ตอนที่ 446 กฎประจำตระกูลใหม่ของตระกูลมั่ว (1)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 446 กฎประจำตระกูลใหม่ของตระกูลมั่ว (1)

มั่วเชียนเสวี่ยกัดฟันปล่อยมือเอนตัวนอนลงบนเตียง ผินหน้าไปอีกด้านด้วยท่าทางที่ปล่อยให้หนิงเซ่าชิงกระทำได้ตามใจชอบ

มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะใช้มารยาอันใดอีก!

เป็นแบบนี้ต่อไป เขาไม่อดกลั้นจนแย่ นางก็อดทนจนเป็นบ้าไปก่อนแล้ว

……

ภายในคฤหาสน์ถง อำเภอเทียนเซียง วันนี้เป็นวันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่

นับตั้งแต่ช่วงเช้า ถงจื่อจิ้งได้รับข่าวจวนกั๋วกงถูกเพลิงไหม้จากเมืองหลวง ก็เกือบจะบ้าคลั่งขึ้นมา

เขาตัดสินใจดำเนินแผนการล่วงหน้า

เขาเลือกสถานที่พักผ่อนในยามแก่เฒ่าให้กับผู้เฒ่าถงเรียบร้อยนานแล้ว ใช้วิธีเดียวกันกับที่เขาใช้ และรับมือกลับด้วยวิธีการเดียวกับเขา

คราวนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืด เขาก็ควบคุมผู้เฒ่าถงเอาไว้ภายใต้ความร่วมมือของพ่อบ้านถง

ส่วนตัวเขาก็นำองครักษ์ตระกูลถงร้อยกว่านายมุ่งหน้าตรงไปยังเมืองหลวง

ในตอนนี้ผู้เฒ่าถงที่ถูกโซ่เหล็กล่ามเอาไว้บนเสาเหล็กกำลังด่ากราดใส่พ่อบ้านถงที่ยืนอยู่อีกด้านราวกับเป็นบ้า

“เจ้ามันไอ้คนกินบนเรือนขี้บนหลังคา คิดไม่ถึงเลยว่า กระทั่งเจ้าก็ยังลอบเล่นงานข้า?”

“นายท่าน บ่าวก็ไม่อยากเช่นกัน หากนายท่านให้บ่าวตาย ตอนนี้บ่าวก็จะกระทำมันเพื่อนายท่านเดี๋ยวนี้ขอรับ”

พ่อบ้านถงจะฆ่าตัวตาย แต่ผู้เฒ่าถงกลับด่าอย่างดูแคลน “เสแสร้งให้มันน้อยหน่อย เจ้าตายไปแล้วใครจะมาปรนนิบัติข้า”

……

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยก้าวเท้าออกจากจวนมั่ว หัวหน้าตระกูลมั่วก็ประกาศให้บุรุษตระกูลมั่วทุกคนมารวมตัวกันที่หอบรรพชนในยามเหม่า[1]วันพรุ่ง เขามีเรื่องสำคัญจะประกาศ

คำสั่งตระกูลที่มาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ผู้อาวุโสหลายท่านได้แต่มองหน้ากันไปมา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถามอย่างไร หัวหน้าตระกูลมั่วเพียงแค่ส่ายหน้า

ถามไม่ได้คำตอบ ผู้อาวุโสหลายท่านก็ทำได้แค่แยกย้ายกันไปจัดการเรื่องราว แจ้งให้คนตระกูลมั่วที่อยู่ในเมืองหลวงทราบ

ฟ้ามืดแล้ว หัวหน้าตระกูลมั่วเดินออกมาจากห้องหนังสือด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และเรียกมั่วจื่อถังเข้าไปในหอบรรพชนตระกูลมั่ว

ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาสนทนาอะไรกัน

รู้เพียงแค่ว่าหัวหน้าตระกูลมั่วอยู่ในหอบรรพชนทั้งคืนโดยไม่ได้ออกมา ส่วนตอนที่มั่วจื่อถังออกมาก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

สีหน้าเขาย่ำแย่มาก คล้ายกับเปรอะเปื้อนหยาดน้ำตา

……

ผู้เฒ่าถงโวยวายเสียงดังในเรือนเล็กหลังนั้นไม่หยุด

ถงจื่อจิ้งฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เร่งเดินทางในค่ำคืนที่ดวงดาราส่องสว่าง ไม่นานก็ขึ้นเรือเร็วที่เขาเตรียมเอาไว้แต่เนิ่นๆ ที่ท่าเรือชังโยวลำนั้น

เขายืนมองไปด้านหน้าอยู่ตรงหัวเรือ

พี่สาว ข้ามาแล้ว!

