ตอนที่ 369 แดงชาดหนึ่งจ้างกำลังรอพวกเจ้าอยู่!

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 369 แดงชาดหนึ่งจ้างกำลังรอพวกเจ้าอยู่!

“รู้สึกไม่ดีอะไร ? สิ่งที่เจ้าสมควรเรียนรู้ก็เรียนรู้ไปหมดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการผ่อนคลายอารมณ์ เชือกที่ขึงตึงจนเกินไป ไม่นานก็จะขาด ! มาฝึกฝีมือการเล่นอู๋จื่อฉีของเจ้าดีกว่า เจ้าจะได้พัฒนาบ้าง ! ” หลินเว่ยเว่ยวางก้อนกรวดของตนลงกระดานหมากที่วาดจากกระดาษ

อืม…พี่รองพูดมีเหตุผล นางจะไม่มีวันทำร้ายเขา ! หลินจื่อเหยียนโยนตำราทิ้ง แล้วหยิบก้อนกรวดอีกสีออกมาวาง พลางพูดอย่างมั่นใจ “พี่รอง ฝีมืออย่างข้าเป็นอย่างไร ? ข้าคือแม่ทัพไร้พ่าย ท่านเข้าใจหรือไม่ ? ”

“เฮ้เฮ้ ! เคยชนะแค่ครั้งเดียวก็ผยองได้เพียงนี้แล้วหรือ ? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าถูกข้าตีจนแพ้ยับเยินไม่รู้จะกี่หนแล้ว ? ” หลินเว่ยเว่ยวางก้อนกรวดอีกตัวหนึ่ง

หลินจื่อเหยียนถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ท่านก็ช่างกล้าพูด ! ข้าเพิ่งเรียนรู้การเล่นอู๋จื่อฉี แต่ท่านคือผู้เชี่ยวชาญในการเล่นตั้งนานแล้ว มั่นใจได้อย่างไรว่าชัยชนะจะคงอยู่กับท่านชั่วนิรันดร์ ? ”

หลินเว่ยเว่ยชำเลืองมองเขาเล็กน้อย “มั่นใจ ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะเอาชนะเจ้าจนกว่าจะมั่นใจ ! ”

“ฮ่าฮ่า ! เป็นอย่างไร ? เจ้าจะเรียกข้าว่าแม่ทัพไร้พ่ายได้หรือยัง ? ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะพลางยกมือเท้าสะเอว

หลินจื่อเหยียนถลึงตาใส่นาง เขากล้าโมโหแต่ไม่กล้าพูด…ถ้าเก่งจริง ท่านก็อย่าให้ว่าที่พี่เขยรองมาคอยชี้แนะสิ สองคนรวมหัวกันสู้กับข้าคนเดียว ชนะแล้วมีอะไรน่าภูมิใจกัน ?

“สามีภรรยามีหัวใจเดียวกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยอ่านความคิดของเขาออกผ่านทางแววตา “หากเจ้าเก่งจริงก็หาน้องสะใภ้เก่ง ๆ มาส่งเสริมเจ้าสิ”

“นี่พวกเจ้ากำลังเล่นอะไรกันอยู่…หมากล้อมอย่างนั้นหรือ ? ” หลังจากที่เผิงหยูเหยี่ยนถกปัญหากับเจียงโม่หานเสร็จแล้ว เขาก็หันมามองสองพี่น้องครู่หนึ่งแล้วถามอย่างสงสัย

“ไม่ใช่ ! มันเรียกว่าอู๋จื่อฉี ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา นางกำลังจดจ่ออยู่กับการรับมือหลินจื่อเหยียนโดยตั้งใจว่าจะทำให้เขายอมรับความพ่ายแพ้เสียที !

