บทที่ 392 มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะเป็นบรรพบุรุษของเขา

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 392 มีความเป็นไปได้ที่ข้าจะเป็นบรรพบุรุษของเขา

เมื่อคิดจุดนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจางๆ ก่อนจะขยับปากพูด

“เช่นนั้นก็เริ่มด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของราชครูก่อน!”

เดิมทีหลานเยาเยาคิดว่า ความสัมพันธ์ของเย่แจ๋หยิ่งและราชครูแห่งราชวงศ์เก่านั้นดีมาก ดังนั้นเย่แจ๋หยิ่งถึงได้เชื่อฟังคำพูดของเขามาก

กลับคิดไม่ถึงว่า······

การเริ่มต้นรู้จักกันของทั้งสองนั้น น่าตกใจมากยิ่งนัก

หลังจากที่เย่แจ๋หยิ่งฝ่าฝันการสู้รบมาแล้วหลายครั้งหลายครา เขาก็มีชื่อเสียงขึ้นมา และกลายเป็นองค์ชายเก้านักรบผู้กล้าหาญและดุร้าย หลังจากที่เลื่องลือมาถึงพระราชวัง ในตอนนั้นฮ่องเต้จึงได้ยกย่องเขาโดยการราชทานตำแหน่งอ๋องเย่ให้กับเขา

โดยจุดประสงค์ที่แท้จริงไม่ใช่เพื่อที่จะยกย่องเขา แต่เพราะอยากมองดูว่าเมื่อไหร่เขาจะตายในสนามรบเสียที

มีครั้งหนึ่งที่ได้นำกองกำลังเข้าไปซุ่มโจมตีค่ายของศัตรู แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดกองกำลังของศัตรูถึงได้รู้ข่าวคราวเรื่องการซุ่มโจมตีก่อน ดังนั้นเขาถึงได้เข้าไปในกับดักของอีกฝ่าย

ซึ่งกว่าเขาจะหนีออกมาจากกับดักนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ก็ยังกลับถูกทำร้ายโดยทหารในกองทัพตัวเอง เขาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปถูกทิ้งลงไปในหลุมคนตาย จากนั้นราชครูก็ปรากฏตัว

ในตอนนั้นราชครูได้พาคนมาขนศพของผู้ที่ตายในสนามรบ ราชครูที่คิดว่าเขาตายแล้วจึงได้พาเขาขนไปพร้อมกับศพเหล่านั้น ขนไปยังหุบเขาจิ้นที่อยู่ชาวหยินไห่ ก่อนจะพบว่าเขายังไม่ตาย ทั้งยังได้เห็นว่าเลือดของเขาสามารถทำให้หญ้าที่แห้งเหี่ยวไปแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ ดังนั้นจึงได้ช่วยชีวิตเขาเอาไว้

หลังจากนั้นเย่แจ๋หยิ่งก็ค่อยๆเติบโตภายใต้การจับจ้องของราชครู

จากนั้นยิ่งนานวันเข้าเขาก็ยิ่งค่อยๆพบความลับบางอย่างของราชครู

ราชครูอยากจะใช้หนอนพิษกู่ในการควบคุมคน สร้างกองทัพนับล้าน รวบรวมทั้งทวีปเข้าหากัน แล้วยังแอบเสาะหายายาฉางตานที่ซ่อนอยู่ เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่เป็นอมตะ แล้วครอบงำทุกสิ่ง

เพื่อที่จะเข้าใจถึงอำนาจของราชครู

เพื่อเลือดของเขาราชครูจึงตัดสินใจจะเก็บเขาเอาไว้เป็นศิษย์ เขาจึงได้ยกย่องเทิดทูนราชครูให้เป็นอาจารย์ จนได้กลายเป็นลูกศิษย์

แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นศิษย์ แต่ก็ยังไม่เท่ากับการเป็นผู้ให้เลือดแก่ราชครูในการกลั่นยา

