ตอนที่ 441 บางบัญชีแค้นก็ต้องชดใช้คืน (2)
ปัญญาอ่อนเสียจริง!
ถ้าไม่ใช่ว่าต้องการระบายความโมโหในใจ ตัดเนื้อร้ายที่มักจะแอบวางแผนลับหลังชิ้นนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็รังเกียจที่จะเดินเข้าประตูใหญ่ของจวนมั่วจริงๆ
มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ได้นั่งลง รอยยิ้มบนใบหน้าก็เลือนหายไปนานแล้ว เพียงแต่ยืนอยู่กลางห้อง กล่าววาจาเสียดสีชวนให้ผู้คนตะลึงงันออกมา
“ตระกูลมั่วใกล้จะเผชิญกับหายนะฆ่าล้างตระกูลอยู่แล้ว ในฐานะที่หัวหน้าตระกูลมั่วเป็นผู้นำตระกูลยังยิ้มออกมาได้อย่างไร”
รอยยิ้มบนใบหน้าหัวหน้าตระกูลมั่วแข็งค้าง “เด็กน้อยกล่าวเหลวไหลอันใดกัน”
แม้ว่าไม่อยากจะล่วงเกินมั่วเชียนเสวี่ย แต่ทว่า วาจานี้ขอนางหนักหนาเกินไป แม้จะไม่อยากล่วงเกิน เขาก็จำเป็นต้องประณามเช่นกัน
ในเมื่อมั่วเชียนเสวี่ยรังเกียจการมาที่นี่ ย่อมไม่มีทางนั่งลง
นางเยื้องย่างอยู่ในห้องอย่างเชื่องช้า “เชียนเสวี่ยมิได้กล่าวเหลวไหล ในใจหัวหน้าตระกูลย่อมรู้ดี”
เอ่ยจบก็หันกลับไปจ้องตาหัวหน้าตระกูลมั่วด้วยท่าทางสบายๆ
ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ เดิมหัวหน้าตระกูลมั่วก็กระทำเรื่องผิดมโนธรรม ตอนนี้ถูกนางจ้องด้วยท่าทางสบายๆ จึงเกิดอาการร้อนตัวอยู่บ้าง
สีหน้าเคร่งขรึม ใช้ความรำคาญมาอำพราง “เจ้ามาอาศัยที่นี่ มีความต้องการอันใดก็รีบเอ่ย อย่าลับๆ ล่อๆ ถ้าหากว่าเจ้ายังกล่าวเหลวไหลอีก ก็อย่าโทษว่าลุงไม่เกรงใจ”
มั่วเชียนเสวี่ยถอนสายตากลับมา แค่นเสียงเบา “เช่นนั้นเชียนเสวี่ยจะเตือนหัวหน้าตระกูลมั่วอย่างหนึ่ง ก่อนเพลิงไหม้ ตอนที่เชียนเสวี่ยลืมตาขึ้นมา ก็เห็นจื่อฮว่ากับจื่อเยี่ยอยู่ในห้องของข้า คนหนึ่งรื้อค้น อีกคนแบกเชียนเสวี่ยออกไป พลางเอ่ยว่าจะนำไปมอบให้กับใครบางคน อีกทั้ง เมื่อคืน เชียนเสวี่ยยังถูกวางยาสลบ สาวใช้ทั้งหมดในเรือนเสวี่ยหว่านก็ถูกวางยาเช่นกัน…”
แม้ว่าหัวหน้าตระกูลจะไม่ได้เป็นคนให้วางยานั้น แต่เขาก็ต้องรู้แน่นอน ไม่เช่นนั้นมั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยก็คงไม่กล้าลอบเข้าไปในห้องเช่นนี้
มั่วเชียนเสวี่ยพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา และจ้องตาหัวหน้าตระกูลมั่วอีกครั้ง “ยังต้องให้เชียนเสวี่ยเอ่ยต่อไปอีกหรือไม่”
ขณะที่หัวหน้าตระกูลร้อนตัว ใจไม่สงบ ก็ยืนกรานปฏิเสธว่า “เจ้า…เจ้า…ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไร”
แม้ว่าเขาจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับกังขา จื่อถังบอกว่าตอนที่ไปถึงนังเด็กนี่ตื่นแล้วไม่ใช่หรือ
หรือว่า จื่อถังไปถึงหลังสองคนนั้น? ตนเองกำชับให้เขาไปถึงก่อนแล้วแบกมั่วเชียนเสวี่ยจากไปไม่ใช่หรือ ยังจะให้มั่วจื่อเยี่ยแย่งไปก่อนอีก…
เด็กสองคนนั่นจะต้องคิดลงมือก่อนเพื่อแย่งความดีความชอบแน่นอน
หาคำตอบเรื่องนี้ได้แล้ว หัวหน้าตระกูลมั่วก็เกิดความไม่พอใจต่อผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรอง
หากไม่ใช่ผู้อาวุโสรองแนะนำให้ทำ เด็กสองคนนั่นกินดีหมีหัวใจเสือเข้าไป ก็ไม่กล้าทิ้งจื่อถังเอาไว้คนเดียวแล้วลงมือก่อน
แต่ แม้ว่าเขาจะไม่พอใจ แต่กลับรู้ว่าต้องปล่อยเรื่องติดใจนี้ไปก่อน กระแอมไอให้คอโล่งแล้ว ก็โต้กลับ