อู๋จื่อฉี ? เผิงหยูเหยี่ยนมองอย่างตั้งใจ…สุดยอดไปเลย ! ดูคล้ายหมากล้อมแต่ก็ไม่ใช่ ! เขามองวิเคราะห์การเล่นอย่างตั้งใจ พอหลินเว่ยเว่ยได้รับชัยชนะอีกรอบแล้วลุกออกจากที่นั่ง เขาก็เข้ามานั่งแทนที่นางโดยไม่มีใครเชิญ

ระหว่างการเดินทาง เพราะมีทั้งเกมอู๋จื่อฉีและโต้วตี้จู่ (ไพ่พิชิตแลนด์ลอร์ด) จึงทำให้รู้สึกว่าการเดินทางเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ทว่าพอถึงตอนเที่ยงวัน หลินเว่ยเว่ยก็รู้สึกว่าร่างกายของนางกำลังล้าระบมจากการเดินทางไกล และในที่สุดนางก็เห็นประตูเข้าสู่ตัวอำเภอเสียที

ท่ามกลางลมหนาว บริเวณริมถนนที่จะเข้าสู่ประตูเมืองปรากฏรถม้าอีกคันจอดอยู่ เมื่อได้ยินการเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ ผ้าม่านของรถม้าคันนั้นก็ถูกเปิดออกและเผยให้เห็นใบหน้าแสนอบอุ่นที่คุ้นเคย

หนิงตงเซิ่งจดจำเหลยหยู่ได้ในทันทีทันใด เขาจึงรีบกระโดดลงจากรถม้าและเข้ามาทักทายพร้อมรอยยิ้ม

หลินเว่ยเว่ยมองจากทางหน้าต่างรถม้า พอเห็นว่าเป็นคุณชายหนิงจึงเอ่ยทักทายเขาอย่างเป็นมิตร เหลยหยู่หยุดรถม้าในขณะที่หนิงตงเซิ่งมาถึงตัวรถ เจียงโม่หานเลิกผ้าม่านออกและลงมาจากรถม้าพลางเหลือบมองคุณชายหนิงอย่างเฉยชา

หนิงตงเซิ่งยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แต่ในใจของเขากลับรู้สึกขมขื่น บัณฑิตเจียงเป็นคู่หมั้นของหลินกู่เหนียง อีกทั้งพี่เขยและน้องภรรยาก็มาเข้าร่วมการสอบสำคัญ อีกฝ่ายจะมาด้วยก็ไม่แปลก ! เขาบอกตัวเองทุกวันว่าให้ตัดใจไม่ใช่หรือ ? เหตุใดยังมีอารมณ์อ่อนไหวอยู่อีก ?

คนต่อไปที่ออกมาจากรถม้าคือหลินจื่อเหยียนซึ่งยิ้มทักทายหนิงตงเซิ่งอย่างเป็นมิตร ด้านเผิงหยูเหยี่ยนลงจากรถม้าอย่างเชื่องช้าพลางพยักหน้าเป็นการทักทายให้คุณชายหนิง

สุดท้ายก็เป็นหลินเว่ยเว่ยที่หมายจะเปิดตัวประดุจองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ นี่คือสิ่งที่นางคิดเองเออเอง ! นางยืนเชิดหน้าและวางกิริยาสง่างามอยู่บนรถม้า จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาด้านหน้า…หืม ? เหตุใดจึงไม่มีใครจับมือนางเพื่อช่วยประคองลงจากรถม้าเลย ? ตาบอดกันหมดแล้วหรือไร แดงชาดหนึ่งจ้าง1กำลังรอพวกเจ้าอยู่ !

นางหันไปมองบัณฑิตหนุ่ม…น่าอายมาก รีบมาช่วยข้าเดี๋ยวนี้ !

เจียงโม่หายส่ายศีรษะเบา ๆ…นางเล่นเป็นเด็กอีกแล้ว อย่างไรก็ตามเขายังยื่นมือออกไปและจับมือเล็ก ๆ ของนางเอาไว้

หนิงตงเซิ่งมองไปโดยรอบ โชคดีที่เวลานี้เป็นช่วงกินอาหารมื้อกลางวันจึงมีคนอยู่นอกประตูเมืองไม่มากนัก ไม่เช่นนั้น…หากมีคนเห็นชายหญิงมายืนจับมือกันแบบนี้ จะเหมาะสมหรือไม่ ?

