ภาค 3 บทที่ 67

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก – ภาค 3 บทที่ 67 เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง
บทที่ 67 เขาเป็นคนดีคนหนึ่ง
โดย
Ink Stone_Romance
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”

สายลมคืนวสันตฤดูพัดผ่านห้องโถง พาความสบายประมาณหนึ่งมา

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วที่ตามมาด้วยกันกับเฉินชี ฟังคุณหนูจวินพูดจบพยักหน้า ถอนหายใจท่าทางเข้าใจขึ้นมาบ้าง

“คุณชายหนิงไม่เลวจริงๆ” เขาเอ่ย

เฉินชียื่นมือลูบปลายจมูก

“เป็นคนดีคนหนึ่งจริงๆ ” เขาเอ่ย

“ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ปล่อยไปตามสถานการณ์?” ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยถาม

“เดิมทีพวกเราก็เคยคิดว่านายน้อยไม่เหมาะสม”เฉินชีอดไม่ได้เอ่ยแทรก มองผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว “คุณชายหนิงผู้นั้นออกหน้าทำเรื่องนี้ก็ไม่มีปัญหาแล้วใช่ไหมเล่า?”

หนิงอวิ๋นเจาชาติกำเนิดเป็นตระกูลขุนนาง ทั้งยังเป็นจอหงวนคนใหม่ ตระกูลหนิงยังเป็นขุนนางใหญ่อีกด้วย คนเช่นนี้ ลู่อวิ๋นฉีก็ดี ฮ่องเต้ก็ดี ก็ต้องครุ่นคิดสักหน่อย

ฐานะของหนิงอวิ๋นเจาย่อมไม่มีปัญหา ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองคุณหนูจวิน

“คุณหนูจวิน ท่านไม่มีปัญหาใช่ไหม?” เขาเอ่ยถาม

รู้จักกันมานานขนาดนี้เขาย่อมรู้นิสัยของเด็กสาวคนนี้เช่นกัน นางทำสิ่งใดล้วนมีความคิดเป็นของตนเอง

คุณหนูจวินยิ้มส่ายศีรษะ

“ไม่มีปัญหา” นางเอ่ย

ก็ไม่อาจมีปัญหา ไม่อย่างนั้นปัญหาคงยิ่งใหญ่ ยิ่งวุ่นวายแล้ว

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วตบมือลุกขึ้นยืน

“ถ้าอย่างนั้นก็เอาเช่นนี้ ดาบเร็วตัดความยุ่งยากเรื่องนี้ที่หัวหน้ากองพันลู่ก่อคลี่คลายแล้ว” เขาเอ่ย “แม้ปัญหาเรื่องหัวหน้ากองพันลู่ไม่มีทางจบลงจริงๆ แต่อย่างไรก็ดีกว่าลงมือกับเรื่องบุรุษสตรีน่ารังเกียจเช่นนี้”

“ถูก ดาบจริงทวนจริงเข้ามา พวกเราใครกลัวใคร” เฉินชีทำท่าถกแขนเสื้อ

หลายคนหัวเราะขึ้นมา บรรยากาศในค่ำคืนวสันตฤดูกลายเป็นสุขสันต์

“พวกเราผ่อนคลายได้บ้างแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ย “ทุกคนก็พักผ่อนให้สบายสักหน่อยเถอะ”

ใช่แล้ว ต่อไปสายลมย่อมเปลี่ยนทิศไปยังหนิงอวิ๋นเจาฝั่งนี้แล้ว

เฉินชียิ้มพยักหน้า

“คุณชายหนิงเป็นคนดีคนหนึ่งจริงๆ” เขาเอ่ยอีกครั้ง

ส่วนผู้ดูแลใหญ่หลิ่วลูบเครา

“ก็นับว่าสวรรค์มีความยุติธรรม” เขาเอ่ย “บุญคุณช่วยชีวิตปีนั้นของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวินได้ผลตอบแทนแล้ว”

