ครั้นเอ่ยถึงชุยหมิงเย่ว์ จิ่งหมิงฮ่องเต้ก็แสดงอาการประหลาดใจเล็กน้อย
“หมิงเย่ว์งั้นหรือ” เขาครุ่นคิดเพียงลำพังเพราะยังมิรู้ว่าควรตอบสนองเช่นไร
หากย้อนไปตอนก่อนที่ไทเฮาจะล้มป่วย ชุยหมิงเย่ว์คงไม่มีทางได้รับเลือกเป็นชายาของเซียงอ๋อง
แม้ว่าเขาจะโปรดปรานหลานสาวคนนี้เพียงใด แต่ครั้นก่อเรื่องอื้อฉาวเช่นนี้แล้ว คงไม่มีโอกาสได้แต่งงานเข้ามาอยู่ในราชสกุลอย่างแน่นอน
ทว่ายามนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว หมิงเย่ว์ได้ช่วยชีวิตไทเฮาเอาไว้ นับว่าเป็นคุณูปการอย่างใหญ่หลวง
เมื่อเห็นว่าฮ่องเต้เงียบงันอยู่นาน ไทเฮาจึงถอนหายใจออกมา “ฝ่าบาท ข้าทราบดีว่าฝ่าบาททรงกังวลพระทัยเรื่องใด จริงอยู่ที่หมิงเย่ว์เคยพลาดพลั้งเลินเล่อ แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นเด็กดีมาโดยตลอด อีกทั้งระหว่างนางและจูจื่ออวี้ก็มิได้ละเมิดศีลธรรมอันดีแต่อย่างใด นั่นหมายความว่านางยังเป็นสตรีบริสุทธิ์ผุดผ่อง นางยังไร้เดียงสาถึงได้ถูกหลอกเอาเสียง่ายๆ ว่าไปแล้วนางช่างน่าเห็นใจยิ่งนัก”
ไทเฮากล่าวพร้อมถอนหายใจ “วัยหนุ่มสาวใครต่างก็พลาดพลั้งกันทั้งนั้น”
จิ่งหมิงฮ่องเต้ในขณะนั้นไร้ซึ่งเหตุผลจะคัดค้าน เพียงแต่ขมวดคิ้วด้วยความลังเล
ไทเฮาจึงถอดถอนหายใจออกมาเป็นครั้งที่สาม “ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ถึงได้มีรอยแผลฝากไว้ที่แขนของนาง เกรงว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อชีวิตสมรสของนาง… ครั้นคิดได้เช่นนั้น ข้าก็ทุกข์ใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน…”
คำพูดเหล่านั้นโน้มน้าวจิ่งหมิงฮ่องเต้ได้สำเร็จ เขาค่อยๆ พยักหน้าออกมาในที่สุด
“เรื่องการสมรสขององค์ชายแปดก็ควรแก่เวลาแล้วจริงๆ”
ครั้นเห็นฮ่องเต้มีท่าทีเช่นนั้น ไทเฮาก็เบาใจจึงคลี่ยิ้มออกมาอย่างเป็นสุข
สาเหตุที่นางเลือกเซียงอ๋อง ประการแรกเพราะอายุไล่เลี่ยกับหมิงเย่ว์ ติดตรงแค่ภูมิหลังของมารดาเซียงอ๋องที่ต่ำต้อยไปเสียหน่อย แต่นั่นทำให้แน่ใจได้ว่าการจะยกหมิงเย่ว์ให้แต่งงานกับเซียงอ๋องจะไม่ถูกขัดขวาง
หากมองในมุมมารดาของเซียงอ๋อง การได้ดองญาติกับหรงหยางถือเป็นเรื่องดีไม่น้อย นางไม่มีทางดูแคลนหมิงเย่ว์อย่างแน่นอน
ถือว่าเรื่องนี้มีชัยทั้งสองฝ่าย
“เสด็จแม่ ลองปรึกษาหรงหยางดูก่อนว่านางคิดเห็นอย่างไร”
“อื้ม”
รอจนจิ่งหมิงฮ่องเต้เสด็จกลับไปแล้ว ไทเฮาก็รีบสั่งให้คนไปเชิญองค์หญิงใหญ่หรงหยางเข้าวังมาทันที