“ไอหยา ! รถม้าคันนี้สูงมากเกินไป ! ” หลินเว่ยเว่ยแสร้งพูดพลางยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นป้องปากแก้ขัดเขิน

เจียงโม่หานพลันนึกถึงภาพที่นางสามารถกระโดดลงจากต้นไม้ความสูงเท่าตัวคนได้อย่างสบายแล้วมองไปที่ความสูงของรถม้าอีกครา “… ”

“แล้วเจ้าต้องการอะไร ? เก้าอี้มนุษย์หรือ ? ” ที่เรียกว่า ‘เก้าอี้มนุษย์’ ก็คือการให้บ่าวรับใช้คลานสี่ขากับพื้นแล้วให้เจ้านายเหยียบแผ่นหลังขึ้นสู่รถม้า ในชาติที่แล้วเขาก็มักจะทำเช่นนี้เวลาขึ้นและลงจากรถม้า แน่นอนว่าโดนคนอื่นนำไปวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเลย

ในเวลานั้นฮ่องเต้ประสงค์จะเก็บเขาไว้ใช้งานอย่างมาก พระองค์จึงยอมผ่อนปรนและไม่เอาโทษเขาในเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ เพราะถ้าไม่แสดงน้ำพระทัยอันกว้างขวางต่อเขา แล้วพระองค์จะมัดใจเขาให้ภักดีได้อย่างไร ? สุดท้ายเมื่อฮ่องเต้บรรลุในเป้าหมายและสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จไว้ในพระหัตถ์ได้แล้ว คมดาบอย่างเขาซึ่งเคยมีประโยชน์ต่อพระองค์ก็หมดคุณค่า ข้อกล่าวหาเหล่านี้จึงกลายมาเป็นอีกหนึ่งหลักฐานมัดตัวและในที่สุดเขาก็ไม่รอดจากโทษประหาร…

หลินเว่ยเว่ยถลึงตาใส่เขา ในเวลานี้เจ้าควรนั่งคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งแล้วให้ข้าเหยียบหน้าขาของเจ้าลงจากรถม้าไม่ใช่หรือ ? เฮ้อ ! ช่องว่างระหว่างคนยุคโบราณกับคนยุคใหม่ช่างเป็นอุปสรรคต่อความโรแมนติกไปเสียหมด ! จุกจนพูดไม่ออกแล้ว !

หนิงตงเซิ่งสั่งให้บ่าวรับใช้นำเก้าอี้ตัวเตี้ยของรถม้าตนมาวางไว้ตรงเบื้องหน้าของนาง เจียงโม่หานที่จับมืออยู่ก็มองหน้านาง…ลงมาได้หรือยัง ?

หลินเว่ยเว่ยยิ้มอย่างเขินอาย “วันนี้ข้าใส่ชุดกระโปรงจึงไม่ค่อยสะดวก…”

หนิงตงเซิ่งพยักหน้า “เข้าใจแล้ว พวกเราคิดไม่รอบคอบเอง”

หลินเว่ยเว่ยจับมือของบัณฑิตหนุ่มพร้อมค่อย ๆ ก้าวลงจากรถม้าด้วยท่วงท่าที่มีเสน่ห์และสง่างามที่สุด คุณชายหนิงมีความปรารถนาดีก็จริง ทว่าเป็นตัวนางเองที่อับโชค ! เมื่อเท้าของนางเหยียบบนเก้าอี้ มันก็ดันไปเหยียบชายกระโปรงของนางด้วย นางจึงเสียหลักและหน้ากำลังจะคว่ำลงกับพื้นอย่างน่าอับอาย

แน่นอนว่าเจียงโม่หานคว้าตัวนางไว้ได้อย่างรวดเร็ว เขาเซถอยหลังไปสองก้าวแล้วถึงจะยืนได้อย่างมั่นคง จากนั้นเขาก็จ้องนางตาเขม็ง เกือบไปแล้ว ! ประมาทเหลือเกิน ! เจ้าอยากจมูกหักหน้าฟกช้ำหรือไร