“จื่อฮว่ากับจื่อเยี่ยล้วนถูกไฟคลอกตายในเหตุการณ์เพลิงไหม้ครั้งนี้ พวกเขาไว้ทุกข์ให้กับบิดาเจ้าถึงได้เคราะห์ร้ายเช่นนี้ ในฐานะที่เจ้าเป็นน้องสาว ไม่เพียงไม่เสียใจ หลั่งน้ำตา ปลอบประโลมผู้อาวุโสของเขาด้วยความจริงใจ แต่กลับใส่ร้ายพวกเขาเสียนี่ มโนธรรมของเจ้าถูกสุนัขกินไปแล้วหรือ”
มโนธรรม? มโนธรรมของพวกเจ้าต่างหากที่ถูกสุนัขกินไป ทางหนึ่งก็รับเงินเดือนจากจวนกั๋วกง อีกทางกลับเชิญนักฆ่ามาตามฆ่านาง…
แม้ว่าในใจมั่วเชียนเสวี่ยจะโมโห แต่บนใบหน้ากลับมีแววเหยียดหยาม ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาเถียงให้ชนะ “หัวหน้าตระกูลมั่ว เรื่องนี้ข้าเห็นกับตาตนเอง ด้วยฐานะของข้า จำเป็นต้องสาดโคลนใส่ร้ายคนตายสองคนนั้นด้วยหรือ”
ในเมื่อเห็นด้วยตาตนเอง คิดว่าปฏิเสธไปก็ไม่มีประโยชน์
หัวหน้าตระกูลมั่วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ในเมื่อหลานสาวเห็นกับตาตนเอง คิดว่าคงจะมีเรื่องเช่นนี้จริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่า ข้าก็ถูกพวกเขาหลอกเช่นกัน แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาล้วนเป็นคนที่มีการศึกษาและมีมารยาท ไม่เช่นนั้นในตระกูลก็คงไม่ปรึกษากันให้พวกเขาไปไว้ทุกข์ให้บิดาเจ้า”
กล่าวถึงในช่วงหลัง กลับปัดความน่าสงสัยทิ้งไป “ในตระกูลก็ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างดี พวกเขากลับยังไปลักเล็กขโมยน้อยในห้องเจ้า สมควรตายจริงๆ ยังดีที่ตอนนี้สองคนนั้นตายไปแล้ว ไม่เช่นนั้น ข้าจะต้องลงโทษขั้นเด็ดขาดแน่นอน”
หัวหน้าตระกูลมั่วคิดจะแต่งเรื่องต่อ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับไม่อยากเสียเวลากับเขา
กระแอมไอครั้งหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป
“คิดว่า หัวหน้าตระกูลมั่วคงทราบเรื่องที่ข้าเพิ่งออกมาจากวังหลวงแล้ว ตอนนี้ราชโองการให้สร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่ของฮ่องเต้น่าจะไปถึงจวนกั๋วกงแล้ว”
เพิ่งสิ้นเสียงมั่วเชียนเสวี่ย หัวหน้าตระกูลมั่วก็ยิ้มจนตาหยี
เมื่อคืนเขาก็ไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะคิดเรื่องนี้ อย่างไรเสีย แม้จะกล่าวว่าตอนนี้มั่วเชียนเสวี่ยเป็นผู้สืบทอดบรรดาศักดิ์ แต่นางเป็นสตรี มิอาจเป็นกั๋วกง ไม่มีกั๋วกง ฮ่องเต้ก็มีราชโองการว่า รอถึงตอนที่กั๋วกงคนใหม่สืบทอดบรรดาศักดิ์แล้วค่อยสร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่
แต่ กั๋วกงคนใหม่อยู่ที่ใดเล่า
มั่วเชียนเสวี่ย กระทั่งแต่งงานก็ยังไม่ได้แต่ง จะมีกั๋วกงคนใหม่ได้เช่นไร แม้ว่ามั่วเชียนเสวี่ยจะตายไป ตระกูลมั่วก็ไม่จัดการเรื่องราวให้ฮ่องเต้อย่างเรียบร้อย ฮ่องเต้จะมอบบรรดาศักดิ์นี้ให้ตระกูลมั่วหรือไม่นั้น ก็เอ่ยลำบาก
เมื่ออารมณ์ดี หัวหน้าตระกูลมั่วก็ใจกว้างมากอย่างเห็นได้ชัด “เช่นนั้นก็ดี เรื่องสร้างจวนนั้นสำคัญมาก หากหลานสาวต้องการสิ่งใด ก็รีบเอ่ยมาได้เลย เรื่องจวนกั๋วกงไม่ใช่เรื่องของเจ้าคนเดียว ยังเป็นเรื่องของตระกูลมั่วด้วย”