ดังนั้นการหายตัวไปเมื่อหลายปีมานี้ของราชครูนั้น มันก็เป็นเพียงการปิดบังเท่านั้น

อีกทั้ง!สถานที่ในการปลูกดอกกระดูกขาวของราชครูก็ไม่ได้มีเพียงในหุบเขาจิ้นในหมู่บ้านชนเผ่าหยินไห่ที่เดียวเท่านั้น เขายังแอบลักลอบเพาะเลี้ยงหนอนพิษกู่ในสถานที่อื่นอีกด้วย เมื่อได้รับรู้เรื่องเหล่านี้ หลานเยาเยาก็ถึงกับอึ้งเป็นอย่างมาก

เดิมทีเข้าใจว่าเย่แจ๋หยิ่งที่มีอำนาจคับฟ้า เติบโตมาด้วยสุขสบายและได้รับการเอาอกเอาใจ แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเติบโตมาเช่นนี้

ในขณะที่อยู่ยังชายแดนก็ต้องฝึกปรือตัวเอง รวบรวมอำนาจของตัวเอง เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกกลอุบายของคนในพระราชวัง

แล้วยังจะต้องคอยมอบเลือดแก่ราชครูในการกลั่นยา ทั้งยังต้องเสาะหาอำนาจที่ราชครูมีอยู่ทั้งหมด

เขาไม่เคยใช้ชีวิตนี้เพื่อตัวเองเลย······

“เย่แจ๋หยิ่ง สถานที่ใช้เพาะปลูกดอกกระดูกขาวมีมากเพียงใดกัน?”

“เท่าที่ข้าหาเจอนั้นยังมีอีกสี่ที่ แบ่งไปตามประเทศเชียนหลิง ประเทศผึงไหล ซีเม่าแล้วก็สวนว่างฮัวของก่วงส้า”

ไม่นึกเลยว่ายังมีมากมายขนาดนี้

หลานเยาเยาเก็บความตกใจอยู่เงียบๆ ถึงจะรู้ว่าการที่ราชครูเทียนเวิงจะใช้หนอนพิษกู่ในการควบคุมกองทัพคนจำนวนมาก จะไม่ใช่เพียงการเพาะเลี้ยงหนอนพิษกู่เพียงที่เดียว แต่กลับคิดไม่ถึงว่ายังมีเยอะถึงเพียงนี้

และที่เหล่านี้เป็นเพียงพื้นที่ที่เย่แจ๋หยิ่งค้นหาเจอเท่านั้น ยังจะมีสถานที่อื่นที่ยังหาไม่พบอีกหรือไม่?

ยังมีอีกมากเท่าไหร่นั้น?

ก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้?

เพียงแต่······

“พิษกู่จิ้นเยอะขนาดนี้ ราชครูเทียนเวิงไปหามาแต่ไหนกัน?”

นี่ยังมีสถานที่ที่ให้กำเนิดหนอนพิษกู่อย่างไม่หยุดหย่อนอยู่อีก?

“ดังนั้น หลานเยาเยา และนี่ก็คือสิ่งที่ข้าอยากจะได้คำตอบจากตัวเจ้า หลังจากที่ได้รู้ว่าเจ้าและราชครูมาจากอีกโลก แต่น่าเสียดายที่หาไม่พบ เพราะเจ้ากับเขาไม่เหมือนกัน”

“เจ้ากำลังสงสัยว่า ราชครูเทียนเวิงกับข้า ต่างก็มาพร้อมกับระบบเช่นกัน สิ่งที่ข้ามีคือระบบรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ส่วนเขานั้นมาพร้อมกับระบบเกี่ยวกับหนอนพิษกู่เช่นนั้นหรือ?”

หลานเยาเยารู้สึกอึ้งอย่างเหลือเชื่อ

เพียงทว่าสิ่งนี้ความเป็นไปได้ที่น้อยเกินไป

ผู้ใดจะหารู้ว่า……

เย่แจ๋หยิ่งใช้สมองคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วมองไปยังนางอย่างหมดปัญญา

“หากเป็นเช่นนั้น เขาก็คงไม่จำเป็นต้องเลือกที่ซ่อนในการเพาะเลี้ยงหนอนพิษกู่”

“อ๋อ เช่นนั้นก็จริง !หากเขามีช่องว่างเช่นเดียวกับข้า เหตุใดจะต้องเพาะเลี้ยงด้วย ทั้งที่สามารถปล่อยหนอนพิษกู่ใส่ผู้คนได้ทันที !แล้วสิ่งที่เจ้าสงสัยคือสิ่งใดกัน?”

