บทที่ 388 เศษซากของราชวงศ์เก่า

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 388 เศษซากของราชวงศ์เก่า

“บางทีนางอาจจะไม่ได้ต้องการคำขอโทษจากผู้ใด”

การขอโทษมีประโยชน์อะไรกัน

เจ้าของเดิมได้ตายไปแล้ว เจ็บปวดไปแล้วก็คือเจ็บปวดไปแล้ว การกล่าวคำขอโทษไม่สามารถชดเชยความผิดพลาดที่เขาทำลงไปได้

“ใช่นะสิ!”

หลังจากนั้นนางก็ไม่แม้แต่จะชายตามองเขา

เมื่อยืนยันแล้วว่าเย่หลีเฉินไม่ได้สงสัยสถานะของนาง และรู้สึกละอายใจกับตนเอง นางกระตุกริมฝีปากเบาๆ

“เจ้ายังเดินไหวไหม”

ยาที่ใช้พันแผลให้กับเย่หลีเฉิน ล้วนแต่เป็นตัวยาที่ดีที่สุดในช่องว่างที่ระบบรักษาของนาง แม้ว่าจะไม่อาจทำให้เขาแข็งแรงมีชีวิตชีวาได้ในพริบตา แต่เขาก็ยังจะพอเดินได้แล้ว!

“ก็น่าจะได้”

“ดูจากแบบแผนในการก่อสร้างสุสานหลวง ที่นี่ไม่ได้มีทางออกเพียงทางเดียว

ในเรื่องนี้หลานเยาเยามั่นใจมาก

ก็ตัวอย่างเช่นเสามังกรแกะสลักขนาดใหญ่พวกนั้น และยังมีโลงศพทองคำที่มีราคาแพงที่สุด ทั้งกว้างทั้งหนักอึ้ง คนเจ็ดแปดคนก็ไม่สามารถยกขึ้นได้

และเส้นทางก็ถูกปิดกั้นด้วยหินใหญ่น้ำหนักเป็นพันชั่ง และค่อนข้างแคบ ซึ่งดูแล้วไม่มีทางที่จะเคลื่อนย้ายเสามังกรแกะสลักและโลงศพทองคำเข้ามาได้เลย

ดังนั้น!

อย่างน้อยก็ต้องมีทางออกขนาดใหญ่สักทาง

เมื่อเห็นว่าเทพธิดากำลังมองไปรอบด้านเพื่อมองหาทางออกอื่น เย่หลีเฉินที่ค่อยๆ ออกมาจากในโลงศพก็ได้เตือนขึ้นทันที

“ที่นี่ทุกด้านล้วนเป็นกลไก เจ้าระวังด้วย”

“วางใจเถอะ” นางก็ไม่ใช่คนโง่

เมื่อมาถึงโครงกระดูกทั้งสามโครงอีกครั้ง หลานเยาเยาใช้สายตามองไปยังโครงกระดูกของเด็ก และถามอย่างสงสัย

“ทำไมในบรรดาคนเฝ้าสุสานถึงมีเด็กด้วย”

“พวกเขาไม่ใช่คนเฝ้าสุสาน น่าจะเป็นพวกเศษซากของราชวงศ์เก่า”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเข้ามา ก็ได้เห็นโครงกระดูกทั้งสามโครงเช่นกัน

หื้ม

เศษซากของราชวงศ์เก่าหรือ

ทำไมพวกเขาถึงมาตายอยู่ในสุสานหลวงที่นี่

เมื่อเห็นว่านางกำลังมึนงง เย่หลีเฉินจึงพูดด้วยสีหน้าเศร้า

“เสด็จพ่อเป็นคนช่างสงสัย แม้ว่าความพินาศของราชวงศ์เก่าจะเป็นเพราะเกิดภัยไฟจากฟ้า แต่เขาก็ยังกลัวราชบัลลังก์จะไม่มั่นคงเพราะถูกพวกเศษซากของราชวงศ์เก่าโค่นล้ม

ไม่นานหลังจากที่ขึ้นสู่บัลลังก์ฮ่องเต้ เขาก็ได้ยินว่า ยังมีสายเลือดของราชวงศ์เก่าที่ยังมีชีวิตอยู่ จึงได้แอบตามหาอยู่สองสามปี และในที่สุดก็พบเบาะแสของพวกเขา

และได้แอบส่งคนไปตามฆ่าพวกเขา เขาหมดทางจึงได้หลบหนีมายังสุสานหลวง หลังจากนั้นเสด็จพ่อก็สั่งให้คนปิดประตูของห้องสุสานหลัก พวกเขาจึงต้องตายทั้งเป็นอยู่ในนี้”

