บทที่ 438 งานหนักเช่นนี้ให้ข้าจัดการเอง

หลังออกมาจากถ้ำ เยว่พั่วหลัวก็ถูกแบกเข้าไปในกระท่อมไม้หลังเล็ก ๆ ที่ใกล้กับชายป่า บางครั้งมีโจรสลัดลาดตระเวนผ่านมา ยังจงใจล้อเลียนอีกด้วย

เยว่พั่วหลัวมองดูรอบ ๆ เล็กน้อย ที่นี่มีกระท่อมไม้กระจัดกระจายอยู่หลายหลัง การก่อสร้างหาได้มีแบบแผนใด ๆ ไม่

ประตูของกระท่อมไม้ถูกถีบให้เปิดออก มีผู้ชายหลายคนตามหลังมา จากนั้นก็เริ่มถอดเสื้อผ้าออกทันที เยว่พั่วหลัวได้ยินพวกเขาเหยียบลงบนกระดานไม้จนส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมา ก่อนที่เยว่พั่วหลัวจะถูกโยนลงบนเตียงที่อยู่ในกระท่อมไม้ นางกลิ้งตัวไปพร้อมท่าทางที่เย้ายวน พลางเท้าคางด้วยมือข้างหนึ่ง มองดูพวกเขาอย่างเกียจคร้าน

“มีแค่พวกเจ้าหรือ ไม่มีคนอื่นแล้วอย่างนั้นหรือ?” นางเอ่ยถามช้า ๆ

ท่าทางเช่นนี้กลับทำให้ชายฉกรรจ์เหล่านั้นตกตะลึง พวกเขาปล้นฆ่าผู้คนบนท้องทะเลแห่งนี้มานานหลายปี ยังไม่เคยเจอสตรีเช่นนี้มาก่อน

“ทำไม เจ้าเห็นว่าคนน้อยไปอย่างนั้นหรือ?” ชายผู้นั้นถามด้วยภาษาทางการของต้าจิ้นที่ไม่ชัดนัก

เยว่พั่วหลัวใช้นิ้วเกี่ยวผมของตัวเอง พลางพ่นลมหายใจออกเบา ๆ แล้วพูดขึ้นอย่างสบาย ๆ “เช่นนั้นพวกเจ้าอยากจะเข้ามาพร้อมกัน หรือว่าจะเข้ามาทีละคน?”

ชายผู้นั้นใช้ลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อย แล้วยื่นมือออกไป “ปกติแล้วพวกเราชอบเข้าไปพร้อมกัน”

เยว่พั่วหลัวมองดูมือที่ยื่นออกมาของเขา ก็ยกยิ้มอย่างชั่วร้าย “อย่างนั้นหรือ ข้าก็ชอบให้พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกัน~”

หลังจากสิ้นเสียงที่แฝงเลศนัยของนาง มือของชายผู้นั้นที่ยื่นออกไปก็ถูกนางจับเอาไว้ทันที ก่อนที่มันจะเริ่มชาขึ้นมา และราวกับว่ามีอะไรบางอย่างมุดเข้าไปภายในร่างกายอย่างไรอย่างนั้น

พลันนั้นเยว่พั่วหลัวที่นอนอยู่บนเตียงก็หายตัวไปอย่างน่าประหลาด เห็นแค่เพียงเงาสีขาวเงาหนึ่งแวบผ่านไปเท่านั้น ร่างกายของชายเหล่านั้นเริ่มร้อนขึ้น ก่อนจะถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์และเข้าไปกอดรัดพัวพันกับคนที่อยู่โดยรอบ

ข้างหูมีเสียงกระดิ่งเงินดังขึ้นไม่หยุด สติของพวกเขาเริ่มเลือนราง แม้แต่การเคลื่อนไหวยังเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนและร้อนรน