เฉินชีลูบปลายจมูกอีกครั้ง มองไปทางเงาแผ่นหลังของเด็กสาวที่เดินไปทางด้านในเรือน

“เป็นความยุติธรรมของคุณหนูจวินด้วย” เขาเอ่ยเสียงเบา เลิกคิ้ว

คุณหนูจวินตั้งแต่มาถึงหยางเฉิงวันนั้นก็โวยวายกับตระกูลหนิงจนไก่บินสุนัขวิ่ง ทุกเรื่องล้วนไม่น่าพอใจ ตามหลักแล้วหนิงอวิ๋นเจากับคุณหนูจวินควรกลายเป็นศัตรู อย่างน้อยก็ควรกระอักกระอ่วนไม่ไปมาหาสู่กัน ใครจะคิดว่าอ้อมไปอ้อมมาเสียรอบหนึ่ง หนิงอวิ๋นจะช่วยเหลือคุณหนูจวินเช่นนี้

แม้ไม่รู้ว่าคุณหนูจวินที่แท้ทำสิ่งใดกับหนิงอวิ๋นเจา แต่หนิงอวิ๋นเจาย่อมไม่มีทางตัดสินใจทำเช่นนี้เพียงเพราะบุญคุณช่วยชีวิตเมื่อตอนนั้นของนายท่านผู้เฒ่าตระกูลจวินแน่ ไม่อย่างนั้นใยต้องรอจนถึงตอนนี้

“ที่จริง เรื่องนี้กลายเป็นจริงก็ออกจะดีเหมือนกัน” เฉินชีใช้แขนถองผู้ดูแลใหญ่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง

“อย่าหลบหลู่การกระทำเยี่ยงวิญญูชนของคุณชายหนิง” เขาเอ่ย

เฉินชีหัวเราะหึหึแล้ว

“ข้าพูดส่งเดชน่ะ พูดส่งเดช” เขายิ้มเอ่ย

แต่เขาไม่เชื่อหรอกว่าในใจคุณชายสิบหนิงไม่ได้คาดหวังจะอาศัยละครทำจริงแม้แต่น้อยนิดเลยจริงๆ

ทุกคนล้วนเป็นบุรุษไหม ความคิดของบุรุษล้วนเข้าใจ

ผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมองดูเฉินชีที่ยักคิ้วหลิ่วตาส่ายศีรษะ

“ข้าไปเขียนจดหมายให้นายน้อย ให้เขาวางใจด้วย” เขาเอ่ย

ส่วนนายน้อยได้รับจดหมายแล้วจะวางใจจริงหรือไม่ เขาก็ไม่แน่ใจแล้ว

ทุกคนล้วนเป็นบุรุษ ความคิดของบุรุษไหมเล่า ที่จริงก็เข้าใจง่ายนัก

ความคิดของบุรุษเข้าใจง่ายหรือไม่ เสี่ยวติงไม่มีความเห็นอะไร แต่ความคิดของคุณชายของตน เขาไม่เข้าใจอยู่บ้างแล้ว

“ข้าย่อมเข้าใจความในใจที่คุณชายมีต่อคุณหนูจวิน” เขายกโคมไฟส่องทางให้หนิงอวิ๋นเจา เด็กรับใช้ตัวน้อยเลิกคิ้วอย่างหาได้ยาก ท่าทางครุ่นคิดวิตก “แต่ข้ารู้สึกว่าท่านทำเรื่องเช่นนี้อย่างไรก็ไม่ดีนัก”

พวกเขาทะลุผ่านตลาดกลางคืนอันคึกคักมาแล้ว เดินบนถนนที่ค่อนข้างเงียบสงบ

หนิงอวิ๋นเจามองเขา ยิ้มแล้ว

“เจ้าไม่เข้าใจ” เขาเอ่ย แต่คนอื่นเข้าใจไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เด็กสาวคนนั้นเข้าใจก็พอแล้ว เขายิ้มอีกครั้ง “การกระทำเช่นนี้ของข้า ไม่อาจตัดสินดีไม่ดีที่แท้จริงตามคำวิจารณ์ว่าดีไม่ดีของคนรอบข้างได้”

เสี่ยวติงมองเขา

“ถ้าอย่างนั้นใช้สิ่งใดมาตัดสินว่าดีไม่ดีเล่าขอรับ?” เขาเอ่ยถามไม่เข้าใจ

“ใช้ตามใจปรารถนาหรือไม่” หนิงอวิ๋นเขายิ้มเอ่ย “ขอเพียงเป็นเรื่องที่ตนเองอยากทำ แม้คนพันหมื่นร้องห้าม แม้พันไม่ดีหมื่นไม่ดี ทำเรื่องที่ตนเองอยากทำย่อมดี”

