เล่ม 1 ตอนที่ 114-2 ความจริงปรากฏ

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

ตอนที่ 114-2 ความจริงปรากฏ

เดิมทีคุณหนูใหญ่เฉียวสมควรอยู่ที่ตระกูลเฉียวในเมืองหลวงตามธรรมเนียม แต่เมื่อคุณหนูใหญ่เฉียวได้ยินว่ายิ่นอ๋องลงมาเจียงหนานก็แอบลอบออกจากจวน ไล่ตามขบวนรถม้าของยิ่นอ๋องมา

ตอนแรกเรื่องนี้ถูกปิดบังจนไม่มีข่าวเล็ดลอดออกมาสักนิด ถึงอย่างไรยิ่นอ๋องก็ไม่ต้องการเสียหน้าด้วยเรื่องนี้ ฮ่องเต้ผู้เป็นพระบิดาอยู่ ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายก็อยู่ แต่เขาดันไปยุ่งเกี่ยวกับว่าที่อาสะใภ้ หากเล่าลือออกไปเกรงว่าเขาคงไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คน

แต่คุณหนูใหญ่เฉียวมิสนใจทั้งสิ้น ไม่ทราบว่าสมองส่วนใดของนางผิดปกติจึงตามตื้อยิ่นอ๋องไม่เลิกรา ต่อมาค่ำคืนเดือนดับลมพัดแรงคืนหนึ่ง นางก็บุกเข้ากระโจมของยิ่นอ๋องปีนขึ้นเตียงของยิ่นอ๋อนจนได้

ยิ่นอ๋องตื่นขึ้นมาแทงนางไปหนึ่งกระบี่ เรื่องถึงแดงออกมา

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องราวฉบับที่ชาวบ้านทั้งหลายลือกัน เรื่องจริงจะเป็นเช่นนี้หรือไม่คงต้องถามตัวต้นเรื่องทั้งสองคน

น่าเสียดายคุณหนูใหญ่เฉียวสูญเสียความทรงจำ จดจำเรื่องราวครั้งนั้นมิได้แล้ว

ส่วนยิ่นอ๋องน่ะหรือ…

ไห่สือซานหัวเราะหึๆ

เมื่อปีนั้นเจียงหนานประสบภัยหนักมาก ประชาชนมากมายพลัดพรากถิ่นฐานไร้บ้านอยู่ ตอนเกิดเรื่องจีหมิงซิวอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่ประสบภัยจากหิมะแห่งหนึ่ง สิ่งที่น่าเสียดายก็คือ ผู้คนในหมู่บ้านทิ้งหมู่บ้านไปเกือบจะหมดแล้ว ผู้ที่เหลืออยู่ล้วนมีแต่คนชราที่อายุมากประมาณหนึ่ง ผู้เฒ่าผู้แก่ออกจากบ้านครั้งหนึ่งก็ยากลำบากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงการขึ้นเขา

เฟิ่งชิงเกอไปพบจีหมิงซิวบนวัดร้างแห่งหนึ่งบนภูเขา ผู้ใดจะไปวัดร้างโดยไม่มีสาเหตุกันเล่า

การจะหาพยานสักคนจึงยากเท่าเหยียบขึ้นสวรรค์โดยแท้

ทว่าสิ่งที่โชคดีก็คือสวรรค์ไม่ทรยศคนตั้งใจ ขณะที่ไห่สือซานใกล้จะยอมแพ้แล้วนั่นเอง ไห่สือซานก็สังเกตเห็นหมอพเนจรคนหนึ่ง

หมอพเนจรดูอายุมากอยู่พอสมควร เขาแบกล่วมยาเก่าคร่ำคร่าใบหนึ่ง บนหลังสะพายตะกร้าไม้ไผ่ใส่สมุนไพรที่ใช้ยามเร่งด่วนไว้จำนวนหนึ่ง

หมอพเนจรกางร่มกระดาษน้ำมันเดินเข้ามาในวัดร้าง เขากางร่มวางบนพื้นแล้วเริ่มตรวจดูสมุนไพรในตะกร้าทันที ระหว่างที่ตรวจดูก็ทำท่าดีใจไปด้วย “ยังดีๆ ไม่เปียก!”