สองสามวันที่ผ่านมานี้ องค์หญิงใหญ่หรงหยางอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ครั้นปลดเปลื้องความระทมทุกข์จากเหตุการณ์ปีก่อนได้แล้ว ฝีเท้าแต่ละย่างก้าวของนางก็เบาสบายขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“เสด็จแม่ดูพระพักตร์สดใสขึ้นนะเพคะ”
เมื่อเห็นหน้าองค์หญิงใหญ่หรงหยาง ไทเฮาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที นางส่งยิ้มพลางบอก “ก็เพราะได้หมิงเย่ว์ ไม่รู้ว่าป่านนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง”
ฝ่ายองค์หญิงใหญ่ตอบ “มีไทเฮาคอยห่วงใย อาการของนางถึงได้หายวันหายคืนเพคะ”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าก็จะได้เบาใจ อย่างนี้ดีกว่า ให้หญิงชราคนนี้ได้มอบสิ่งดีๆ ให้หมิงเย่ว์เป็นการตอบแทน ข้าถึงจะได้วางใจได้จริงๆ เสียที”
“แค่ได้มีส่วนให้เสด็จแม่ดีขึ้นก็นับว่าเป็นเกียรติของหมิงเย่ว์แล้วเพคะ”
ไทเฮาส่งสัญญาณให้เหล่าข้าราชบริพารออกไปก่อนจะหันไปถามองค์หญิงใหญ่หรงหยาง “เรื่องการเลือกคู่ครองให้หมิงเย่ว์ เจ้ามีความเห็นอย่างไรบ้าง”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางผงะไปชั่วครู่ ทว่าในใจปลาบปลื้มยิ่งนัก
ไทเฮาตรัสถามมาเช่นนี้ หรือว่าหมายจะเข้ามาจัดแจงเรื่องการแต่งงานของหมิงเย่ว์?
การที่หมิงเย่ว์ก่อเหตุฉาวโฉ่เมื่อปีก่อนเป็นเหตุให้การแต่งงานของนางกลายเป็นปัญหาใหญ่ แต่ในยามนี้นางได้รับการยอมรับว่าเป็นคนกตัญญูกตเวที นั่นเท่ากับเป็นการบอกว่านางเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคู่ครองที่เหมาะสม จึงเป็นการดียิ่งนักหากไทเฮาจะเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้
ใจของนางพลันเต้นแรง ทว่าใบหน้ายังคงนิ่งเรียบ นางกล่าวออกไปพร้อมกับถอดถอนหายใจ “หาได้มีความคิดใดๆ เพคะ หมิงเย่ว์ประกาศกร้าวว่านางจะถือครองตัวเป็นโสดไปชั่วชีวิต และอยู่กับหม่อมฉันเช่นนี้เรื่อยๆ ไปเพคะ…”
“เหลวไหล” ไทเฮาขมวดคิ้วพลางตัดบทขององค์หญิงใหญ่หรงหยาง “อายุของหมิงเย่ว์เพิ่งจะไม่เท่าไหร่ เหตุใดถึงตัดสินใจครองตัวเป็นโสดแล้วเล่า”
“ใช่ว่าเสด็จแม่มิทรงทราบเรื่องนี้ ชื่อเสียงของนาง…”
“ชื่อเสียงของนางทำไมกัน ในสายตาของข้า หาได้มีเด็กคนใดกตัญญูเท่านี้อีกแล้ว หรงหยาง ยามนี้ไม่มีใครอื่น เจ้าคิดเห็นอย่างไรก็ว่าไปตามความจริงเถิด เจ้าว่าเซียงอ๋องเป็นอย่างไร”
ดวงตาของนางพลันเบิกกว้าง จ้องมองไปที่ไทเฮาด้วยความสงสัยใคร่รู้
นางรู้ว่าไทเฮาจะหาคู่ครองที่เหมาะสมให้แก่หมิงเย่ว์ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าคนที่นางเลือกมาคือเซียงอ๋อง!
