหรวจริง ๆ สินะ ถึงได้ให้ความสำคัญกับสองแม่ลูกคู่นี้เป็นพิเศษ ต่อให้พวกนางไร้มารยาท แต่เขากลับไม่ได้มีท่าทีตำหนิแม้แต่น้อย

ไม่หรอก เสนาบดีฝ่ายขวาเป็นคนฉลาดขนาดนี้ แต่กลับชอบอวี้ชิงโหรว? เหตุใดเขาถึงแยกแยะไม่ออกว่าอวี้ชิงโหรวเป็นคนอย่างไร และไม่เข้าใจว่าเฉินจีซินเป็นคนประเภทใด?

เย่ฮ่าวหรานครุ่นคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็แอบถอนหายใจอยู่ภายในใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสนาบดีฝ่ายขวามีวิสัยทัศน์เป็นเช่นไรกันแน่ ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ

“ท่านเสนาบดี” อวี้ชิงโหรวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น หางตาของนางแดงก่ำดูเหมือนอยากจะร้องไห้

หลีจื่อฟานชะงัก ครั้นเห็นบาดแผลที่หน้าผากของนาง ก็ถึงกับขมวดคิ้วเล็กน้อย “บาดแผลบนศีรษะของเจ้า ใครเป็นคนทำ?”

อวี้ชิงโหรวเห็นเขาถาม ดวงตาพลันอ่อนโยนลง สายตาแฝงด้วยความเขินอายขณะมองเขา ก้มหน้าลงแล้วส่ายหน้าช้า ๆ “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร ขอบคุณท่านเสนาบดีที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ”

“ไม่เป็นอะไรได้อย่างไรกัน? เจ้าดูสิ ท่านเสนาบดีดูสิเจ้าคะ แขนของโหรวเอ๋อร์ถูกตีจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว” เฉินจีซินก่นด่านางหนึ่งประโยคราวกับเกลียดชังที่มิอาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้ นางรีบถลกแขนเสื้อของอวี้ชิงโหรวขึ้น จึงเผยให้เห็นแขนที่ขาวดุจดั่งหยก ทว่าบัดนี้กลับถูกกิ่งไม้หวดใส่จนมีเลือดซึมออกมา ก่อนจะบ่นว่า “ท่านเสนาบดี ท่านดู ท่านดูสิเจ้าคะ โหรวเอ๋อร์ได้รับความอยุติธรรมมากเพียงใด? นี่เป็นฝีมือของเป่าเอ๋อร์เจ้าค่ะ วันนี้อาการกำเริบอีกแล้ว โหรวเอ๋อร์หวังดีไปดูเขา ไม่เพียงแต่ถูกแก้วน้ำชาโยนใส่หน้าผากจนบวมปูด แม้แต่แขนก็ถูกเข้าดีดใส่อีกตั้งหลายครั้ง โหรวเอ๋อร์มีความเมตตา เอาแต่บอกว่าเด็กคนนั้นยังไม่รู้เรื่องรู้ราว ป่วยแค่ทางกายเท่านั้น ตอนนี้เป็นเช่นไรเล่า ดูบาดแผลเหล่านี้สิ หัวอกคนเป็นแม่อย่างข้า ย่อมรู้สึกปวดใจมากจริง ๆ”

มือของเย่ฮ่าวหรานที่ถือแก้วน้ำชาชะงักไปเล็กน้อย โอ้โห อวี้ชิงโหรวผู้นี้ยอมลงมือกับตนเอง บาดแผลที่บนแขนข้างนั้นก็ลึกมากจริง ๆ ดูเหมือนจะถูกตีอย่างหนักเลยสินะ

ในเวลานี้ เขาต้องยอมรับว่าคนคนนี้คือน้องสาวของอวี้ชิงลั่วจริง ๆ เพราะอวี้ชิงลั่วก็โหดเหี้ยมมากเช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้โหดเหี้ยมกับตนเอง แต่โหดเหี้ยมกับคนอื่น

“อะแฮ่ม ๆ” มือของเย่ฮ่าวหรานถูกกำจนกลายเป็นหมัด ยกขึ้นมาวางไว้ที่มุมปากพร้อมกับไอกระแอมสองเสียง

สองแม่ลูกเฉินจีซินคู่นี้ทำราวกับเพิ่งเห็นเขา สายตาแข็งทื่อก่อนจะรีบหันกลับมาทันใด

“ท่านเสนาบดี สองคนนี้คือ…” เย่ฮ่าวหรานชี้ไปยังสองแม่ลูกที่ยังคงทำท่าทางอ่อนแอด้วยรอยยิ้ม

หลีจื่อฟานจึงหันกลับมาขอโทษเขา ก่อนจะกล่าวเตือนเฉินจีซิน “ฮูหยินอวี้ คุณหนูอวี้ ท่านนี้คือท่านอ๋องแปด ยังไม่คารวะท่านอ๋องแปดอีกหรือ?”

