รัชศกอู่เวยปีที่ยี่สิบสี่ วันที่สิบสองเดือนห้า ชุยยางน้องชายของพระชายารัชทายาท ผู้ช่วยเจ้ากรมคลังถูกสังหาร ณ ตรอกเหอผิง เรื่องจึงเปิดเผย
…พงศาวดารต้ายง พระประวัติลี่อ๋อง
ยังไม่ทันเดินเข้าไปในห้องโถง ข้าก็ได้ยินเสียงกัมปนาทประหนึ่งฟ้าผ่าเอ่ยขึ้นอย่างระริกระรี้ดังออกมาจากที่นั่น ซือหม่า ท่านไม่รู้เสียแล้วว่าครั้งนี้ข้าโชคดี สุราเพลิงดาบไหนี้อายุตั้งหกสิบปีเชียวนะ ท่านต้องคิดไม่ถึงแน่ว่าร้านเล็กในหมู่บ้านชนบทนั่นจะมีสุราดีเช่นนี้ ข้าตัดใจดื่มไม่ลงจึงตั้งใจนำกลับมาด้วย เอาเช่นนี้เป็นอย่างไร หากท่านเลี้ยงของอร่อยข้าสักมื้อ ข้าจะเลี้ยงสุราท่านเอง
หลังจากนั้นเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้นตามมา ตาเฒ่าจิง เลิกโหวกเหวกโวยวายได้แล้ว อีกประเดี๋ยวองค์ชายมาจะตำหนิท่านได้ว่าไม่รักษากฎระเบียบ
เสียงดังสนั่นดุจสายฟ้านั่นกลับเอ่ยอย่างรำคาญ บิดารู้แล้วน่า องค์ชายมิตำหนิข้าหรอก ครานี้ข้านำของดีกลับมาด้วย
ต่อมาข้าก็ได้ยินซือหม่าสยงหัวเราะถามว่า เจ้าจะมีของดีอะไรได้ ไม่ใช่สุราดีไหนั้นหรอกหรือ
เสียงนั้นเอ่ยอย่างลำพอง เด็กน้อยอย่างเจ้าต้องเดาไม่ถูกเป็นแน่ องค์ชายจะต้องโปรดปรานของสิ่งนี้ที่ข้านำกลับมาแน่นอน
หลี่จื้ออมยิ้มแล้วกระแอมเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะยกเท้าก้าวเข้าไปในห้องโถง ข้าเดินตามหลังเข้าไป เมื่อเข้าไปในห้องโถงก็เห็นบุรุษสวมเครื่องแบบทหารสองคนยืนตัวตรงทิ้งมือลงข้างลำตัวอยู่ด้านข้าง หลี่จื้อเดินไปถึงที่นั่งประธาน สองคนนี้พลันก้าวเข้าไปคารวะ เพียงเห็นความเคารพนับถือที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของพวกเขาก็ทราบได้ทันทีว่าสองคนนี้คือแม่ทัพคนสนิทของหลี่จื้อ
ข้ามองสำรวจทั้งสองคนอย่างละเอียด คนหนึ่งในนั้นคิ้วยาวดวงตาหงส์ ใบหน้าขาวผ่องไร้หนวดเครา หน้าตาองอาจแต่ยังมีเค้าความนุ่มนวล ร่างกายสูงเกือบแปดฉื่อแต่แขนดุจวานร เอวดั่งภมร เรือนร่างจึงแลดูไม่ใหญ่โตสักนิด ส่วนอีกผู้หนึ่งร่างกายสูงแปดฉื่อเช่นกัน ศีรษะคล้ายพยัคฆ์ดวงตากลมโต หน้าตาห้าวหาญ รูปร่างกำยำจนเหมือนภูเขาน้อยลูกหนึ่ง หลังจากทั้งสองคนคารวะอย่างนอบน้อม หลี่จื้อจึงชี้มาที่ข้าแล้วเอ่ยว่า เจียงซือหม่าคนนี้คือผู้ช่วยคนสำคัญของข้า พวกท่านรู้จักไว้ หลังจากนี้ให้ปฏิบัติต่อเขาเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อข้า ห้ามเสียมารยาท