เจียงหนานฝนตกมาก สายฝนโปรยปรายไม่ขาดสาย

ไห่สือซานไม่ใส่ใจสายฝนเบาๆ เช่นนี้ หากมิใช่เพื่อเปิดเผยความจริงเมื่อตอนนั้น เขาคงไม่นั่งแกร่วอยู่ในวัดร้างแห่งนี้ แต่ผู้อื่นเป็นหมอย่อมไม่เหมือนกัน ไห่สือซานมองสำรวจเขาขึ้นๆ ลงๆ อยู่รอบหนึ่งก็พบว่าเขาสวมเสื้อผ้าปะชุนทั้งตัวแต่กลับเรียบร้อยและสะอาดยิ่งนัก ใบหน้าก็มีเค้าความหล่อเหลา

คนเช่นนี้ ไม่น่าเป็นเพียงหมอพเนจรคนหนึ่ง…

ไห่สือซานกล่าวทักทาย “พี่ชายท่านนี้ ท่านก็มาหลบฝนเหมือนกันหรือ”

หมอพเนจรเพิ่งพบว่าในวัดมีคนอยู่อีกคนหนึ่ง เขาหันกลับมากล่าวทักทายอย่างขออภัย “น้องชาย”

ไห่สือซานพินิจคำพูดและกิริยาท่าทางของเขา ดูเหมือนนายท่านของตระกูลใหญ่ที่ได้รับการอบรบมาอย่างดี มิทราบว่าเหตุใดจึงตกต่ำมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ นิสัยเสียที่ติดมาจากงานของไห่สือซานก็คือการสืบหาข่าว เมื่อพบเรื่องที่สงสัยเป็นต้องถามดูสักหน่อย “พี่ชาย ท่านดูไม่เหมือนคนในหมู่บ้านนะ”

หมอพเนจรเรียงกิ่งไม้แห้งจำนวนหนึ่งแล้วหยิบตะบันไฟออกมาจากอกเสื้อ จุดกองไฟกองน้อยขึ้นมา จากนั้นหยิบผ้าแห้งผืนหนึ่งออกมาจากล่วมยาปูไว้ข้างกองไฟ สุดท้ายเทสมุนไพรในตะกร้าลงบนผืนผ้า “ถูกต้อง ข้ามิใช่คนในหมู่บ้าน”

ไห่สือซานเหลือบมองสมุนไพรบนพื้นที่เขาไม่รู้จักชื่อ “มิใช่ว่าสมุนไพรของท่านยังไม่เปียกหรอกหรือ เหตุใดยังต้องผิงไฟอีกเล่า”

หมอพเนจรตอบว่า “ภายนอกดูเหมือนยังไม่เปียก แต่เดินตากฝนมา จะมากจะน้อยย่อมมีความชื้นซึมเข้าไปอยู่บ้าง ผิงไฟสักหน่อยจะดีกว่า”

ช่างเป็นคนพิถีพิถันเสียจริง

ไห่สือซานถามต่อ “ถามได้หรือไม่ว่าพี่ชายเป็นคนจากที่ใด ข้าฟังคำพูดของท่าน เหมือนจะมีสำเนียงของคนเมืองหลวงอยู่เล็กน้อย”

หมอพเนจรไม่ตอบคำ เอาแต่ผิงสมุนไพรบนผืนผ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ

ไห่สือซานช่วยเติมฟืนท่อนหนึ่ง “พี่ชาย ท่านเป็นหมออยู่ที่นี่มากี่ปีแล้วหรือ”

“สิบห้าปี” หมอพเนจรปัดเศษสมุนไพรบนมือ

ไห่สือซานถามอย่างประหลาดใจ “พี่ชายคงเก่งกาจวิชาแพทย์ เหตุใดจึงไม่ไปเป็นหมอตามร้านยาสักแห่งในตัวเมืองเล่า ดีกว่าเป็นหมอพเนจรมากนัก”

หมอพเนจรยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาเพราะอยู่หน้ากองไฟ “ข้ากับภรรยาพลัดพรากจากกัน ข้ากำลังตามหานางอยู่…” กล่าวพลางหันมามองไห่สือซาน “จริงสิ เจ้าเคยเห็นภรรยาของข้าหรือไม่”