หลินเว่ยเว่ยรู้สึกอายมาก นางจึงซุกใบหน้าเข้ากับอ้อมแขนของบัณฑิตหนุ่มและทำอ้อยอิ่งไม่ยอมผละจากอ้อมแขนของเขาสักที…เจ้าจงใจใช่หรือไม่ ? ตั้งใจจะเอาเปรียบคู่หมั้นหนุ่มที่แสนงดงามของตน ! ทุกคนมองเจ้าทะลุปรุโปร่งแล้ว !

นางถอนหายใจพลางกล่าว “ข้าอ่อนแอบอบบางใกล้เคียงการเป็นกุลสตรีแล้วใช่หรือไม่ ! ”

เจ้าเข้าใจคำว่า ‘กุลสตรี’ ผิดไปหรือเปล่า ? กุลสตรีไม่ได้ใกล้เคียงกับเจ้าเลย !

เผิงเจียเหลียงลงจากรถม้าของตระกูลเผิง หน้าที่ของเขาคือพาท่านอามายังตัวอำเภออย่างปลอดภัย อ้อ เขาต้องมาตรวจสอบว่ามีทำเลที่ตั้งร้านค้าดี ๆ ในอำเภอบ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็จะได้กลับไปรายงาน !

หนิงตงเซิ่งกล่าวกับทุกคนว่า “บ้านเช่าอยู่ไม่ไกลจากสนามสอบ ทำเลที่ตั้งก็ไม่ติดถนน ตั้งอยู่ในตรอกที่เงียบสงบและเหมาะสมสำหรับผู้ที่กำลังทบทวนตำราเพื่อสอบเป็นอย่างยิ่ง”

หลินเว่ยเว่ยยิ้มและพูดว่า “คุณชายหนิง ขอบคุณท่านมาก ! ท่านงานก็ยุ่งมากอยู่แล้ว เรายังมารบกวนท่านอีก ! ”

“ไม่เป็นไรเลย เดิมทีข้าต้องการมาที่อำเภอเพื่อตรวจสอบบัญชีอยู่แล้ว อีกทั้งข้าก็คุ้นเคยกับคนที่นี่เป็นอย่างดีจึงไม่ลำบากอะไรเลย ไปกันเถิด ข้าจะพาพวกท่านไปที่บ้านเช่าก่อน หลังจากนั้นข้าจะพาไปเลี้ยงต้อนรับที่ ‘หยวนเค่อหลาย’ ! ”

บัดนี้หนิงตงเซิ่งมีหน้าที่การงานที่ดีทุกอย่าง อารมณ์จึงร่าเริงมากด้วย เมื่อปลายปีที่แล้วเขากลับไปฉลองส่งท้ายปีเก่ากับครอบครัวและได้รับเสียงชื่นชมจากตระกูลหลักเป็นอย่างมาก เนื่องจากในระยะเวลาไม่ถึงปี เขามีร้านค้าสี่สาขาภายใต้ชื่อของตน พี่น้องคนอื่นเนื่องจากเป็นปีแห่งภัยพิบัติจึงได้รับผลกระทบทางธุรกิจไม่มากก็น้อย แม้แต่บรรดาบุตรของฮูหยินก็ยังทำผลงานได้ในระดับต่ำทั้งนั้น

[i]
1 แดงชาดหนึ่งจ้าง คือการลงโทษในวังหลัง โดยการใช้แผ่นไม้ขนาดหนา 2 นิ้ว และยาว 5 ฟุต โบยตั้งแต่บริเวณช่วงเอวลงไป โบยจนกว่าร่างกายส่วนนั้นจะแหลกเหลวอาบเลือด หากมองจากระยะไกลก็จะเห็นเป็นเหมือนผ้าสีแดงชาดผืนหนึ่ง