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยอย่างไม่รีบร้อนว่า “ไม่ต้องหรอก ฮ่องเต้ไม่เพียงมีราชโองการให้สร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่ แต่ค่าใช้จ่ายทั้งหมดและคนงานล้วนมีขุนนางเป็นผู้รับผิดชอบดูแล”
หัวหน้าตระกูลมั่วตะลึง เกิดเรื่องร้ายแรงแบบนี้ขึ้น ฮ่องเต้…หนึ่งไม่ลงโทษ สองไม่ตำหนิติเตียน ไม่เพียงเท่านี้ แต่ยัง…
ดูท่า ในใจฮ่องเต้ยังคงเห็นแก่บุญคุณในอดีตของเทียนฟ่าง
หรือ ในใจฮ่องเต้ยังคงคิดถึงอำนาจทางการทหารของชายแดนตะวันตกอยู่ตลอดเวลา จึงคิดจะหว่านล้อมมั่วเชียนเสวี่ย
พอได้สติคืนมา หัวหน้าตระกูลมั่วก็คุกเข่าไปทางทิศตะวันออก พร้อมกับคารวะสามครั้ง “ทรงพระเจริญหมื่นปี พระมหากรุณาธิคุณที่สุดมิได้”
หัวหน้าตระกูลมั่วทำความเคารพขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณด้วยความจริงใจ มั่วเชียนเสวี่ยกลับเบื่อหน่ายอย่างที่สุด นางย่อตัวลง
เข้าไปใกล้ใบหูของหัวหน้าตระกูลมั่ว พลางเอ่ยเสียงเบาว่า “ฮ่องเต้ไม่เพียงมีราชโองการให้สร้างจวนกั๋วกงขึ้นใหม่ แต่ยังรับปากเชียนเสวี่ยว่าจะตรวจหาคนวางเพลิงด้วย ท่านว่า ผลลัพธ์สุดท้ายจากการสืบสวนจะเป็นเช่นไร”
ฮ่องเต้ไม่ได้รับปากนาง แต่วาจานี้ก็ถูกนางกล่าวออกมา หรือหัวหน้าตระกูลมั่วจะกล้าไปถามฮ่องเต้เล่า
เกิดเรื่องเช่นนี้ในเมืองหลวง แม้ฮ่องเต้ไม่อยากจะสืบสวนลงลึก แต่กลับจำเป็นต้องแกล้งทำสักหน่อย ต้องแสดงความสามารถเบื้องหน้าสักนิด ให้ผู้คนในใต้หล้า และให้คำอธิบายกับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวง ปลอบประโลมจิตใจผู้คนนั้นเป็นสิ่งจำเป็น
หัวหน้าตระกูลมั่วฟังไม่ออกถึงความนัยในวาจาของนาง จึงเอ่ยด้วยความรู้สึกโมโหและเกลียดแค้นต่อศัตรูคนเดียวกันว่า “สมควรจะสืบให้ดี คนที่วางเพลิงจะต้องมีคำอธิบายให้ตระกูลมั่วของข้า”
“เช่นนั้นหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยยืดตัวขึ้น พลางหัวเราะเสียงเบา “เกรงว่าถึงตอนนั้น ฮ่องเต้จะให้หัวหน้าตระกูลมั่วแจงคำอธิบายให้กับเชียนเสวี่ย ให้กับฝ่าบาทเองด้วย”
หัวหน้าตระกูลมั่วเพิ่งจะค้นพบถึงความนัยในวาจาของมั่วเชียนเสวี่ย
เขาลุกขึ้น “เพลิงไหม้ครั้งนี้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลมั่วด้วย อย่าคิดจะใส่ร้ายผู้อื่น”
“ครึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยเข้าวังหลวงไม่ใช่หรือ ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วใช่หรือไม่ ฮ่องเต้เป็นคนแบบไหน ท่านยังไม่รู้หรือ”
นับตั้งแต่ตนเองเข้าเมืองหลวงมา ทุกวาจาทุกการกระทำของหัวหน้าตระกูลมั่ว หนิงเซ่าชิงระมัดระวังตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว ทุกวันเขาไปที่ไหน ย่อมมีคนมารายงานหนิงเซ่าชิง
แม้จะไม่รู้ว่าเขาได้รับการเรียกตัวเข้าวังหลวงลับๆ ไปแล้ว ฮ่องเต้มอบหมายเรื่องอะไรให้เขาทำ แต่ เมื่อนำมารวมกับการกระทำต่างๆ ของมั่วจื่อฮว่ากับมั่วจื่อเยี่ยเมื่อคืน ทั้งสองคนก็วิเคราะห์กัน ย่อมคาดเดาได้ ต่อให้ไม่ใช่ก็ใกล้เคียง
ในเมื่อฮ่องเต้ให้ตระกูลมั่วเข้าร่วมการกระทำนี้ด้วย สิ่งที่รับปากพวกเขาย่อมเป็นบรรดาศักดิ์ที่พวกเขาจับจ้องมาเป็นเวลานาน แต่ทว่า เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้ต้องหาคนมารับผิดแทน ตัวเลือกที่สะดวกที่สุดก็คือตระกูลมั่ว