ตอนที่ 404 มหาสงครามวันสิ้นโลก

Full-time Artist ใครว่าผมไม่เหมาะเป็นศิลปิน

ผู้เชี่ยวชาญออกโรงทั้งที มีหรือจะไม่กระจ่าง

ต่อให้สุ่มเลือกใครสักคนจากกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวรรณกรรมนี้ พวกเขาก็ล้วนเป็นบุคลากรชื่อดังในแวดวงวัฒนกรรม

ไม่ว่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียงจากที่ใด ถ้าเข้ามาอยู่ในกลุ่มนี้ได้ ย่อมต้องได้รับการบ่มเพาะด้านวรรณกรรมมาบ้าง เพราะฉะนั้นมองปราดเดียว พวกเขาก็เห็นถึงความละเอียดอ่อนในกวีนิพนธ์ชิ้นนี้แล้ว!

ถึงกับมีคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา และขับขานบทประพันธ์ไปพร้อมกัน

วิธีการขับขานบทประพันธ์จะเป็นไปตามจังหวะอย่างเคร่งครัด และสอดคล้องกับความหมาย กล่าวได้ว่ามีทุกองค์ประกอบในคราวเดียว

ในความจริงแล้ว เมื่อมองจากบทแรก กวีนิพนธ์นี้ได้แสดงให้เห็นภาพรวมของผู้ประพันธ์แล้ว!

เหนือจริงและเปี่ยมพลัง ระคนความเดียวดายและถวิลหา จนแทบจะทะลุจากหน้ากระดาษ!

“จันทร์แจ่มเมื่อไรมี…”

เริ่มจากการเอ่ยถามซึ่งเป็นรูปแบบที่ตรงไปตรงมา แลดูเรียบง่ายเหลือเกิน

ต้องเข้าใจก่อนว่า วงการวรรณกรรมแสวงหาความงดงามที่ซ่อนไว้ภายใน ผู้ประพันธ์กวีนิพนธ์ทุกคนต่างแสวงหาการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและไม่สิ้นสุดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

มีฝีมือก็จริง แต่มีศิลปะมากกว่า

ในทัศนะของใครหลายคน หากเป็นกวีนิพนธ์ชมจันทร์ละก็ ทางที่ดีต้องไม่ปรากฏคำว่าจันทร์แม้แต่คำเดียว

อย่างไรก็ตาม นักเขียนคนนี้กลับใช้วิธีตรงกันข้าม

กวีนิพนธ์บทนี้กลับเปิดมาด้วยประโยคคำถามว่า ‘จันทร์แจ่มเมื่อไรมี’ ซึ่งเป็นความเอาแต่ใจประมาณว่า ‘ถ้าไม่ให้ฉันทำอะไร ฉันก็จะทำอย่างนั้น’

แต่ว่า…

เมื่อประกอบกับการอ่านเนื้อหาต่อๆ ไปแล้ว ความเอาแต่ใจนี้กลับแลดูเป็นการกลับไปสู่โลกความเป็นจริงเสียมากกว่า!

ไม่เชื่อหรือ?

งั้นอ่านต่อไป!

ตั้งแต่ ‘สุดล่วงรู้บนวิมาน’ แนวความคิดของผู้ประพันธ์ ได้แปรเปลี่ยนเป็นขุนเขา สายธาร และธรรมชาติ และเมื่อทุกคนได้เห็นวรรคหลังจาก ‘ข้าวอนสายลมนำไป’ ก็ถึงขั้นสัมผัสได้ถึงแรงของสายลมเหนือลำน้ำไหลรินสู่ทะเลโชยมาปะทะใบหน้า!

ทว่าศัพท์แสงก็ยังคงให้ความรู้สึกเหนือจริงอยู่

เพียงไม่กี่ประโยควรรค ก็สามารถฉายภาพบรรยากาศอันสุขสงบผ่อนคลายของตำหนักเซียนบนสวรรค์ออกมาได้

เมื่อถึงตอนนี้ ถ้าหากยังไม่ยอมอีกก็คงไม่ไหวแล้ว!

เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นกลุ่มแลกเปลี่ยนความรู้ด้านวรรณกรรมระดับสูงเช่นนี้ ก็ต้องตกใจเช่นกัน และพวกเขาควรตกใจอยู่หรอก เพราะถ้าหากผลงานอย่างทำนองวารีไม่อาจทำให้แวดวงวรรณกรรมแตกตื่นได้ แวดวงวรรณกรรมนี้ก็ควรพิจารณาความสามารถของตนเองเสียใหม่

อย่างไรก็ตาม เมื่ออาจารย์ท่านนั้นถามถึงผู้เขียน ผู้ที่ส่งผลงานชิ้นนี้เข้ามาในกลุ่มกลับไม่สามารถตอบได้ในทันที

ในทางกลับกัน การถกเถียงเกี่ยวกับผลงานชิ้นนี้ก็ได้เปิดฉากขึ้นอย่างคึกคัก

‘เป็นกลอนที่ดี แทบจะเป็นกวีนิพนธ์ชมจันทร์ที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยอ่านมา!’

‘กวีนิพนธ์ทั้งกลอนซือและสือมีมานมนาน ผลงานที่มีความหมายลึกซึ้งมีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ แต่ถึงกระนั้นเมื่อมาถึงสมัยปัจจุบัน ผลงานหลายชิ้นมักจะเดินบนเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงและเลือกใช้ศัพท์แสงแพรวพราวอย่างหาจุดจบไม่ได้ กวีผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถกลับคืนสู่พื้นฐานได้นั้นมีอยู่ก็จริง ทว่าสำหรับกวีนิพนธ์ชมจันทร์แล้ว ผู้ที่ถ่ายทอดความหมายออกมาได้ถึงระดับเดียวกับที่เราเห็นกันนี้กลับมีน้อยเหลือเกิน กวีคนนี้ไม่ธรรมดา’

‘เห็นด้วย’

‘บทกวีนี้เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แนวความคิดทางศิลปะก็เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด และขยายออกไปด้วยซ้ำ แต่ดันรับมือได้อย่างง่ายดาย…’

‘ประโยคว่า ขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์ ห่างพันลี้ร่วมชมจันทร์ ยอดเยี่ยมมาก’

‘ฉันกลับชอบมนุษย์มีสุขทุกข์พบพราก จันทร์มีขึ้นแรมกลมเสี้ยวมากกว่า เปรียบเปรยคนกับพระจันทร์ ส่งเสริมซึ่งกันและกัน’

‘…’

อาจารย์ซึ่งเริ่มต้นถามคำถามเป็นคนแรกแท็กสมาชิกซึ่งส่งบทกวีเข้ามาในกลุ่ม ‘เสี่ยวหวัง สรุปว่านี่เป็นผลงานของใคร อย่าบอกนะว่าคุณเขียนเอง ฝีมือคุณระดับไหนฉันรู้ดี’

‘อาจารย์หวัง ดูคุณพูดเข้าสิ ผมเขียนไม่ได้หรอก…เอาเถอะ เนื้อเพลงแบบนี้ผมเขียนไม่ได้จริงๆ’

ผู้โพสต์กวีนิพนธ์ซึ่งใช้ชื่อว่า ‘เสี่ยวหวัง’ ตอบอย่างกระอักกระอ่วน

ทว่าบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ในกลุ่มกลับจับใจความสำคัญในคำพูดของเสี่ยวหวังอย่างฉับไว

‘เนื้อเพลง?’

‘คุณพิมพ์ผิดหรือเปล่า’

‘นี่มันกลบทของกลอนสือโบราณชัดๆ ถ้าจำไม่ผิดคงจะเป็นทำนองวารี แต่ผู้เขียนคงจะพลิกแพลงเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ ทำนองวารีสืบทอดกันมานานถึงขนาดนี้ ฉันทลักษณ์เปลี่ยนไปไม่น้อย’

‘นั่นสิ คนเขียนเนื้อเพลงพวกนั้นจะเขียนผลงานระดับนี้ออกมาได้?’

‘เสี่ยวหวัง พูดอะไรก็ช่วยจริงจังหน่อย’

‘…’

ในกลุ่มนี้แม้ว่าจะมีแต่ขาใหญ่ ทว่าก็มีการแบ่งสูงต่ำ

‘เสี่ยวหวัง’ คนนี้เป็นบุคคลสำคัญและมีชื่อเสียงในวงการวรรณกรรมก็จริง แต่กลับเป็นผู้น้อยเมื่อมาอยู่ในกลุ่มของผู้ยิ่งใหญ่นี้ เขาจัดอยู่ในกลุ่มที่สถานะต่ำ ใครนึกอยากตำหนิเขาก็ย่อมทำได้

‘เป็นเนื้อเพลงจริงๆ ครับ!’