“หา? อ้อ ข้าน้อยคารวะท่านอ๋องแปดเพคะ” เฉินจีซินดึงมือของอวี้ชิงโหรวและรีบคุกเข่าลง ท่าทางเนื้อตัวสั่นเทานั้น ราวกับกระทำผิดต่อเย่ฮ่าวหรานและอาจถูกนำตัวไปตัดหัวก็มิปาน

เสียงของอวี้ชิงโหรวยังคงทุ้มต่ำ กระซิบเสียงเบาอย่างชาญฉลาดและรู้งาน “ท่านอ๋องโปรดอย่าได้ถือโทษ เมื่อครู่เราสองแม่ลูกเกิดความร้อนใจไปชั่วขณะ ท่านแม่เป็นกังวลเกี่ยวกับบาดแผลของข้า จึงทำตัวเสียมารยาทและไม่ทันได้สังเกตเห็นว่าท่านอ๋องอยู่ที่นี่”

เย่ฮ่าวหรานหัวเราะหนึ่งเสียง ไม่ได้สนใจนาง เพียงแต่ใช้สายตามองไปยังหลีจื่อฟาน

อีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วอีกครั้ง ก่อนจะแนะนำไปว่า “ท่านอ๋อง นี่คือฮูหยินและคุณหนูของจวนใต้เท้าอวี้ที่ปรึกษาสำนักสารบรรณกลาง[1] พ่ะย่ะค่ะ”

“หืม? ดูเหมือนว่าเสนาบดีฝ่ายขวาจะคุ้นเคยกับฮูหยินอวี้ด้วยสินะ” เย่ฮ่าวหรานลุกขึ้นยืน ก่อนจะปรายตามองไปยังอวี้ชิงโหรว

หลีจื่อฟานแอบหน้าเจื่อนเล็กน้อย แย้มยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าอวี้เคยเป็นผู้มีพระคุณของกระหม่อม”

เขาเพียงแค่กล่าวถึงหนึ่งประโยคอย่างรวบรัด ส่วนจะมีบุญคุณหรือไม่ มีแค่เขาเท่านั้นที่รู้ดีอยู่แก่ใจมากที่สุด

ทว่าการพูดเช่นนี้ กลับเป็นสิ่งที่สองแม่ลูกตระกูลอวี้ได้ยินเป็นครั้งแรก พวกนางถึงกับหันสบตากันอย่างห้ามไม่อยู่ ทั้งยังชะงักไปครู่หนึ่ง เหตุใดเรื่องนี้ท่านอวี้ถึงไม่เคยพูดถึง?

มีบุญคุณ? หากท่านอวี้มีบุญคุณต่อเสนาบดีฝ่ายขวาจริง ๆ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่เสนาบดีฝ่ายขวาทำดีกับสองแม่ลูกอย่างพวกนางเช่นนั้นหรือ?

เฉินจีซินถึงกับขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ หรือว่าไม่ได้เป็นเพราะเสนาบดีชอบโหรวเอ๋อร์?

ไม่ถูกสิ ไม่มีทางเป็นเช่นนี้ โหรวเอ๋อร์ของนางฉลาดปราดเปรื่องทั้งยังมีรูปร่างหน้าตางดงามอ่อนหวาน เสนาบดีและโหรวเอ๋อร์เจอหน้ากันบ่อย ๆ จะไม่หวั่นไหวได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง นางก็ไม่เคยได้ยินว่าสามีของนางมีบุญคุณกับเสนาบดีฝ่ายขวาด้วย

เฉินจีซินเม้มปาก ภายในใจตัดสินได้ว่าที่เสนาบดีฝ่ายขวาตอบเช่นนี้คงเป็นเพราะอวี้เป่าเอ๋อร์มาถึงที่นี่และพูดอะไรบางอย่างกับเขา มิเช่นนั้นเสนาบดีฝ่ายขวาจะพูดเช่นนี้ต่อหน้าท่านอ๋องได้อย่างไรกัน?