พี่สาว หวังเพียงแค่ชาติหน้าท่านจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของข้า มีสายเลือดเดียวกันแบบนั้น เช่นนี้ ท่านก็จะไม่มีทางทอดทิ้งข้าไปตลอดกาล

…..

ณ บ้านไร่นอกเมือง

เมื่อมั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยวาจานั้นออกมา หนิงเซ่าชิงก็ทะยานตัวขึ้นมานั่ง โผเข้าใส่ร่างนาง “เจ้าเอ่ยว่าอะไรนะ เอ่ยอีกครั้งได้หรือไม่”

“จะทำไม่ทำ? ไม่ทำข้าจะกลับคำแล้วนะ!”

มั่วเชียนเสวี่ยหน้าแดงระเรื่อ คนผู้นี้…หมดวาจาจะกล่าวจริงๆ นางยังต้องสารภาพยังไงอีก

อย่างไรที่ร่างกายก็ตรวจมาแล้ว การแต่งงานก็พระราชทานแล้ว ยังมีใครขวัญกล้าคิดจะตรวจร่างกายนางอีกรอบ โดยไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมาในภายหลังอีก

เดิมพวกเขาก็เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง แยกกันเช่นนี้ ก็เป็นแค่แผนรับมือชั่วคราวที่เหมาะสมแก่การมอบสถานะที่ดีที่สุดให้กับนางเท่านั้น

หนิงเซ่าชิงย่อมได้ยินชัดเจน ในขณะที่หยอกมั่วเชียนเสวี่ยเล่น ก็มีอีกปัญหาหนึ่งที่เขาจำเป็นต้องพิจารณา

“หากตั้งครรภ์จะทำอย่างไร”

ล้วนกล่าวกันว่าหน้าสามหลังสี่ ระดูนางเพิ่งหมดไปสองวันก่อนหน้านี้ วันนี้เป็นระยะเวลาปลอดภัยแน่นอน “ไม่หรอก ตอนนี้เป็นระยะเวลาปลอดภัย ไม่มีทางตั้งครรภ์…”

มั่วเชียนเสวี่ยเสียงเบามากๆ ใบหน้าก็แดงก่ำ

ฮือๆๆ…สวรรค์ประทานสายฟ้าฟาดใส่ร่างนางเลยเถอะ เดิมเป็นเขาที่เร่งรีบ ทำไมในตอนหลังถึงดูเหมือนกลายเป็นนางที่เร่งรีบแทนเล่า

หนิงเซ่าชิงทาบทับอยู่บนร่างของมั่วเชียนเสวี่ย รอยยิ้มบนริมฝีปากกว้างขึ้นเรื่อยๆ…

ทั่วร่างกำจายกลิ่นอายแห่งความสุขออกมา

ดังนั้น…

ภายในห้องที่เต็มไปด้วยกลิ่นกำยาน เสียงต่ำที่นุ่มนวลราวกับสายน้ำในฤดูใบไม้ผลิดังขึ้นชั่วครู่หนึ่ง

ยามราตรี สายลมค่ำคืนพัดเสียงวิหคตัวเมียและตัวผู้คลอเคลียกันลอยขึ้นไปบนฟ้าอย่างเชื่องช้า

ล้วนกล่าวกันว่าดวงจันทราในคืนที่สิบห้าสว่าง คืนที่สิบหกกลมเต็มดวง

ดวงจันทราในค่ำคืนนี้กลมมาก และสว่างมากจริงๆ

แต่ว่าค่ำคืนนี้ยังอีกยาวนาน…

หลังจากอารมณ์พลุ่งพล่านภายในห้องจบลง ก็เงียบและรื่นรมย์ใจไปชั่วครู่หนึ่ง

มั่วเชียนเสวี่ยเอนร่างซบอยู่ในอ้อมแขนหนิงเซ่าชิง หนิงเซ่าชิงลูบแผ่นหลังเรียบเนียนสะอาดของนาง ทั้งสองคนล้วนยังจมอยู่ในความสุขเมื่อครู่นี้

หวังว่าสองเราจะดำเนินชีวิตธรรมดาได้อย่างสงบสุข ราบรื่นตลอดไป

เขากับมั่วเชียนเสวี่ยใช้ชีวิตเช่นนี้ในบ้านไร่หลังเล็กแห่งนี้ไปตลอดชีวิต ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย

แน่นอนว่าความคิดนี้แค่ผ่านมาชั่วคราว ตอนนี้เขาเป็นหัวหน้าตระกูลหนิง บนบ่ามีความรับผิดชอบมากมาย เบื้องหลังมั่วเชียนเสวี่ยก็มีอิทธิพลอำนาจที่ซับซ้อนตามพัวพันอยู่ เขาทำได้เพียงแค่เพ้อฝัน หากเวลาสามารถหยุดลง ณ ตอนนี้ก็ดี