ภายในกระท่อมไม้หลังเล็กมีกลิ่นตัวอันไม่พึงประสงค์ฟุ้งกระจายอยู่ ตอนที่ไป๋จิ่นเปิดหน้าต่างตามกลิ่นของหนอนกู่ของเยว่พั่วหลัวเข้ามานั้น ก็แทบจะอาเจียนออกมาเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นในกระท่อม

เป็นภาพของชายหลายคนที่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง พร้อมกับมีน้ำลายฟูมปาก นอนก่ายเกยอยู่บนร่างของกันและกัน ในขณะที่เยว่พั่วหลัวนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังกระดกเหล้าเข้าปาก พลางกินถั่วลิสงไปด้วย

เมื่อเห็นไป๋จิ่นชะโงกหัวอยู่นอกหน้าต่าง เท้าข้างหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะก้าวเข้ามาดีหรือไม่อยู่นั้น นางก็เหลือบมองไปที่เขาเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้นมา “เจ้าจะเข้าหรือไม่เข้ามากันแน่?”

ไป๋จิ่นสูดอากาศบริสุทธิ์ด้านนอกเข้าปอดเล็กน้อย แล้วจึงพลิกตัวเข้ามา ทว่าเพิ่งจะเข้ามาในห้อง ชายผู้หนึ่งที่อยู่ใกล้กับเท้าของเขาก็กระโจนเข้าหาเขาทันที ก่อนจะใช้ปากเหม็น ๆ พรมจูบไปทั่วใบหน้าของไป๋จิ่น มือก็สอดเข้าไปในเสื้อผ้าของไป๋จิ่นและลูบไล้ไม่หยุด ปากก็พึมพำออกมา “สาวงาม มาให้ข้าจูบทีหนึ่งเร็วเข้า”

ไป๋จิ่นขนลุกไปทั้งตัว ก่อนจะเตะชายผู้นั้นจนกระเด็นออกไป ทว่าเพียงเท่านี้เขายังไม่หายโมโห จึงเตะไปอีกหลายครั้งก่อนจะเช็ดหน้าแรง ๆ หนึ่งที “ไอ้คนโรคจิต!”

เยว่พั่วหลัวเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา พลางกระทืบเท้าเล็ก ๆ ด้วยความดีใจ “สมควรแล้ว”

ไป๋จิ่นจ้องหน้านางด้วยความรังเกียจ “ข้าก็คิดว่าเจ้าไปอยู่ที่ใด งูพิษของข้าออกตามหาอยู่ครึ่งค่อนวัน วิ่งหาจนเท้าข้าจะพองอยู่แล้ว”

ตอนที่ทั้งสองคนถูกลักพาตัวมานั้น พวกเขาไม่ได้สวมรองเท้า สวมเพียงถุงเท้าคู่หนึ่งกับชุดนอนเท่านั้น เพื่อเงินค่าข้าวเดือนหน้า ใครบ้างจะไม่ทุ่มสุดตัว!

“ข้าก็นั่งรอเจ้าอยู่ที่นี่มาครึ่งค่อนวันแล้วเหมือนกัน จนก้นแทบจะชาไปหมดแล้ว” เยว่พั่วหลัวก็บ่นออกมาเช่นกัน “ข้าว่าเจ้าคงจะแก่แล้วกระมัง ไม่ได้เรื่องเลย ข้าดูแล้วเกาะนี้ก็ไม่ได้ใหญ่อะไร ทำไมเจ้าถึงใช้เวลาหานานเพียงนี้กัน”

ไป๋จิ่นกลอกตามองบน “เกาะนี้ไม่ใหญ่ก็จริง แต่มันยาวมาก เจ้าอยู่ทิศตะวันตกข้าอยู่ทิศตะวันออก กว่างูของข้าจะเลื้อยมาถึง ข้าไม่ต้องใช้เวลาหรืออย่างไร?”