องค์ชายของราชวงศ์เก่าตายแล้วหรือ

จะเป็นไปได้อย่างไรกัน

คนที่ตายไปนี้น่าจะเป็นเพียงตัวแทน

เย่หลีเฉินกุมหน้าท้องเดินมายังด้านข้างของหลานเยาเยา เพียงแค่มองไปยังโครงกระดูกทั้งสามโครง เสียงของเทพธิดากลับดังขึ้นมาข้างหู

เจ้าคิดว่าคนของราชวงศ์เก่าตายหมดแล้วหรือยัง”

“ยังหรอก เสด็จพ่อยังคิดจะใช้ราชลัญจกรหยกของราชวงศ์เก่าเพื่อกำจัดพวกเศษซากที่เหลืออยู่ซึ่งคอยสนับสนุนราชวงศ์เก่าไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว”

พูดจบ เย่หลีเฉินก็มองไปที่หลานเยาเยา

“ไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียวเลยหรือ”

“อืม!”

“เทพธิดา ขอถามอะไรเจ้าสักคำถามได้ไหม”

“เจ้าว่ามา”

หลานเยาเยามองไปยังเย่หลีเฉินอย่างแผ่วเบา มองไปที่สีหน้าของเขา ดูเหมือนจะรู้ว่าเขาต้องการถามอะไร

“เจ้ามายังเมืองหลวงเพื่ออะไรกันแน่”

เมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาได้รับรายงาน เทพธิดาปรากฏตัวขึ้นที่ใด ทุกที่ก็จะเกิดการนองเลือดอย่างบ้าคลั่ง

เช่นกรณีของประเทศเชียนหลิง

กรณีของประเทศซีเม่า

หรือแม้แต่กรณีของประเทศผึงไหลก็เช่นเดียวกัน

ประเทศที่แข็งแกร่งทั้งสี่ ตอนนี้เหลือเพียงประเทศก่วงส้าของพวกเขาแล้ว

อีกทั้งเทพธิดาได้มาถึงเมืองหลวงประเทศก่วงส้าแล้ว เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ได้เกิดเรื่องขึ้นมากมาย มีเรื่องไหนกันที่ไม่สะเทือนเมืองหลวง

แต่…

นอกจากเรื่องของยาฉางตานแล้ว

เรื่องอื่นที่เหลือก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางเลยแม้แต่น้อย มีบางครั้งที่นางต้องช่วยเขาด้วยซ้ำ

“เพื่ออวยพรให้ปวงประชานะสิ!”

เสียงของหลานเยาเยานั้นทอดยาวและมีเสน่ห์ ดูเหมือนจะเจือด้วยรอยยิ้ม

“ใช่สิ! เพื่ออวยพรปวงประชา”

ประเทศเชียนหลิงแห้งแล้งมาตลอดปี หลังจากเทพธิดาปรากฏตัว ฝนก็ตกไม่หยุด และยังนำน้ำจากแม่น้ำเข้ามายังพื้นที่แห้งแล้ง ระงับการจลาจล

สงครามกลางเมืองของประเทศซีเม่า ทำให้ราษฎรในประเทศซีเม่าได้รับความทุกข์ทรมาน และนางก็สามารถระงับสงครามกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วที่สุด

สำหรับประเทศผึงไหล……

อันที่จริงเกิดอะไรขึ้นที่ในประเทศผึงไหล พวกเขาก็ไม่อาจจะสืบค้นได้ชัด พวกชนเผ่าภาคเหนือที่กระทำแต่ความชั่วช้าก็ถูกเทพธิดาเก็บกวาดจนเกลี้ยง

ทันใดนั้น!

สายตาเย่หลีเฉินก็ตกตะลึง ประหลาดใจเมื่อพบว่าที่พื้นดินเริ่มมีหมอกขึ้นมา

“เกิดอะไรขึ้นหรือนี่”

“น่าจะเป็นกลไกถูกเปิดแล้ว” นี่เป็นเพียงการคาดการณ์ของนาง

แต่มีบางสิ่งที่สามารถยืนยันได้ หมอกควันที่เกิดขึ้นมาที่นี่ ไม่ใช่เมฆหมอกพวกนั้นที่อยู่ด้านนอกห้องสุสานหลัก เพราะหมอกควันพวกนี้เกิดขึ้นมาจากพื้นดิน

“พวกเราเพียงแค่มาถึงที่นี่ ล้วนแต่ไม่ได้สัมผัสกับกลไกใดๆ”

“ตอนนี้ไม่มี ไม่ได้หมายความว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน น่าจะเป็นหลังจากที่ก้อนหินใหญ่พันชั่งตกลงมา ก็เลยไปสัมผัสถูกกลไกด้านในนี้ แต่เพียงมีเวลาแตกต่างกันเล็กน้อย”

คำพูดขององค์ชายสี่ก่อนเสียชีวิต ดังก้องขึ้นในหูอีกครั้ง “ในเมื่อข้าไม่อาจมีชีวิตออกไปได้ อย่างนั้นก็ให้พวกเจ้าถูกฝังไปพร้อมกับข้า”