“ภรรยาของท่านหน้าตาเป็นเช่นไร” ไห่สือซานถาม

หมอพเนจรชะงักครู่หนึ่ง แต่มิตอบคำใด

ไห่สือซานรู้สึกว่าหมอพเนจรผู้นี้แปลกพิกล เขาเหมือนพบเรื่องสะเทือนใจบางประการมา สมองจึงมีปัญหาอยู่เล็กน้อย แน่นอนว่าเขารู้สึกว่าตนเองก็แปลกพิลึกเช่นกันที่ดันมาสนอกสนใจหมอพนจรคนหนึ่งมากมายเช่นนี้ “พี่ชาย ห้าปีก่อนท่านเคยเห็นบุรุษคนหนึ่งกับสตรีนางหนึ่งในวัดร้างแห่งนี้หรือบริเวณใกล้วัดร้างแห่งนี้หรือไม่”

“ห้าปีก่อนหรือ” หมอพเนจรนึก “เหมือนจะมี”

ไห่สือซานดวงตาเป็นประกาย “เป็นวสันต์ฤดูใช่หรือไม่”

หมอพเนจรพยักหน้า “ฝนตกลงมาห่าใหญ่นัก ข้าเข้าวัดมาหลบฝนก็เห็นมีคนสองคนนอนอยู่บนพื้น”

ไห่สือซานตื่นเต้นดีใจจนเกือบจะถลาเข้าไปหาเขา “ท่านจำได้หรือไม่ว่าพวกเขาหน้าตาเป็นเช่นไร”

“บุรุษสวมหน้ากากจึงเห็นไม่ชัด…ส่วนสตรี…” หมอพเนจรครุ่นคิด หวนนึกถึงสตรีในค่ำคืนนั้น ทันใดนั้นในหัวใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดสายหนึ่ง

ไห่สือซานได้ยินคำว่าหน้ากากก็แทบจะมั่นใจว่าเป็นนายน้อยของเขา เดินจนรองเท้าเหล็กทะลุหาไม่พบ ครั้นได้เจอกลับมิต้องเสียแรงสักนิดจริงๆ! เขาตามหามานานเช่นนี้ ในที่สุดก็พบพยานคนหนึ่งจนได้!

ประเดี๋ยวก่อน ตอนเฟิ่งชิงเกอพบนายน้อย หน้ากากของนายน้อยอยู่ที่พื้น หากเป็นเช่นนี้ก็ต้องมีคนถอดหน้ากาของนายน้อยสิ

“พี่ชาย ท่านเล่าให้ฟังหน่อยได้หรือไม่ว่าคืนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ ท่านอย่าเข้าใจผิด ข้ามิได้ตั้งใจจะมาสืบข่าวของผู้ใด แต่สตรีในคืนนั้นเป็นน้องสาวของข้า ข้ากับนางพรากจากกันมาหลายปี จึงตามหานางมาตลอด” ไห่สือซานเอ่ยอย่างจริงใจ

“คนผู้นั้นคือน้องสาวเจ้าหรือ” หมอพเนจรมองไห่สือซานตั้งแต่หัวจรดเท้า ไห่สือซานพยายามเค้นรอยยิ้มน่ารักน่าชังออกมา หมอพเนจรส่ายหัว “เจ้าอัปลักษณ์เช่นนี้ เป็นพี่ชายของสตรีนางนั้นได้เช่นไรกัน”

หัวใจของไห่สือซานถูกทำร้ายแสนสาหัส

หมอพเนจรเอ่ยปากเล่า “นางเดินออกไป”

“ไม่พูดสักคำก็เดินออกไปเลยหรือ” ไห่สือซานกลัดกลุ้ม

หมอพเนจรตอบ “มิใช่ นางขอน้ำแกงห้ามครรภ์จากข้าหนึ่งชาม ดื่มหมดก็เดินออกไป”

น้ำแกงห้ามครรภ์…

มุมปากของไห่สือซานกระตุก “พี่ชาย ท่านวาดภาพเหมือนของนางให้ข้าได้หรือไม่”

หมอพเนจรค้นตะกร้าไม้ไผ่ “กระดาษข้าหมด”

ไห่สือซานผุดลุกขึ้นยืน “ท่านรอข้าประเดี๋ยวนะพี่ชาย ข้าจะไปหาสี่สมบัติแห่งห้องอักษรมาให้เดี๋ยวนี้! ท่านต้องรอข้านะ! นั่นคือน้องสาวข้า! น้องสาวข้าจริงๆ! แม้ข้าจะหน้าตาอักลักษณ์ แต่ข้า…ข้า…ข้าได้มาจากบิดาข้า! มารดาข้างามยิ่งนัก! น้องสาวข้าหน้าเหมือนมารดาข้า! นางเป็นน้องสาวข้าจริงๆ! ข้ากับนางพลัดพรากกันมาห้าปีแล้ว ข้าต้องตามหานางให้เจอให้จงได้!”