“อย่าพูดมาก ทางเจ้ามีข่าวอะไรบ้าง พวกเรามาแลกเปลี่ยนกันหน่อย”

ไป๋จิ่นหยิบถั่วลิสงขึ้นมาหนึ่งกำมือ “ทางด้านข้าคนที่ถูกขังเอาไว้ล้วนเป็นผู้ชาย”

“ทางข้าล้วนเป็นผู้หญิง”

“ทางข้าล้วนเป็นหนุ่มรูปงามอย่างเช่นข้า”

“ทางข้าก็ล้วนเป็นหญิงงาม แต่ไม่ได้งามเท่าข้า”

“…”

หลังจากต่างฝ่ายต่างรู้สึกคลื่นไส้ในกันและกันแล้ว ไป๋จิ่นก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา “เฉินไห่คั่วแม่ทัพกองทัพเรือบอกกับเผยยวนว่าหัวหน้าโจรสลัดคือ ฟุมิโอะ มัตสึโมโตะ ใช่หรือไม่? แต่ข้าเดาว่าไม่ได้มีเพียงฟุมิโอะ มัตสึโมโตะแน่ แต่เขาคงจะเป็นหัวหน้าใหญ่กระมัง และคาดว่าน่าจะมีรองหัวหน้าเป็นผู้หญิงด้วย ที่พวกเขาจับผู้ชายหน้าตาดีมา ก็เพื่อส่งไปให้รองหัวหน้าผู้หญิงคนนั้นโดยเฉพาะ”

เยว่พั่วหลัวตื่นตัวขึ้นมาทันที “ข้าก็รู้มาข่าวหนึ่ง ว่ามีคนหนึ่งชื่อยามากุจิด้วย เมื่อครู่ข้าอาศัยตอนที่เจ้าคนพวกนี้กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องประตูหลัง ถามพวกเขาไปสองสามข้อ ยามากุจิผู้นั้นเพิ่งเข้าร่วมกับมัตสึโมโตะเมื่อไม่นานมานี้ ผู้หญิงที่ตกอยู่ในมือของเขาส่วนใหญ่จะถูกทรมานจนตาย และเขาก็มีความชอบอย่างหนึ่ง นั่นก็คือชอบเลี้ยงจระเข้จำนวนมากไว้บนเกาะ ผู้หญิงและผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไม่เชื่อฟังจะถูกโยนให้จระเข้กิน”

“ชิ ๆ ๆ พวกสารเลวต่ำช้า แล้วเจ้ามีข่าวเกี่ยวกับที่ซ่อนของฟุมิโอะ มัตสึโมโตะบ้างหรือไม่?”

เยว่พั่วหลัวส่ายหน้า “เจ้ามาจากอีกด้านหนึ่ง พบเบาะแสอะไรหรือไม่?”

“การยืนยามที่นี่ค่อนข้างเข้มงวด และไม่สามารถมองเห็นทะเลโดยรอบได้ บอกได้แค่ว่าเรายังอยู่รอบนอก ยังไม่ได้เข้าไปสู่วงใน”

เยว่พั่วหลัวส่งเสียงชิชะออกมา จากนั้นก็ดีดนิ้วหนึ่งที “เหตุใดเจ้าไม่ใช้แผนหนุ่มงามเล่า หากจัดการรองหัวหน้านั่นเรียบร้อยแล้ว การที่อยากจะรู้ว่าฟุมิโอะ มัตสึโมโตะอยู่ที่ใดจะไม่ใช่เรื่องง่ายหรอกหรือ?”

ไป๋จิ่นพ่นเสียงหัวเราะออกมา “เจ้าเป็นคนเสียสละเพียงนี้ ให้ข้าได้มาชมละครดี ๆ เช่นนี้แล้ว เจ้าจะเสียสละตัวเองเพื่อยามากุจิสักหน่อยไม่ได้เชียวหรือ หรือว่าจะตรงเข้าไปพิชิตมัตสึโมโตะนั่นเลยก็ได้”

ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มด่ากันขึ้นมาอีก เมื่อด่ากันได้สักพักก็ดื่มน้ำถ้วยหนึ่ง จากนั้นไป๋จิ่นจึงพูดขึ้น “เมื่อโอกาสมาถึงก็รีบดำเนินการเถอะ และต้องส่งข่าวให้ทางลูกพี่ฮวนฮวนก่อน”