ทั้งสองคนหมุนตัวเดินเข้ามาคารวะข้า ข้าโน้มกายคำนับกลับแล้วยิ้มน้อยๆ องค์ชายกล่าวเกินไปแล้ว เจียงเจ๋อกับแม่ทัพทั้งสองล้วนเป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาขององค์ชาย มิกล้ารับการคำนับเต็มพิธีการจากทั้งสองท่าน
หลังจากคำนับทักทายเสร็จ ข้าจึงเดินไปนั่งตำแหน่งที่ต่ำลงมาจากองค์ชาย ส่วนทั้งสองคนยืนตัวตรงรอคอยยงอ๋องเอ่ยวาจา
หลี่จื้อหัวเราะ ทุกคนนั่งลงเถิด ที่นี่ไม่ใช่ค่ายของกองทัพ ไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น จ่างซุน พวกท่านเดินทางมาราบรื่นหรือไม่
แม่ทัพผู้มีคิ้วยาวกับดวงตาหงส์ผู้นั้นลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า รายงานองค์ชาย ตลอดทางราบรื่นยิ่งนัก แต่รถม้าจำนวนมากเกินไปจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเดินทางช้าอยู่บ้าง นี่คือรายการของกำนัลที่ราชทูตหนานฉู่ส่งมา เขาเอ่ยพลางก็ส่งสมุดพับเล่มหนึ่งมาให้ หลี่จื้อเปิดอ่านครู่หนึ่งจึงส่งให้ข้าแล้วบอกว่า ตำรับตำราภาพวาดเหล่านี้ ข้ามิเคยศึกษา ท่านตรวจดูเถิด
ข้าพลิกเปิดดูคร่าวๆ แล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ ของชั้นเลิศที่แท้จริงมีไม่มากแต่ก็นับว่าไม่เลว เดิมทีสิ่งที่กระหม่อมสนใจก็มิใช่สิ่งเหล่านี้ แต่เป็นตำราเหล่านั้นต่างหาก แม้หนานฉู่คงเก็บตำราสำคัญเอาไว้จำนวนหนึ่ง แต่กระหม่อมคิดว่าไม่น่าจะขาดหายไปมากนัก อย่างไรก็คงได้มาแปดถึงเก้าในสิบส่วน วันหลังหากองค์ชายส่งรายการไปที่สวนเหมันต์ ข้าจะตรวจสอบอย่างละเอียด ดูว่ามีตำราล้ำค่าอันใดขาดไปหรือไม่
หลี่จื้อพยักหน้ากล่าวว่า ข้าถวายหนังสือรายงานเสด็จพ่อร้องขอให้จัดการตำราเหล่านี้แล้ว เสด็จพ่อมีรับสั่งให้สำนักฮั่นหลินเป็นผู้จัดการ มีราชครูฉู่ผิงรับผิดชอบดูแล ราชครูฉู่ผิงเป็นผู้ละเอียดลออและรอบรู้ จะต้องจัดการตำราเหล่านี้ได้อย่างดีเป็นแน่ นี่เป็นเรื่องสำคัญอันจะเป็นคุณประโยชน์แก่ชนรุ่นหลัง เขาไม่มีทางสะเพร่า
ข้าหัวเราะแล้วเอ่ยว่า ข้าก็เชื่อมั่นในตัวราชครูฉู่เช่นกัน แต่หนังสือเหล่านี้ในอดีตข้าเพียงเคยอ่านผ่านตาเท่านั้น ถ้าอย่างไรขอองค์ชายอนุญาตให้ข้าได้หยิบยืมอ่านสักสองสามเล่ม