พวกนางมาช้าเกินไปจริง ๆ ถึงได้ปล่อยให้อวี้เป่าเอ๋อร์นั่นพูดจาเหลวไหล ทำลายภาพลักษณ์ของโหรวเอ๋อร์ในสายตาของเสนาบดีฝ่ายขวา

ไม่ได้การล่ะ นางต้องใช้โอกาสนี้เพื่ออธิบายให้ชัดเจน

“ท่านเสนาบดี โหรวเอ๋อร์เป็นคนฉลาดมาแต่ไหนแต่ไร นิสัยของนางเป็นเช่นไรท่านย่อมทราบดี ท่านดูเอาเถิดวันนี้นางได้รับความอยุติธรรมมากมายขนาดนี้ ก็ไม่มีแม้แต่จะตะโกนออกมา” เฉินจีซินเริ่มสะอึกสะอื้น “เป่าเอ๋อร์อาการกำเริบ ก็อาละวาดทำร้ายคนอื่นไปทั่ว ทั้งยังหนีออกมาจากจวน โหรวเอ๋อร์ของเราเพียงแค่ห้ามปรามเขา แต่กลับถูกเขาด่าทอว่าเป็นพี่สาวนิสัยไม่ดี โหรวเอ๋อร์ที่น่าสงสารของเราได้รับบาดเจ็บแล้ว แต่ก็ยังตามหาเขาไปทั่ว”

อวี้ชิงโหรวให้ความร่วมมือด้วยการยกมือขึ้นมากุมแขนด้วยท่าทางสั่นเทา ก่อนจะยื่นมือออกไปกระตุกแขนเสื้อของเฉินจีซิน กล่าวโน้มน้าวใจว่า “ท่านแม่ พอเถิดเจ้าค่ะ เป่าเอ๋อร์ยังเด็กคงไม่รู้ความ เป็นเพราะป่วยจึงทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ คนที่ปวดใจมากที่สุดก็คือท่านแม่มิใช่หรือ?”

หลีจื่อฟานได้ยินเช่นนี้ก็แสดงสีหน้าที่มิอาจบรรยายได้ออกมา “เป่าเอ๋อร์? พวกท่านพูดถึงอวี้เป่าเอ๋อร์หรือ? เขาหนีออกมาจากจวนอวี้งั้นรึ?”

“ใช่เจ้าค่ะ เขาหนีออกมาอาละวาดบนท้องถนน คนรับใช้ของตระกูลเราออกมาตามหาแล้ว ข้าและโหรวเอ๋อร์ก็วิ่งออกมาเช่นกัน ตอนที่เพิ่งมาตามหาทางฝั่งนี้ จู่ ๆ คนรับใช้ก็มารายงานกับข้าว่า เป่าเอ๋อร์ตามท่านอ๋องแปดเข้ามาในจวนเสนาบดี ตอนนี้เป่าเอ๋อร์อาการกำเริบ พวกเราได้ยินต่างก็เป็นกังวลใจ กลัวว่าเป่าเอ๋อร์จะทำร้ายท่านอ๋องแปด จึงรีบร้อนวิ่งมาถึงที่นี่ ท่านเสนาบดี หากเป่าเอ๋อร์พูดอะไรที่ทำให้ขุ่นเคือง ท่านช่วยขอความเมตตาจากท่านอ๋องอย่าได้ถือสาเป่าเอ๋อร์เลยนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้”

หลีจื่อฟานหันมองเย่ฮ่าวหรานด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงพูดหนึ่งประโยคที่ทำให้สองแม่ลูกเฉินจีซินถึงกับตะลึงงัน

“เป่าเอ๋อร์ไม่ได้มาที่จวนเสนาบดีนะ”

…………………………………………………………………………………..

[1] สำนักสารบรรณกลาง (通政使司) ส่วนราชการที่มีหน้าที่รับ-ส่งหนังสือราชการระหว่างส่วนกลางกับภูมิภาค

สารจากผู้แปล

แผนล่มแล้วหรือเปล่าน้า เจ็บตัวฟรีหรือเปล่าน้า ติดตามต่อไปค่ะ