“บางทีรูปแบบการมาของเขาต่างจากของเจ้า”

เย่แจ๋หยิ่งเคยคิดว่าราชครูนั้นมีความลึกลับผิดปกติ เพราะเคยเสาะหาความเป็นมาของเขาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดทราบถึงความเป็นมาที่แน่นอนของเขาเลย

การบันทึกแรกสุดก็คืออยู่ในหนังสือทำเนียบบรรพชนของชนเผ่าหยินไห่

ซึ่งในบันทึกนั้นกล่าวเพียงแต่ว่าเขาเป็นผู้ที่มาจากดินแดนอื่น แล้วมาพักอาศัยอยู่ในชนเผ่าหยินไห่ จากนั้นก็ได้ขึ้นตำแหน่งกลายเป็นราชครูแห่งราชวงศ์เก่า โดยไม่ได้มีการกล่าวบันทึกรายละเอียดเลยแม้แต่นิด

เย่แจ๋หยิ่งเองก็ไม่เคยได้ยินราชครูกล่าวถึงสิ่งนี้เลยสักนิด

ทุกคนกล่าวเพียงว่าเขาเป็นคนจากดินแดนอื่น ซึ่งถูกกล่าวว่ามันเป็นดินแดนที่อยู่อีกฟากหนึ่ง ที่ผู้คนไม่มีผู้ใดเคยไปเท่านั้น

แต่ทว่า!

เย่แจ๋หยิ่งกลับเชื่อมั่นว่า คนที่อยู่จากแดนอื่นที่ผู้อื่นเข้าใจกับสิ่งที่ตัวเขาเข้าใจเกี่ยวกับคนจากดินแดนอื่นนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

เขาคิดว่าราชครูไม่เพียงแค่ไม่ใช่คนในดินแดนแห่งนี้ แต่เขายังไม่ใช่ผู้คนในโลกนี้อีกด้วย

เพราะเขาเคยเห็นและได้ยินสิ่งที่ราชครูกล่าวถึงหรือกระทำนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนในดินแดนนี้ทำหรือเข้าใจ

จนหลานเยาเยาปรากฏตัว

เขาถึงได้ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองมากขึ้น

เพียงทว่า……

สิ่งที่ทำให้เขาไม่เข้าใจคือ หลานเยาเยาเป็นวิญญาณที่เข้าสิงร่าง แต่ดูเหมือนว่าราชครูจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

“เจ้าจะบอกว่า……เขาเป็นคนทะลุมิติมาไม่ใช่วิญญาณข้ามภพ?”หลานเยาเยาค่อยพูดอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเร่งความเร็วคำพูดอย่างกะทันหัน

เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่เข้าใจของเย่แจ๋หยิ่ง หลานเยาเยาก็อดยิ้มไม่ได้

เย่แจ๋หยิ่งถึงแม้จะสุดยอดเพียงไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเข้าใจทุกอย่างได้ ดังนั้นนางจึงค่อยๆอธิบายออกมา

“การข้ามภพนี้นั้น ถูกแบ่งออกเป็นสองรูปแบบ รูปแบบที่หนึ่งก็คือแบบของข้า ที่ตายโดยไม่ทันได้รู้ตัว วิญญาณจึงได้ล่องลอยข้ามภพมาอยู่ในร่างของหลานเยาเยาคนนี้ ส่วนอีกรูปแบบหนึ่งก็คือในคนที่อยู่ในอีกโลกหนึ่งยังไม่ตาย แต่ร่างกายและวิญญาณได้บังเอิญผ่านเข้าไปยังทางเชื่อมต่อแห่งประตูมิติหรือผ่านอุโมงค์กาลเวลาข้ามเข้ามาอยู่ในโลกแห่งนี้ ดังนั้นที่เจ้าสงสัยก็คือราชครูเทียนเวิงเป็นคนทะลุมิติใช่หรือไม่?”

เมื่ออธิบายเช่นนี้

เย่แจ๋หยิ่งถึงได้ค่อยพยักหน้า พร้อมตอบ“อืม”เบาๆ

จากนั้นดวงตาของนางก็ประกายแสงออกมา:“ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ในเมื่อราชครูสามารถใช้ร่างทะลุมิติมาที่นี่ได้ เช่นนั้นข้าก็สามารถที่ใช้ร่างทะลุมิติกลับไปได้ด้วยเช่นกันนั้นสิ?”