เสี่ยวหวังรีบแชร์เพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์เข้าไปในกลุ่ม ในใจรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ตลอดเวลา

กลุ่มนี้มีคนแก่อยู่เต็มไปหมด

มหาสงครามเทพเซียนอะไรนั่นเป็นเรื่องสนุกของคนอายุน้อย คนแก่เหล่านี้ไม่สนใจหรอก

พวกเขามักจะอ่านหนังสือ อ่านครั้งหนึ่งก็ใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้า ช่วงบ่ายก็มาถกเถียงกันในกลุ่ม บางครั้งมีเหตุการณ์เกิดขึ้นในโลกวรรณกรรมและศิลปะ คนแก่เหล่านี้ก็จะขบคิดพิจารณาว่าควรส่งเสียงออกไปดีหรือไม่…

เพียงแต่ทันทีที่พวกเขาส่งเสียงไป วงการวรรณกรรมก็จะสั่นสะเทือนครั้งใหญ่

ในกลุ่มเงียบลงชั่วคราว

เห็นได้ชัดว่าทุกคนกำลังฟังเพลง

ช่วงเวลาไม่กี่นาทีนี้มากพอให้ทุกคนฟังเพลงจนจบ ก่อนที่ในกลุ่มจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

‘กลอนสือดีขนาดนี้ กลับเอามาทำเป็นเนื้อเพลง? ไม่เข้าท่าเลย!’

บรรดาผู้ยิ่งใหญ่คล้ายว่าจะไม่พอใจ

ทว่าจากนั้นก็มีคนแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป

‘ฉันว่าแบบนี้ก็ดีนะคะ คนรุ่นใหม่สมัยนี้ชอบฟังเพลง ความนิยมของกวีนิพนธ์ไม่มีทางเทียบกับเพลงได้ การผสมผสานของผลงานทั้งสองประเภทจะทำให้ผู้คนหันมาสนใจกวีนิพนธ์โบราณมากขึ้นด้วย’

‘ทำผลงานดีๆ เสียเปล่า!’

ผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้น

ความคิดเห็นซึ่งขัดแย้งกันตามมาติดๆ ‘ผู้เฒ่าหลิวคุณพูดแบบนี้ อยากทราบว่าเสียเปล่าตรงไหนครับ ใส่ทำนองให้กลอนสือที่ใช้กลบทโบราณ ไม่ได้กลบความยอดเยี่ยมของตัวกลอนเลยนะครับ หนำซ้ำยังเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่ด้วย’

‘…’

ผู้สูงอายุซึ่งมีความคิดเห็นต่างกันสองแนวทางนั้นมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่การทะเลาะกัน

เสี่ยวหวังส่งข้อความอย่างระแวดระวัง ‘ผมว่า…อาจารย์ทุกท่าน ผมขอพูดอะไรหน่อยได้ไหมครับ’

‘พูดมา!’

อาจารย์ผู้ซึ่งเปิดประเด็นถามคนแรกกล่าว

เสี่ยวหวังพิมพ์ข้อความด้วยมือสั่นเทา ‘กวีนิพนธ์ใช้ในการขับร้องมาตั้งแต่สมัยก่อน เพียงแต่ทำนองไม่ได้รับการสืบทอดมาจนปัจจุบัน การใส่ทำนองให้กับกลอนสือนี้ก็เป็นสิ่งที่คนโบราณทำกัน ยิ่งไปกว่านั้น เซี่ยนอวี๋ทำทั้งทำนองและเนื้อร้องเพียงคนเดียว เขาย่อมมีสิทธิ์ในจุดนี้ครับ’

คำกล่าวนี้กระตุ้นให้สมาชิกในกลุ่มเริ่มขบคิด

คนแก่เหล่านี้ถึงแม้จะหัวรั้น แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ยอมรับทัศนะที่ถูกต้อง

‘จะว่าไปก็มีเหตุผล’

‘กลอนสือประกอบดนตรี สมัยก่อนก็มีจริงๆ’