หลี่จื้อยิ้มละไม เรื่องนี้ท่านตัดสินใจเองเถิด ว่าแต่จิงฉือ เมื่อครู่ข้าอยู่ด้านนอกได้ยินเจ้าเอะอะโวยวายบอกว่านำของดีกลับมาให้ข้า คือสิ่งใดหรือ
จิงฉือรีบลุกขึ้นยืนตอบว่า องค์ชาย ของสิ่งนี้ที่กระหม่อมนำกลับมาองค์ชายจักต้องชอบเป็นแน่ พูดจบก็หยิบหนังสือแผนที่เล่มหนึ่งออกมาจากในสาบเสื้อแล้วส่งให้
หลี่จื้อเปิดออกดู ทันใดนั้นสีหน้าก็ตกตะลึง เขาพลิกเปิดทีละหน้าจนกระทั่งดูจบจึงอุทานอย่างตกตะลึง ช่างเป็นตำรารวมแผนที่ภูมิประเทศแถบซานชวนที่ครบถ้วนนัก จิงฉือ ท่านได้มาจากที่ใดกัน ใครเป็นผู้วาด
ข้านึกสงสัยใคร่รู้จึงยื่นมือออกไป หลี่จื้อส่งตำราให้ข้า ข้าเปิดออกดูก็เห็นด้านหน้าเป็นแผนที่ซึ่งวาดอย่างประณีต สิ่งที่วาดไว้คือด่านและจุดยุทธศาสตร์สำคัญแต่ละแห่งรวมถึงตำแหน่งภูเขาและแม่น้ำ วาดได้อย่างละเอียดยิ่งนัก ข้าเคยเห็นแผนที่ทางการทหารของหนานฉู่มาก่อน แต่น้อยครั้งนักที่จะเห็นแผนที่อันละเอียดลออเช่นนี้
ตอนนี้เองจิงฉือจึงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ข้าได้รับคำสั่งให้ป้องกันกองทหารฉู่ทางฝั่งจิงเซียงจึงต้องลาดตระเวนด่านทุกแห่ง เมื่อหลายวันก่อนข้าจับบัณฑิตหนุ่มผู้หนึ่งได้ เมื่อค้นตัวเขาก็พบตำราเหล่านี้ เดิมทีคิดจะสังหารคนผู้นี้โทษฐานเป็นสายลับ แต่หัวหน้ากองเซวียนสอบสวนจบก็บอกว่าคนผู้นี้มิใช่สายลับ แต่มีนามว่าสวีจวินเป็นทายาทของสวีเหิง แล้วยังเป็นผู้มีความสามารถอันหาได้ยากคนหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงบังคับให้เขาอยู่ในกองทัพ แต่คนผู้นี้ขวัญกล้านัก ไม่ง่ายกว่าจะมีหนทางรอดให้เลือก แต่เขากลับไม่ยอมเป็นขุนนาง จะไปให้ได้ ต่อมาข้าโมโห จึงบอกเขาว่าหากก่อเรื่องต่อไป ข้าจะจัดการเขาโทษฐานเป็นสายลับ เขาจึงยอมทำตัวดีๆ ครั้งนี้เดิมทีอยากจะพาเขามาด้วย แต่หัวหน้ากองเซวียนบอกว่าให้ข้าขออนุญาตจากองค์ชายเสียก่อน นี่คือสารจากหัวหน้ากองเซวียน กล่าวจบก็ส่งสารฉบับหนึ่งมาให้
หลี่จื้อเปิดสารออกอ่านแล้วเหลือบมองข้า สุยอวิ๋นคิดเห็นเช่นไร