แม้ฟังไม่เข้าใจ แต่เสี่ยวติงรู้คุณชายตอนนี้อารมณ์ดียิ่งนักจริงๆ รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกว่าลมฤดูใบไม้ผลิ

ลมราตรีพัดมา โคมที่ถืออยู่ในมือสั่นไหววูบหนึ่ง ทำให้ถนนใต้เท้าพร่ามัวไปบ้าง ลมฤดูใบไม้ผลิน่าหงุดหงิดนี่ เสี่ยวติงขมวดคิ้ว

“คุณชาย ที่ข้าพูดถึงไม่ใช่เรื่องนี้” เขาถอนหายใจเอ่ย “ข้าหมายถึง ทำเช่นนี้ไม่ดีกับคุณหนูจวิน”

งั้นรึ? หนิงอวิ๋นเจาสนใจยิ่งนักมองเสี่ยวติง

“ท่านทำเช่นนี้จะทำให้คุณหนูจวินไม่ถูกกับนายหญิงแล้ว อนาคตความสัมพันธ์แม่สามีลูกสะใภ้ก็ยากจะประสานแล้ว” เสี่ยวติงเอ่ยสีหน้าจริงจัง

หนิงอวิ๋นเจาอึ้งไป จากนั้นก็หัวเราะฮ่าฮ่าเสียงดัง

เสียงหัวเราะลอยไปบนถนน ใสกังวานเป็นพิเศษ

“ท่านหัวเราะอะไรเล่า คุณชายท่านไม่เข้าใจ เรื่องระหว่างสตรีนี่ยุ่งยากยิ่งนัก” เสี่ยวติงขมวดคิ้ววิตกทั้งยังกังวล “นายหญิงใหญ่เดิมก็ไม่ชมชอบคุณหนูจวิน ท่านประกาศว่ายังคงหมั้นหมายกับคุณหนูจวินเหมือนเดิมกะทันหันเช่นนี้ นายหญิงใหญ่ต้องโกรธตายแน่นอน”

“ถ้าอย่างนั้นมารดาย่อมโกรธข้า เรื่องนี้เป็นข้าทำออกมาไหมเล่า” หนิงอวิ๋นเจายิ้มเอ่ย

“ถึงบอกว่าคุณชาย ท่านไม่เข้าใจ” เสี่ยวติงส่ายศีรษะ “นายหญิงใหญ่ไม่มีทางโกรธท่าน มีแต่จะชังคุณหนูจวิน ต่อให้คุณหนูจวินไม่ได้ทำสิ่งใดเลย ในสายตานายหญิงใหญ่เป็นความผิดของนาง ล้วนเป็นความผิดของนาง”

“เช่นนี้หรือ ไม่มีเหตุผลอยู่บ้างแล้ว” หนิงอวิ๋นเขายิ้มเอ่ย

“เรื่องระหว่างสตรีนี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องระหว่างแม่สามีลูกสะใภ้นี่ก็ไม่มีเหตุผลเช่นนี้” เสี่ยวติงพยักหน้าอย่างจริงใจหวังดี

“ไม่มีเหตุผล วิธีน่าจะยังมีกระมัง?” หนิงอวิ๋นเจาก็ท่าทางจริงจังขึ้นอยู่บ้างเอ่ยถามด้วย

เสี่ยวติงเบ้ปากส่ายศีรษะ

“ไม่มีวิธี” เขาเอ่ย “ทำยากนัก หากคุณชายท่านประจบให้นายหญิงใหญ่ดีใจก่อน ให้นางอนุญาตค่อยไปเอ่ยเรื่องแต่งงานกับคุณหนูจวิน อาจทำง่ายกว่าอยู่บ้าง”

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง

“บนโลกนี้เรื่องที่ทำยากมากมายนัก” เขาเอ่ย แล้วหุบรอยยิ้ม “ทว่าทำยากก็ต้องทำ”

เสี่ยวติงส่ายศีรษะอีกครั้ง สีหน้ากังวล

“ทำไม่ง่าย ทำไม่ง่าย ความสัมพันธ์แม่สามีลูกกสะใภ้นี่ไม่มีทางแก้” เขาเอ่ย

หนิงอวิ๋นเจาหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง ถกเถียงจริงจังเช่นนี้กับเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นก็สนุกดีเหมือนกัน