น่าเสียดายที่เวลาไม่มีทางหยุดนิ่ง เช่นนั้นก็ทะนุถนอมค่ำคืนนี้เอาไว้

หลังจากหนิงเซ่าชิงได้สติคืนมา ใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา และทาบทับมั่วเชียนเสวี่ยไว้ใต้ร่างอีกครั้ง

มั่วเชียนเสวี่ยลืมตา จิ้มลงบนแผงอกหนิงเซ่าชิงอย่างแรง ทำปากจู๋ด้วยความน้อยใจเล็กน้อย “คิดจะทำอันใดอีก คนที่ไม่รู้คงนึกว่าท่านไม่ได้พบกับสตรีมาหลายร้อยปี ถึงได้ขบกัดไปทั่วทั้งตัว”

“เสวี่ยเสวี่ยของข้าเป็นปีศาจตัวจ้อย กินคนไม่คายกระดูก” เห็นได้ชัดว่าวาจานี้เป็นการยั่วเย้า แต่หนิงเซ่าชิงกลับเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

“ไม่เอาแบบนี้ ขืนเป็นแบบนี้ ข้ารับไม่ไหวแล้ว”

“ทั่วทั้งร่างข้าไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว…จริงๆ นะ…ท่านปล่อยข้าไปเถอะ…” มั่วเชียนเสวี่ยวิงวอนอย่างน่าสงสาร

หนิงเซ่าชิงเงยหน้า ยิ้มมีเสน่ห์เย้ายวน “วางใจเถอะ เจ้าไม่มีแรง ให้ข้าทำเองก็พอแล้ว”

“คนเลว ชิงชิงเป็นคนเลว”

รู้แต่แรกแล้วว่าบุรุษที่ดูแล้วสุภาพอ่อนโยนผู้นี้ ความจริงกลับเหมือนหมาป่า ตีให้ตายนางก็ไม่มีทางเอ่ยออกมาว่า ตนเองยินยอม

แต่ทว่า มั่วเชียนเสวี่ยยังอยากจะเอ่ยอีกสักสองประโยค แต่เสียงกลับถูกหนิงเซ่าชิงใช้ปากปิดเอาไว้แล้ว…

รอจนฟ้าสว่างเล็กน้อย…มีแสงอรุณรุ่งสาดเข้ามาให้ห้อง ทุกอย่างถึงได้หยุดลง

หนิงเซ่าชิงที่เหงื่อชุ่มไปทั่วกาย แนบชิดกับมั่วเชียนเสวี่ย หว่างคิ้วเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ

มั่วเชียนเสวี่ยแม้จะอาลัยอาวรณ์ แต่กลับตัดสินใจถีบหนิงเซ่าชิงออกไป ไม่ใช่รังเกียจที่เขาหนัก แต่กลัวว่าเขาจะเริ่มบรรเลงบทรักอีกรอบ

หนิงเซ่าชิงที่ถูกถีบลงไปอย่างโหดร้าย เห็นมั่วเชียนเสวี่ยที่มีท่าทางบอบบางไร้เรี่ยวแรงแล้ว มุมปากก็โค้งเล็กน้อย ดึงมั่วเชียนเสวี่ยเข้ามาในอ้อมแขน พลางจุมพิตลงบนหน้าผากนางอย่างเห็นใจและทะนุถนอม

ปวดใจหลายส่วน และมีความภาคภูมิใจในตนเองหลายส่วน “รังเกียจที่ข้าหนักหรือ เช่นนั้นครั้งหน้าเปลี่ยนเป็นเจ้ากระทำแล้วกัน ข้าไม่รังเกียจที่เจ้าหนัก…”

“หนิงเซ่าชิง ท่านอยากลองลิ้มรสชาติเข็มเงินที่ตาเฒ่าประหลาดให้ข้ามาว่ามีรสชาติแบบไหนหรือไม่…” ไม่เพียงแค่เอ่ย แต่หยิบเข็มเงินออกมาเล็งเป้าไปที่เขาจริงๆ ให้เขารู้สึกชา และสงบเงียบลง

“…”

ในที่สุดทุกอย่างก็สงบเงียบ

เตาหนูที่อยู่นอกห้อง แคะหูเอาผ้าออกมาสองก้อนแล้วแหงนหน้ามองฟ้า

ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ภายในห้องก็เงียบงัน

เมื่อภายในห้องเสียงเงียบแล้ว ด้านนอกกลับมีเสียงดังต่อเนื่องไม่ขาดสาย

คนในบ้านไร่เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว

[1] ยามเหม่า คือเวลา 05.00 – 06.59 น