“อืม” หมอพเนจรพยักหน้าเบาๆ แล้วผิงสมุนไพรต่อไป

ไห่สือซานไม่ได้กลับมาเร็วนัก ในหมู่บ้านไม่มีกระดาษกับพู่กันขาย เขาต้องวิ่งไปถึงในตัวเมืองขนาดเล็กแห่งหนึ่ง แต่แล้วระหว่างทางก็พบกลุ่มคนดักปล้น ความสามารถของเขาคือการสืบหาข่าวสาร ส่วนวรยุทธ์ฝีมือธรรมดาดาษๆ เท่านั้น จึงต้องสู้กับผู้อื่นอยู่พักใหญ่ แม้หนีจากกลุ่มโจรมาได้ แต่กระดาษกับพู่กันก็ตกน้ำไปแล้ว เขาจึงไม่มีทางเลือกต้องวิ่งกลับไปซื้อในตัวเมืองใหม่อีกหน รอจนกระทั่งเร่งรีบกลับมาถึงวัดร้าง หมอพเนจรก็ไม่อยู่เสียแล้ว

แต่หมอพเนจรใช้ถ่านไม้จากฟืนที่ถูกเผาวาดภาพทิ้งไว้ภาพหนึ่ง

เมื่อเห็นใบหน้าดวงนั้นในภาพวาด ไห่สือซานก็ตกตะลึงนิ่งอึ้งไปทั้งร่าง…

ทุกฤดูกาลวังหลวงจะจัดงานเลี้ยงในครอบครัวครั้งหนึ่ง ตอนงานฉลองวันพระราชสมภพขององค์รัชทายาท สองพี่น้องตระกูลจีมาเข้าร่วมไม่ได้เพราะติดธุระ ครั้งนี้เหล่าไท่ไท่จะเดินทางไปวัด ก่อนออกเดินทางจึงส่งคนมากำชับพวกเขาว่ามิว่าอย่างไรก็ต้องเข้าวังสักหน อย่าให้ฮ่องเต้ห่างเหินกับตระกูลจี

ความตั้งใจที่แท้จริงของเหล่าไท่ไท่ย่อมเป็นการแยกจีหมิงซิวออกไป ไม่ให้เขาพบว่าตนกำลังจะเล่นงานคนในดวงใจของเขา

แต่นางคงคิดไม่ถึงว่าตนจะขุดหลุมฝังตัวเอง องครักษ์จวนตระกูลจีไหนเลยจะสู้สือชีของจีหมิงซิวได้ เวลานี้คนทั้งกลุ่มอยู่ในวัดหาคนช่วยไม่ได้ ไม่ทราบว่านานเท่าใดกว่าจะเชิญหมอหลวงมาได้คนหนึ่ง

จีหมิงซิวกับจีหว่านไม่ทราบสถานการณ์ของเหล่าไท่ไท่ พวกเขาตอบรับคำเชิญเข้าไปในวังหลวง

งานเลี้ยงจัดขึ้นในศาลาริมสระไท่เยี่ย จีหมิงซิวถูกจัดให้นั่งข้างพระวรกายฮ่องเต้ เสมอกับองค์รัชทายาท ที่ผ่านมาตำแหน่งตรงนี้ล้วนเป็นของซื่อจื่อน้อย แต่เมื่อจีหมิงซิวมา ซื่อจื่อน้อยก็ได้แต่กลับไปนั่งในอ้อมแขนของเจาอ๋อง เห็นชัดว่าในพระทัยของฮ่องเต้ เห็นพระราชนัดดาสำคัญเท่าใดก็เห็นจีหมิงซิวสำคัญมากกว่า