แต่เวลานี้หนิงเหยียนที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือไม่รู้สึกสนุกสักนิด

ความยินดีที่ได้ตำแหน่งจอหงวนสลายหายไปนานแล้ว มองกระดาษที่กางอยู่ตรงหน้า รู้สึกเพียงปวดศีรษะ

ประตูดังขึ้นเบาๆ นายหญิงรองหนิงยกชามน้ำแกงใบหนึ่งเข้ามา

“อย่างไรก็กินอะไรหน่อยเถอะ กลางวันก็ไม่ได้ทาน” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบาอ่อนโยน

หนิงเหยียนยื่นมือกดหน้าผาก

“เขาเล่า?” เขาเอ่ยถาม “ออกไปแล้ว?”

นายหญิงรองหนิงตอบอืม

“บอกว่าจะไปหาคุณหนูจวินฝั่งนั้นบอกกล่าว อย่างไรนางก็ไม่รู้” นางเอ่ย

แน่นอนคำพูดนี้เป็นหนิงอวิ๋นเจาเอ่ย คุณหนูจวินรู้หรือไม่รู้ ในใจนายหญิงรองหนิงยังสงสัย เรื่องใหญ่เช่นนี้ หนิงอวิ๋นเจาจะหัวร้อนบุ่มบ่ามชั่วขณะจริงหรือ?

นั่นเป็นเรื่องใหญ่เกี่ยวกับการแต่งงานเชียวนะ

เรื่องใหญ่ที่ต้องใช้ทั้งชีวิตร่วมกับคนคนหนึ่งเชียวนะ

หากไม่สมหวังแม้สักนิด บุรุษคนไหนก็ไม่มีทางบุ่มบ่ามเอ่ยวาจาเช่นนี้กระทำเรื่องเช่นนี้

บอกว่าเพื่อคุณธรรม ไม่มีความรักชายหญิงสักนิด นายหญิงรองหนิงไม่มีทางเชื่อหรอก

“ท่านว่าพวกเขาได้ยังไง…” นางอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “สักนิดก็ไม่สังเกตเห็นได้อย่างไรกัน? อวิ๋นเจาเขาไม่ใช่อยู่ที่บ้านพวกเราก็อยู่ที่กั๋วจื่อเจี้ยนหรือ ตามคุณหนูจวินได้อย่างไร…อีกอย่าง นี่ก็เป็นไปไม่ได้”

ก็ความสัมพันธ์ของตระกูลหนิงกับตระกูลจวินนี่ เป็นคนผ่านทางพยักหน้าทักทายได้ก็ไม่เลวแล้ว จะตกหลุมรักได้อย่างไร? หรือเพราะชื่อเสียงหมอเทวดาของคุณหนูจวินคนนี้? จึงชื่นชมนาง?

ก็ไม่แน่ กระทั่งหัวหน้ากองพันลู่คนนั้น แล้วยังมีบุตรชายเฉิงกั๋วกงอีก ก็ไม่ใช่ล้วนถูกล่อลวงหรือ?

ความคิดแล่นผ่าน นายหญิงรองหนิงก็สบถทีหนึ่ง

นางเอาอวิ๋นเจาไปเทียบเคียงกับสองคนนั้นได้อย่างไรกัน

ไม่ว่าพูดอย่างไร คุณหนูจวินคนนี้ก็ร้ายกาจจริงๆ

“พี่สะใภ้ใหญ่รู้เข้าไม่โกรธตายหรือ” นางเอ่ยพึมพำกับตนเอง

ได้ยินคำว่าพี่สะใภ้ใหญ่สองคำ ศีรษะของหนิงเหยียนก็ปวดเพิ่มขึ้นหลายส่วน

จดหมายนี่ควรเขียนอย่างไร?

คิดไม่ถึงจริงๆ เป็นจดหมายแจ้งข่าวดีฉบับหนึ่งแท้ๆ กลับจรดพู่กันยากนัก

ก็อย่างที่นายหญิงรองหนิงว่า หากนายหญิงใหญ่หนิงที่ชะเง้อคอรอคอยอยู่ที่บ้านรู้ข่าวนี้เข้า…

หนิงเหยียนยื่นมือค้ำหน้าผาก

ยากจะจินตนาการว่าจะเป็นภาพอย่างไร

……………………………………….