ก่อนหน้านั้น นางเคยหมายตาหลู่อ๋อง องค์ชายหก
แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ความสัมพันธ์ระหว่างนางและจ้วงเฟย ผู้เป็นมารดาของหลู่อ๋องก็ช่างบางเบาเสียเหลือเกิน นางเคยลองถามหยั่งเชิงไทเฮาดูแล้ว ทว่านางไม่มีวี่แววว่าจะช่วย นางจึงทำได้เพียงพักความคิดไว้เพียงเท่านั้น
จนกระทั่งหมิงเย่ว์และจูจื่ออวี้สร้างเรื่องอื้อฉาว นางจึงเลิกฝันว่าบุตรสาวของตนจะได้อภิเษกกับเชื้อพระวงศ์ ลำพังแค่การจะหาคู่ครองที่เหมาะสมก็ยากเย็นแสนเข็ญแล้ว
ไม่คิดไม่ฝันว่าความเจ็บป่วยของไทเฮาครั้งนี้จะนำมาซึ่งโชคลาภสุดประเสริฐถึงเพียงนี้
ถึงแม้นางจะติดเรื่องภูมิหลังของมารดาของเซียงอ๋องอยู่เล็กน้อย แต่อย่างไรเสีย เซียงอ๋องก็นับว่าเป็นสายเลือดของฮ่องเต้ หากหมิงเย่ว์ได้อภิเษกกับเซียงอ๋อง นางก็จะกลายเป็นพระชายา
“ว่าอย่างไร หากเจ้าเห็นว่าเซียงอ๋องไม่เหมาะสมแล้วล่ะก็…”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางตอบทันควัน “เหมาะสมเพคะ! อายุอานามของเซียงอ๋องและหมิงเย่ว์ต่างก็ไล่เลี่ยกัน ทั้งคู่นับว่าเติบโตมาด้วยกัน เหมาะสมอย่างยิ่งเพคะ ขอบพระทัยไทเฮาแทนหมิงเย่ว์ด้วยเพคะ”
ไทเฮาโบกมือ “พูดอะไรของเจ้า อย่างไรเสียหมิงเย่ว์ก็นับว่าเป็นหลานสาวของข้า หนำซ้ำยังช่วยชีวิตข้าเอาไว้ นี่นับว่าเล็กน้อยนัก เรื่องนี้ข้าเสนอกับฝ่าบาทเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อเจ้ามิได้คัดค้าน ข้าก็จะนำราชโองการนี้ไปถ่ายทอดต่อ”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางกลับไปยังจวนของตนพร้อมกับความสุขล้นปรี่ นางยังไม่ทันดื่มชาสักถ้วยก็รี่ไปที่เรือนของชุยหมิงเย่ว์ก่อนเป็นอันดับแรก
ในห้องส่วนตัวของนางอบอวลไปด้วยกลิ่นยาจางๆ แม้กลิ่นนั้นลอยเข้าไปในจมูกขององค์หญิงใหญ่ แต่นางกลับรู้สึกว่ามันหอมหวนเสียยิ่งกว่ากลิ่นของบุปผา
ชุยหมิงเย่ว์กำลังเอนหลังพิงหมอนพลางอ่านตำราในมือ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมอง แล้วส่งยิ้มให้ผู้มาเยือน “ท่านแม่มาแล้วรึเจ้าคะ”
นางเตรียมจะยันร่างลุกขึ้น ทว่าผู้เป็นมารดากลับเร่งฝีเท้าเข้ามารั้งเอาไว้ “นอนพักลงเถิด เจ้ายังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
แน่นอนว่าแผลนั้นยังคงปวดระบม เพียงแต่นางตอบพลางส่งยิ้มแผ่วเบา “ไม่แล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของบุตรสาวแล้ว องค์หญิงใหญ่หรงหยางก็ได้แต่ถอนหายใจยาวออกมา
เฉือนเนื้อสดๆ บนแขนจะไม่เจ็บไม่ปวดได้อย่างไรเล่า!