องค์ชายสี่มีความคุ้นเคยกับสุสานหลวงแห่งนี้เป็นอย่างดี

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากก่อนตายได้สัมผัสกับกลไก ในขณะเดียวกันกับตอนนี้หินใหญ่พันชั่งได้ตกลงมาก็น่าจะไปสัมผัสถูกกลไกอื่นๆ

หรือบางที……

กลไกที่องค์ชายสี่ไปสัมผัสจะเป็นกลไกการเปิดปิดห้องสุสานหลัก ซึ่งเหมือนกับระเบิดเวลา ที่มีการกำหนดเวลาไว้อย่างแน่นอน เมื่อถึงเวลาก็จะสามารถกระตุ้นกลไกได้ตัวของมันเอง

“อย่างนั้นพวกเราจะต้องทำอย่างไร”

หมอกควันเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าจะมีพิษหรือไม่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน พวกนี้ไม่ใช่หมอกควันธรรมดา หากไม่สามารถหาหนทางแก้ไขได้ พวกเขาก็อาจจะต้องตายอยู่ด้านในนี้

“หาทางออกอื่น”

ขณะนี้เหลือเพียงวิธีนี้เท่านั้น

“ได้”

ทั้งสองคนเริ่มแยกย้ายกันค้นหา หลานเยาเยามาถึงกำแพงที่องค์ชายสี่ใช้กระบี่สัมผัสกับระบบ และกดลงไปยังส่วนเว้าบริเวณนั้น

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น

ในเวลานี้หมอกควันได้กระจายมาถึงครึ่งน่องแล้ว อีกทั้งยังกระจายไปอย่างรวดเร็ว หลานเยาเยาเริ่มมีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี

ดังนั้น

นางเร่งค้นหาทางออกอย่างรวดเร็ว

แต่พวกเขาค้นหากลับไปมาหลายต่อหลายครั้ง แม้แต่เคลื่อนโลงศพออกไปพวกเขาก็ทำแล้ว แต่กลับไม่พบสถานที่ต้องสงสัยใดๆ

เมื่อสายตาของหลานเยาเยามองไปยังโลงศพทองคำ จากนั้นก็เคลื่อนสายตาไปมองบนฝาโลงศพของโลงศพทองคำ

สีหน้าวูบวาบเล็กน้อย

ฝาโลงศพถูกพิงไว้กับผนัง ห้องสุสานหลักนี้ นอกจากโลงศพทองคำที่พวกเขาเคลื่อนย้ายไม่ได้แล้ว ก็ยังมีฝาโลงศพทองคำที่พวกเขายังไม่ได้เคลื่อนย้ายอีกเช่นกัน

นางอาจจะได้พบทางออกอื่นก็เป็นได้……

ในขณะนี้!

“ฉึกฉึก……”

“แกรกแกรก……”

มีเสียงดังมาจากในสุสานดูเหมือนฝาโลงศพจะทับไว้ไม่ไหว จึงมีเสียงที่กำลังจะแตกดังขึ้นมา

นอกจากนี้ยังมีเสียงเหมือนการบิดข้อต่อกระดูกของมนุษย์

“เทพธิดาระวัง มีบางสิ่งบางอย่างกำลังออกมาจากพื้นดิน”

หลานเยาเยาได้ยินดังนั้นจึงมองไปยังพื้นดิน

ในตอนนี้หมอกควันได้แพร่กระจายไปจนถึงไหล่ของเขา หมอกควันนั้นไม่ได้หนามาก ยังสามารถมองเห็นพื้นได้อย่างขมุกขมัว

เห็นเพียงมีบางอย่างสั่นอยู่ที่เท้า จากนั้นจึงได้เห็น……

หนึ่งชิ้น…

สองชิ้น…

สามชิ้น…

……

จนกระทั่งถึงห้าชิ้น…

จู่ๆ โครงกระดูกนิ้วมือทั้งห้าชิ้นที่ขาวซีดได้โผล่ออกมาจากพื้นดิน จากนั้นก็มีนิ้วทั้งห้านิ้วก็โผล่ขึ้นมาจากพื้นอีก

ตามมาด้วยฝ่ามือ แขน ศีรษะ……

จนกระทั่งโครงกระดูกทั้งหมดคลานออกมาจากพื้นดินอย่างสมบูรณ์ ดวงตาที่กลวงโบ๋มีไฟลึกลับอยู่สองดวง เปล่งแสงสีฟ้า ท่าทางดูน่ากลัว

มันมีความสูงเจ็ดฟุต ยืนอยู่ตรงหน้าหลานเยาเยา ห่างกันเพียงแค่ครึ่งก้าว ทั่วทั้งร่างส่งกลิ่นเหม็นเน่า……