แต่ไม่ว่าอย่างไรจีหมิงซิวก็มิใช่องค์ชาย ฮ่องเต้เห็นเขาสำคัญอีกเท่าใดก็ไม่ส่งผลต่อการแย่งชิงราชบัลลังก์ ทุกคนจึงไม่คัดค้านการจัดตำแหน่งเช่นนี้เท่าใดนัก ตรงกันข้ามในใจกลับคิดว่าจะตีสนิทจีหมิงซิวเช่นไรดี

คนผู้เดียวที่ไม่พอใจน่าจะเป็นยิ่นอ๋อง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮ่องเต้กับพี่น้องทั้งหลาย เขาแสดงออกมาไม่ได้จึงอัดอั้นตันใจแทบตายแล้วจริงๆ

“ท่านอา” รัชทายาททักทายจีหมิงซิวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นก้มหน้าก้มตาทานอาหาร

ฮ่องเต้มองรัชทายาทด้วยแววตารักใคร่ หลังจากนั้นจึงหันไปมองจีหมิงซิว ไม่ทราบว่าพระองค์ไม่ทันเก็บแววตารักใคร่นั่น หรือว่าในพระทัยของฮ่องเต้รักจีหมิงซิวอย่างที่สุดจริงๆ แววตาที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรจีหมิงซิวจึงเต็มไปด้วยความโปรดปรานที่องค์ชายทั้งหลายต่างอิจฉาริษยา

“ไปเยี่ยมมารดาของเจ้ามาแล้วหรือ” ฮ่องเต้ตรัสถาม

จีหมิงซิวขานตอบอย่างนิ่งเฉยคำหนึ่ง

“ศาลาหลังนี้ตอนแรกสร้างขึ้นมาเพื่อมารดาของเจ้า ทุกครั้งที่ข้ามาทานอาหารที่นี่ ล้วนนึกถึงมารดาของเจ้า อดีตฮ่องเต้กรีฑาทัพทั่วทุกทิศ จึงฝากฝังน้องสาวที่เพิ่งเกิดไว้ในมือข้า ให้ข้าดูแลนางให้ดี ข้าเรียกขานนางว่าเสด็จอาเล็ก แต่กลับเลี้ยงนางเสมือนหนึ่งธิดาจนนางเติบใหญ่ ข้ามีบุตรมากมายเช่นนั้น แต่ไม่มีสักคนที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่ด้วยตนเอง มีเพียงมารดาของเจ้าเท่านั้น นางป่วยก็เรียกหาข้า หิวก็เรียกหาข้า ดึกดื่นฝันร้ายก็เรียกหาข้า ข้าอุ้มโอรสของตนเอง นางก็โกรธ บอกข้าว่าข้าอุ้มนางได้คนเดียวเท่านั้น”

ฮ่องเต้หวนรำลึกถึงเรื่องราวในอดีต รอยยิ้มแฝงความขมขื่น “แม้แต่รัชทายาท ข้าก็ได้เลี้ยงดูเพียงไม่กี่วัน แต่ข้าเป็น ‘บิดา’ ให้นางสิบปี บางครั้งข้าก็จินตนาการว่าหากมารดาของเจ้ายังมีชีวิตอยู่…”

จีหมิงซิวถือจอกสุรานิ่งๆ แล้วเอ่ยขัดฮ่องเต้ “ฝ่าบาท ท่านดื่มมากเกินไปแล้ว”

ฝูกงกงเป็นผู้สายตาเฉียบแหลมจึงตะล่อมให้ฮ่องเต้เลิกดื่ม “ฝ่าบาท ห้องเครื่องหลวงปรุงน้ำค้างกุหลาบมาใหม่ๆ บ่าวยกมาให้ท่านชิมดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้สรวล “ได้ลองชิมสักหน่อย”

ฝูกงกงยกน้ำค้างกุหลาบหวานละมุนมาหนึ่งถ้วย “นี่คือเครื่องดื่มที่ปรุงจากน้ำค้างซึ่งเก็บจากบนดอกกุหลาบ ดื่มแล้วจะได้กลิ่นหอมของบุปผารวยริน”

ฮ่องเต้ดื่มคำหนึ่งแล้วเหมือนจะได้กลิ่นอยู่เล็กน้อย จึงตรัสเบาๆ จนเกือบไม่ได้ยิน “ตกรางวัล”