หมูเหยี่ยวล่าเหยื่อที่กำลังรอให้พวกเขาส่งข่าวเกาะอยู่ที่หน้าต่างพลางย่ำเท้าไปมา เป็นการบอกว่า ในที่สุดพวกเขาก็รู้ถึงการมีอยู่ของมันแล้ว

ไป๋จิ่นดึงแผนที่ออกจากขาของมัน ภายใต้แสงจันทร์ เขากับเยว่พั่วหลัวเอาหัวชนกันเพื่อศึกษาหมู่เกาะนี้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกันแน่

“เมื่อดูจากแผนที่ พวกเราคงอยู่ที่นี่กระมัง” ไป๋จิ่นชี้ไปที่เกาะที่ทอดยาว

“ไม่ใช่ ยายเฒ่ามังกรนั่นบอกว่าที่นี่คือเกาะผี ยามากุจิอยู่ที่เกาะงู”

“รีบเขียนลงไปเร็วเข้า” ไป๋จิ่นคว้าโจรสลัดที่มีน้ำลายฟูมปากข้าง ๆ ขึ้นมา ก่อนจะกรีดนิ้วของเขาและใช้เลือดของเขาบันทึกข้อมูลที่ได้มาคืนนี้ลงไป ทั้งยังวาดวงกลมสองวงลงบนแผนที่ จากนั้นก็ม้วนกระดาษเป็นม้วนเล็ก ๆ ผูกติดกับข้อเท้าของหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อ

เมื่อเห็นหมูเหยี่ยวล่าเหยื่อกระพือปีกบินจากไปแล้ว เยว่พั่วหลัวกับไป๋จิ่นก็ออกมาจากกระท่อมไม้เช่นกัน “เจ้ากลับไปทางเดิม ส่วนข้าจะไปวางยาพวกเขาสักหน่อย”

“ยังไม่ยอมรับว่าสำนักกู่ของพวกเจ้าชั่วร้ายอีก ข้าเพียงวางยาพิษให้คนพวกนั้นตาย แต่เจ้ากลับทำให้พวกเขากลายเป็นศพเดินได้ของเจ้าเช่นนี้”

“หากเจ้าสู้ข้าไม่ได้ก็คุกเข่าลงกราบข้าเป็นอาจารย์ซะ แล้วข้าจะสอนเจ้าเอง แต่อย่ามัวมาพูดจาเหน็บแนมอยู่ตรงนี้”

“ข้าน่ะหรือสู้ไม่ได้ เจ้าลองคิดดูสิว่าใครจะยอมวิ่งจากด้านนั้นมาหาเจ้าถึงที่นี่ด้วยระยะทางที่ไกลเพียงนี้กัน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขยับเล่า?”

“งานหนักเช่นนี้ใช่สิ่งที่หญิงงามที่มีผิวบอบบางทำกันอย่างนั้นหรือ? เป็นงานที่คนอัปลักษณ์อย่างพวกเจ้าต้องทำต่างหาก ข้าจะแย่งเจ้าไปทำไมกัน?”

“เจ้าน่ะสิอัปลักษณ์ ผู้ชายที่อัปลักษณ์เหล่านั้นถึงได้เอากันเอง และไม่ยอมเอาเจ้าอย่างไรเล่า”

“งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าอยากลองหรือไม่?” เยว่พั่วหลัวเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา

ไป๋จิ่นสะดุ้งขึ้นมาทันที “เจ้าเก็บหนอนกู่เหล่านั้นเอาไว้ผัดกินเถอะ!”

เอ่ยจบ ทั้งสองคนก็แค่นเสียงเย็นใส่อีกฝ่าย จากนั้นก็เหาะไปคนละทิศละทาง โดยตั้งใจว่าจะสำรวจเกาะผีแห่งนี้ให้ละเอียด แล้วค่อยวางยาให้พวกเขากินสักหม้อ