‘ก็ใช่น่ะสิ ผู้สูงอายุอย่างพวกคุณนี่เชยสะบัด ปกติฉันฟังเพลงสมัยใหม่ เพลงนี้ร้องได้ดีมาก อีกเพลงหนึ่งที่ชื่อว่าสิบปี ฉันก็ชอบเหมือนกัน พวกคุณต้องไม่เคยฟังกันแน่เลย’

‘ร้องได้ดีจริงๆ เด็กผู้หญิงที่ร้องเพลงนี้ถ่ายทอดความหมายของกวีนิพนธ์ได้ถึงขั้นอยู่นะ’

‘แต่ตรงท่อนส่องหอคอยชาด ยังร้องไม่ชัดนะ ต้องร้องว่าหอไม่ใช่อ๋อ’

‘…’

เสี่ยวหวังอ่านบทสนทนาในกลุ่ม แต่กลับไม่กล้าบอกว่าเพลง ‘สิบปี’ ก็เป็นผลงานของเซี่ยนอวี๋เช่นกัน

ขณะนั้นเอง

ก็มีคนพูดขึ้นในกลุ่ม ‘คนเขียนคือเซี่ยนอวี๋ มีใครรู้จักบ้างไหมครับ’

‘เซี่ยนอวี๋หรือ ฉันรู้จัก’

บุคลากรซึ่งมีอำนาจในสมาคมวรรณศิลป์ก็ปรากฏตัวขึ้น พร้อมทั้งส่งข้อความสาธยายยาวเหยียด

‘เมื่อปีที่แล้วพวกคุณเคยถกเถียงกันเกี่ยวกับบทกลอนใช่ไหม กลอนบทที่บอกว่า ทิวเขาไร้วิหค เส้นทางร้างเงาคน สวมเสื้อฟางล่องเรือมา หิมะหนาตกปลาลำพัง ก็มาจากเซี่ยนอวี๋ นอกจากนั้นก็ยังมีประโยคว่า คนเขาเย้ยเยาะข้าว่าเสียสติจากกลอนดอกท้อ เซี่ยนอวี๋ก็เป็นคนเขียน ทั้งหมดมาจากภาพยนตร์เรื่องถังปั๋วหู่ ใหญ่ไม่ต้องประกาศที่เขาสร้างน่ะ นอกจากนั้นก็ยังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่ฉันจำไม่ได้ ฉันยังให้คนช่วยตรวจสอบ เซี่ยนอวี๋คนนี้เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยที่ยังเรียนไม่จบ อายุยังน้อยแต่พรสวรรค์ยอดเยี่ยม ฉันเคยตรวจสอบและพิจารณาให้เขาเข้าสมาพันธ์วรรณกรรม แต่เขายังอายุน้อยเกินไป ตอนนี้ยังเข้าร่วมไม่ได้’

เสี่ยวหวังเห็นข้อความนี้ก็สะดุ้งโหยง

สมาคมวรรณศิลป์ของบลูสตาร์ก็ติดตามเซี่ยนอวี๋?

นี่คือกระบอกเสียงของวงการวรรณกรรมและศิลปะ คือหน่วยงานดูแลศิลปินซึ่งทางการก่อตั้ง!

ทั้งการจัดอันดับเพลงแต่ละฤดูกาล ทั้งรางวัลต่างๆ ในอุตสาหกรรมนิยาย ล้วนมีสมาคมวรรณศิลป์เป็นโต้โผคอยจัดการ!

หน่วยงานที่ผู้คนต่างกรีดร้องปรารถนาอยากเข้าร่วม กำลังพิจารณาอย่างจริงจังถึงความเป็นไปได้ในการดึงเซี่ยนอวี๋เข้ามา?

ปรากฏว่าไม่สามารถดึงตัวมาได้ทันที เพราะเซี่ยนอวี๋ยังอายุน้อยเกินไป?

หากพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ เจ้าปลาตัวนี้จะน่ากลัวขนาดไหนนะ?

เสี่ยวหวังขนลุกซู่ เริ่มขบคิดถึงโอกาสในการคบค้าสมาคมกับเซี่ยนอวี๋ผู้ลึกลับคนนี้ในอนาคต

‘เขาคือเซี่ยนอวี๋?’

‘นักศึกษามหาวิทยาลัย?’