นางคว้ามือบุตรสาวมาจับไว้พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หมิงเย่ว์ ความทุกข์ยากที่เจ้ากำลังประสบนี้ ไทเฮาทรงรับรู้ได้ และพระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าต้องเจ็บปวดโดยเปล่าประโยชน์”
ชุยหมิงเย่ว์หลับตาลงพลางยิ้มบางเบา “ลูกมิได้คาดหวังสิ่งใดตอบแทน ขอเพียงไทเฮาหายดีก็เท่านั้น”
ตั้งแต่เรื่องปีนั้นจนถึงตอนนี้ นานเท่าไรแล้วที่นางไม่ได้เห็นความยินดีของผู้เป็นมารดาอย่างเช่นในตอนนี้ ครั้นจะว่าไปแล้ว เรื่องที่นางจะพลิกชะตาชีวิตได้จริงหรือไม่ ล้วนแล้วแต่พึ่งพาความสามารถของตัวเองทั้งสิ้น
“เจ้าเนี่ยนะ หากรู้ความเสียตั้งแต่ตอนนั้น คงไม่มีเรื่อง…” องค์หญิงใหญ่หรงหยางกลืนถ้อยคำประโยคหลังลงคอไป “ช่างเถอะ อย่าไปพูดถึงเลยจะดีกว่า หมิงเย่ว์ ข้ามีข่าวดีจะบอก”
ชุยหมิงเย่ว์ช้อนตาขึ้นมองผู้เป็นมารดา
คิ้วคู่งามและดวงตาเป็นประกายขององค์หญิงใหญ่ในยามนี้เห็นได้ชัดว่านางอารมณ์ดีไม่น้อย นางลดเสียงลงกล่าวว่า “เพราะพระเมตตาของไทเฮา ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งให้เจ้าอภิเษกกับเซียงอ๋อง”
ใบหน้าของชุยหมิงเย่ว์แสดงความปีติออกมาอย่างประจวบเหมาะ “จริงหรือเจ้าคะ”
ครั้นเห็นว่าบุตรสาวมีท่าทียินดี ผู้เป็นมารดาก็รู้สึกเบาใจ จึงแย้มยิ้มพลางบอก “แม่จะหลอกให้เจ้าดีใจไปไย เจ้าน่ะก็เตรียมตัวให้พร้อม เพราะราชโองการเรื่องพิธีอภิเษกของเจ้าคงถูกถ่ายทอดไปในไม่ช้า”
“ลูกรับทราบเจ้าค่ะ ขอบคุณท่านแม่ที่คอยห่วงใยข้ามาโดยตลอด”
องค์หญิงใหญ่หรงหยางจากไปพร้อมความพึงใจที่พองฟูเต็มอก
ชุยหมิงเย่ว์จ้องมองม่านลูกปัดที่แกว่งส่ายไปมาด้วยแววตาเย็นชา
เซียงอ๋องงั้นหรือ
คนที่มีมารดาเป็นนางในร่ายระบำ องค์ชายที่เติบโตมาเฉกเช่นวัชพืชในวังหลวง คนที่เห็นนางทีไรเป็นต้องส่งยิ้มหยาดเยิ้มอยู่ร่ำไปงั้นหรือ เขาเหมาะที่จะเป็นสามีของนางจริงๆ งั้นหรือ
เอาเถอะ มองอย่างไรในตอนนี้ก็คงไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้อีกแล้ว อย่างไรเสียการได้อยู่ในวงศาคณาญาติของฮ่องเต้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว
ชุยหมิงเย่ว์พยายามระงับความไม่ยี่หระนั้นไว้ในใจ และอดทนรออย่างใจเย็น
ราชโองการให้เซียงอ๋องอภิเษกกับชุยหมิงเย่ว์ผู้เป็นบุตรีขององค์หญิงใหญ่หรงหยางถูกส่งต่อไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นเซียงอ๋องได้ทราบความนั้นก็ปลีกตัวเข้าไปในห้องตำราเพียงลำพัง เขาหักพู่กันในมือไปถึงสามด้ามกว่าอารมณ์จะกลับสู่สภาวะปกติ