ฝูกงกงคลี่ยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ไม่สนว่าจีหมิงซิวจะรำคาญพระองค์หรือไม่ ตรัสกับจีหมิงซิวต่อ “ข้าได้ยินว่าเจ้าถอนหมั้นกับตระกูลเฉียวแล้ว เจ้าก็อายุไม่น้อย สมควรเลือกคู่ครองสักคนให้ตนเอง”

จีหมิงซิวมองยิ่นอ๋องที่นั่งเยื้องอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ยิ่นอ๋องบังเอิญมองมาทางเขาพอดี ดวงตาสี่ข้างสบประสาน นัยน์ตาของยิ่นอ๋องฉายแววลำพองและเยาะหยันอยู่เลือนราง

ดูท่ายิ่นอ๋องคงเป็นผู้แพร่งพรายข่าวเรื่องนี้

หมิงซิวตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “คู่ครองของหมิงซิว หมิงซิวย่อมจัดการเองได้ มิต้องให้ฝ่าบาทเหนื่อยพระทัย”

ยิ่นอ๋องคลี่ยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ดูคำพูดนี้ของท่านอาสิ เหตุไฉนฟังดูเหมือนเสด็จพ่อยุ่งมิเข้าเรื่องเล่า เสด็จพ่อใส่พระทัยท่านอา หวังจะเห็นท่านอาตบแต่งภรรยาให้กำเนิดบุตรในเร็ววัน ท่านอาอย่าได้ทรยศเจตนาดีของเสด็จพ่อเลย”

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นได้ยินคำพูดนี้ ไม่แน่อาจไม่พอใจจีหมิงซิว แต่ฮ่องเต้รัชสมัยนี้ นับว่าพระทัยกว้างพอสมควร

ฮ่องเต้ตรัสอย่างจริงใจ “เจ้าไม่ต้องการให้ข้าพระราชทานสมรสก็ได้ ตัวเจ้าเองพึงใจแม่นางตระกูลใดก็รีบไปสู่ขอเสีย มารดาของเจ้าจากไปเร็วจึงไม่ได้เห็นเจ้าแต่งงานมีครอบครัว ข้าหวังว่าตอนที่ข้ายังอยู่จะได้ทำความปรารถนานั้นให้เป็นจริง วันหน้าเมื่อไปเยือนปรโลก หากมารดาเจ้าถามข้าว่า ‘ท่านดูแลลูกชายข้าเช่นไร’ ข้าจะได้บอกกล่าวได้”

บุรุษผู้อายุยี่สิบเจ็ดปีแล้วแต่ยังไม่แต่งงงาน ทั่วทั้งต้าเหลียงหาได้อยู่ไม่กี่คน ก่อนหน้านี้ดีเลวก็ยังมีสัญญาหมั้นกับตระกูลเฉียว ไม่ช้าก็เร็ว จีหมิงซิวย่อมหนีไม่พ้น แต่ยามนี้จีหมิงซิวเรียกหนังสือหมั้นหมายกลับมาแล้ว นี่หมายความว่าอย่างไร ยังไม่ชัดพออีกหรือ

ฮ่องเต้ย่อมไม่ต้องการเห็นเขาเดียวดายชั่วชีวิต

ฮ่องเต้กดพระสุรเสียงให้เบาลงแล้วกล่าวกับจีหมิงซิวว่า “หากเจ้าชมชอบบุรุษข้าก็ไม่คัดค้าน แต่เจ้าต้องมีทายาทไว้ให้มารดาเจ้าสักคน”

ฝูกงกง ‘แค่กๆ! ฝ่าบาทท่านคิดว่าเสียงของท่านเบานักหรือ ทั้งศาลาได้ยินหมดแล้ว!’