‘พูดแค่นี้ฉันก็เข้าใจแล้ว ยังเด็กน่ะ ชอบดนตรี ชอบกวีนิพนธ์ ชอบทดลองนำหลายศาสตร์มาผสมกัน ใช้ได้ทีเดียว’

‘เป็นต้นกล้าชั้นดี’

‘อายุนิดเดียวแต่เขียนบทกวีออกมาได้ระดับนี้ อัจฉริยะ’

‘ผมกลับชอบ เชิญเจ้ารื่นร่ำสุราตามใจ สหายข้าเดินทางไกลยากหวนคืน แต่ไม่รู้ว่าเดินทางไกลไปถึงไหน ไปถึงสุดเขตแดนของฉู่หรือไปถึงเว่ย?’

‘ผ่านไปอีกสองสามปีค่อยลากเขาเข้ามาในกลุ่ม ต้นกล้าชั้นดีต้องรักษาไว้ เข้าใจไหม’

สมาชิกคนหนึ่งซึ่งใช้ชื่อว่าล่วนหม่าเอ่ยขึ้น

หนึ่งในบุคลากรจากสมาคมวรรณศิลป์รีบตอบกลับ เห็นได้ชัดว่าสมาชิกซึ่งใช้ชื่อว่าล่วนหม่าคนนี้มีสถานะไม่ธรรมดา

‘เรื่องนั้นแน่นอนอยู่แล้วค่ะ ต้นกล้าชั้นดีแบบนี้ จะปล่อยให้เติบโตอย่างคดงอไม่ได้ สมาคมวรรณศิลป์ยังต้องการอัจฉริยะอย่างเขาอยู่’

‘อีกเรื่อง จะต้องปรับแก้แบบเรียนไหม…’

‘ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เราไปคุยกันส่วนตัวเถอะ’

ในกลุ่มนี้แลดูคล้ายกับเป็นการสนทนายามว่าง ทว่าอิทธิพลที่มีต่อโลกภายนอกนั้นกลับยิ่งใหญ่มาก!

หลังจากในกลุ่มสนทนากันเกี่ยวกับ ‘เซี่ยนอวี๋’ ได้ประมาณสองชั่วโมง

จู่ๆ บนปู้ลั่วทางการของสมาคมวรรณศิลป์ก็รีโพสต์เพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์

พร้อมแนบข้อความว่า

‘เนื้อเพลงสรรสร้างขึ้นมาตามกลบทของกวีนิพนธ์โบราณอย่างเคร่งครัด ชุดกวีนิพนธ์ชื่อว่าทำนองวารี จันทร์แจ่มเมื่อไรมี สุดยอดกวีนิพนธ์ชมจันทร์!’

หลังจากนั้นทันใด

บัญชีผู้ใช้บ้านเกิดเมืองนอนซึ่งใช้รูปบลูสตาร์เป็นภาพโปรไฟล์รีโพสต์ ‘ดีเยี่ยม!’

ตราประทับจากทางการ เห็นผลทันที!

บทสนทนาซึ่งถกเถียงกันว่าเนื้อเพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์นั้นสุดยอดเพียงใด ต่างเงียบลงหลังจากบทสรุปบัญชีทางการของสมาคมวรรณศิลป์

เวลาทองของการชมจันทร์!

บทสรุปของบัญชีทางการมีชัยเหนือคำเชยชมของนักเขียนเนื้อเพลงทั้งปวง และมีชัยเหนือคำวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดของชาวเน็ต!

ขณะเดียวกัน

บนการจัดอันดับเพลงฤดูกาลนี้

เพลงขอเราคงอยู่ชั่วนิรันดร์เริ่มกลายเป็นผู้นำเดี่ยวนับตั้งแต่เปิดตัว ยอดดาวน์โหลดพุ่งทะยานจนทิ้งห่างอันดับที่สองอย่างไม่เห็นฝุ่น!

ในวงการดนตรี

หลายคนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ก็พลันรู้สึกราวกับลำคอถูกปิดกั้น เมื่อพ่อเพลงสักคนหนึ่งเอ่ยแทนใจของทุกคนออกมา

‘นี่มันมหาสงครามวันสิ้นโลกสินะ…’

นี่เป็นครั้งแรกที่เนื้อเพลงช่วยให้บทเพลงบดขยี้ทุกสรรพสิ่ง และก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ราชันของมหาสงครามเทพเซียนอย่างองอาจ

……………………………………………….