หากว่าเหล่าพองเพื่อนรู้ว่านางยังไม่ตาย ทุกคนจะมีความสุขขนาดไหนกัน!

เดิมทีนาเพียงพูดออกไปเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังสิ่งใดมากมาย แต่กลับถูกเย่แจ๋หยิ่งบีบมือจนรู้สึกเจ็บ

ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเผชิญหน้ากับดวงตาอันลึกล้ำของเย่แจ๋หยิ่ง

“เป็น เป็นอันใดไป?”

จู่ๆก็ใช้สายตาเช่นนี้มองนาง หลานเยาเยาก็มีความรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ถูก

“พวกเรากำลังพูดคุยเรื่องของราชครูอยู่ เรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องก็อย่าเพิ่งไปคิดฟุ้งซ่านเลย”เย่แจ๋หยิ่งพูดด้วยสีหน้าที่นิ่งเรียบ

“อ๋อ!”

นางคิดฟุ้งซ่านอะไรกัน?

ไม่ได้คิดอะไรเลย!ไม่ใช่ว่ากำลังคุยเรื่องของราชครูอยู่ไม่ใช่หรือไร เจ้าคนนี้ ช่างจริงๆเสียเลย

“ตอนนี้สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น แต่ราชครูเทียนเวิงสามารถมีหนอนพิษกู่จำนวนมากขนาดนั้นได้ถือว่าเป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่ออย่างมาก และสิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือการที่เขาสามารถนำพิษที่เกี่ยวข้องกับซอมบี้เข้าสู่พิษกู่จิ้นได้นั้น ก็เพียงพอที่จะเข้าใจได้เลยว่าถึงแม้ข้าและเขาจะมาจากโลกเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้อยู่ในช่วงยุคเวลาเดียวกัน”

“พูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”เย่แจ๋หยิ่งขมวดคิ้ว

“อืม บางทีข้าอาจจะเป็นบรรพบุรุษของเขา”

“……”

นี่เป็นการอธิบายอย่างหนึ่ง

ถึงแม้นางจะอยู่ในยุคปัจจุบัน ซึ่งก็นับว่ามีความทันสมัยมากแล้ว แต่ดูเหมือนคนที่สามารถฝังระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บไว้ในสมอง และสามารถเชื่อมต่อสื่อสารกับความคิดได้ จะเพียงนางแค่คนเดียว

และในยุคที่นางอยู่นั้น ก็ยังไม่มีซอมบี้ด้วย

ทั้งสองคนนั่งคุยกันต่ออยู่ในรถม้าสักพัก จนใกล้จะถึงตำหนักเทพธิดา ทันใดนั้นเย่แจ๋หยิ่งก็เปลี่ยนหัวข้อจากเรื่องของราชครูเทียนเวิงมายังเรื่องของเขา

“เยาเยา ตอนนี้ก็กลับมาถึงตัวตนของข้าแล้ว”

“จะต้องพูดจริงงั้นหรือ?”

ถึงแม้นางอยากจะรู้ แต่ก็ยังมีความกลัวที่จะรู้เช่นกัน

“เจ้าไม่อยากฟัง?”เย่แจ๋หยิ่งจ้องไปยังนางทันที

“เปล่า ไม่ใช่แน่นอน”ล้อเล่นหน่า นางกล้าไม่ฟังงั้นหรือ?ดูจากท่าทางของเย่แจ๋หยิ่งถึงนางจะไม่ฟัง นางคิดว่ายังไงเสียเขาก็ต้องพยายามพูดกรอกเข้าหูนางอยู่ดี

เพียงแค่เห็นเย่แจ๋หยิ่งโน้มตัวเข้ามา แล้วขยับริมฝีปากอันเยือกเย็นไว้ข้างหูของนาง ก่อนจะพูดออกมาด้วยความเรียบเฉย ที่ทำให้หลานเยาเยาถึงกับเบิกตากว้าง

อะไรนะ?

ตัวตนนี้น่าสยองขวัญเกินไปหรือเปล่า?