ทุกคนหันขวับไปมองจีหมิงซิวทันที

นี่คือสาเหตุที่เขาไม่แต่งงานสักทีหรือ เป็นพวกตัดแขนเสื้อจริงหรือ

จีหว่านย่อมไม่อยากให้น้องชายของตนถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นพวกนิยมบุรุษ แม้ตัวนางเองจะเคยสงสัยเช่นนั้นเหมือนกันก็ตาม “ฝ่าบาท ท่านเข้าพระทัยผิดแล้ว เหตุที่หมิงซิวไม่แต่งงานเพราะเขามี…”

มีสิ่งใด

ทุกคนมองไปทางจีหว่าน

จีหว่านกะพริบตา “มีลู…”

ทันใดนั้นยิ่นอ๋องก็ลุกพรวดขัดคำพูดของจีหว่านแล้วประสานมือคำนับ “เสด็จพ่อ! ลูกมีเรื่องจะกราบทูล ขอเสด็จพ่อพระราชทานอนุญาต”

ฮ่องเต้ตรัสว่า “ทานอาหารกับคนในครอบครัวกันเอง มิต้องเคร่งครัดธรรมเนียมเช่นนี้ เจ้ามีเรื่องใดรอท่านอาของเจ้ากล่าวจบก็ค่อยพูด”

“เรื่องนี้เกรงว่าจะมิอาจรอท่านอาพูดก่อนได้” สิ่งที่จีหว่านจะพูด ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าต้องเป็นเรื่องวั่งซูกับจิ่งอวิ๋น เดิมทียิ่นอ๋องอยากถ่วงเวลาออกไปอีกสักพัก แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจีหมิงซิวจะหน้าไม่อายเช่นนี้ ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ก็ยังจะขี้ตู่แย่งลูกของตนไป! ฮ่องเต้ลำเอียงรักใคร่เลือดเนื้อขององค์หญิงเจาหมิงมาตลอด หากปล่อยให้พวกเขาฉวยโอกาสก่อน ตนย่อมตกเป็นรองอย่างสิ้นเชิง

ยิ่นอ๋องมองจีหว่าน จากนั้นคลี่รอยยิ้มนอบน้อม “ข้าหมายความว่า ถึงอย่างไรเรื่องที่ท่านอากับลูกจะกล่าวก็เป็นเรื่องเดียวกัน มิสู้ให้ลูกเป็นผู้แจ้งเรื่องนี้เถิด”

กล่าวอ้อมมาอ้อมไปก็ยังหมายความว่าจะแย่งจีหว่านพูดมิใช่หรือ อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ เขาช่างกล้าจริงนะ!

มิใช่ว่าฐานะของจีหว่านสูงศักดิ์กว่ายิ่นอ๋อง ความจริงแล้วจีหว่านเป็นฮูหยินของซื่อจื่อ สูงศักดิ์เทียบท่านอ๋องคนหนึ่งไม่ได้อยู่ห่างไกลนัก แต่ฮ่องเต้กล่าวแล้วว่านี่เป็นงานเลี้ยงของคนในครอบครัว ในงานเลี้ยงจึงมิสนใจศักดิ์ฐานะ สนเพียงลำดับอาวุโส เมื่อเป็นเช่นนั้นจีหว่านย่อมเป็นท่านอาของยิ่นอ๋อง เขามาแย่งญาติผู้ใหญ่กล่าววาจาได้เช่นไรเล่า

จีหว่านตวัดสายตาคมกริบใส่ยิ่นอ๋อง นางจะบอกเรื่องลูกของหมิงซิวแล้วเกี่ยวอันใดกับเขา เป็นเรื่องเดียวกันที่ตรงไหน

“เสด็จพ่อ…” ยิ่นอ๋องกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นสือชีก็เหินเข้ามาร่อนลงข้างกายจีหมิงซิวอย่างเงียบเชียบ

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นเหินมาเหินไปในวังหลวง คงถูกมือธนูยิงพรุนเป็นกระชอนนานแล้ว แต่เสด็จพ่อลำเอียงรักจีหมิงซิว จนแม้แต่องครักษ์ของเขาก็ยังได้รับการผ่อนปรนด้วย

ยิ่นอ๋องไม่มีวันยอมรับว่าสาเหตุที่ไม่มีผู้ใดยิงสือชีจนตัวพรุนเป็นเพราะว่าพวกเขายิงไม่ถูก

สือชีส่งกระบอกไม้ขนาดเท่านิ้วก้อยชิ้นหนึ่งให้จีหมิงซิว

แถบกระดาษชิ้นหนึ่งร่วงออกมาจากกระบอกไม้ จีหมิงซิวคลี่ออกช้าๆ ตัวอักษรที่ไห่สือซานเขียนด้วยมือสั่นๆ เพราะอาการตื่นเต้นเขียนไว้ว่า ‘นายน้อย เด็กเป็นลูกของท่าน’