ข้าแย้มยิ้ม คนผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถจริงๆ แต่ตอนนี้เกิดสงครามโกลาหลไม่ว่างเว้น หากปล่อยไว้ในหมู่ชาวบ้านคงยากเลี่ยงพบพานเคราะห์ร้าย มิสู้องค์ชายส่งเขาไปไว้กับท่านจื่อโยวก่อน ข้าตรวจดูแล้วที่นี่ยังไม่มีแผนที่ของโยวโจว ให้เขาตั้งใจรังวัดวาดขึ้นมาก็ไม่เลว
หลี่จื้อยิ้มตอบว่า ดี ข้าอีกประเดี๋ยวข้าจะเขียนสารส่งไปให้ฉางชิง หัวหน้ากองเซวียนมีนามว่าเซวียนซง แม้เขาเป็นผู้สงวนวาจา แต่ชำนาญในด้านการจัดการกองทัพ เขาดูแคลนเงินตรายึดถือคุณธรรม ท่านจำหยางช่านบัณฑิตบ้าแห่งแคว้นสู่ก่อนหน้านี้ได้หรือไม่
ข้านึกอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบว่า กระหม่อมรู้จักคนผู้นี้ เขาเคยรับหน้าที่เป็นทูตแคว้นสู่มาเยือนค่ายทัพขององค์ชาย
หลี่จื้อไม่ถามว่าข้ารู้ได้อย่างไร เขาเพียงเล่าต่อว่า คนผู้นี้เป็นคนหัวแข็ง หลังจากแคว้นสู่พินาศ เขาก็กระโดดน้ำฆ่าตัวตาย ทิ้งคำสั่งเสียเอาไว้ว่า ‘เถียนเหิงมีผู้ใต้บัญชาเพียงแปดร้อย ทหารกล้าทุกนายยอมตายตาม แคว้นสู่อันยิ่งใหญ่เหตุใดมิมีผู้ตายตามนายแม้สักคน’ หลังจากเขาตาย ภรรยากับบุตรชายแทบจะอดตายในหน้าหนาว ต่อมาพวกเขาจึงทำตามคำสั่งเสียของเขา เขียนจดหมายฉบับหนึ่งมาหาเซวียนซง เซวียนซงเคยสนทนากับหยางช่านอยู่หลายหนและเคยเอ่ยปากว่ายินดีช่วยเหลือเขา สุดท้ายฉางชิงจึงส่งคนนำเงินเก็บทั้งหมดของตนไปมอบให้แก่ครอบครัวตระกูลหยางจริงๆ ข้าได้ฟังแล้วนับถือเขายิ่งนัก ยามนั้นเขาเพิ่งมาพึ่งพิงข้าไม่นาน ข้าเห็นเขารักษาสัจจะจึงให้เขาขึ้นเป็นหัวหน้ากอง จิงฉือเป็นคนหุนหันพลันแล่น ดังนั้นข้าจึงส่งเซวียนซงไปเป็นหัวหน้ากองในสังกัดของเขา ดูท่าเซวียนซงผู้นี้ควรค่าให้ใช้งาน น่าเสียดายตอนนี้ต้องอาศัยเขาดูแลงานในกองทัพ ไม่อาจย้ายเขามาฉางอันได้
ข้ายิ้มแย้มเอ่ยว่า งานในกองทัพเป็นเรื่องสำคัญ อีกทั้งวันนี้แม่ทัพจิงเดินทางมาอารักขาองค์ชายที่ฉางอันแล้ว หากไม่มีคนที่เชื่อใจได้ฝากฝังงานในกองทัพ องค์ชายคงไม่อาจวางใจได้ ในเมื่อสวีจวินผู้นี้เป็นบุตรของสวีเหิงก็น่าจะเป็นคนที่ชำนาญภูมิประเทศ องค์ชายต้องใช้งานให้ดี
เวลานี้เอง จิงฉือจึงถามอย่างกระดากอาย ว่าแต่ สวีเหิงผู้นี้คือผู้ใดกัน เหตุใดตอนหัวหน้ากองเซวียนเอ่ยถึงเหมือนข้าสมควรรู้จักเขา
ข้ายิ้มน้อยๆ รู้ทันทีว่าแม่ทัพผู้นี้เป็นคนหยาบดั่งเช่นรูปลักษณ์ของเขา จึงเอ่ยอย่างนิ่งสงบว่า คนผู้นี้คือนักสำรวจภูมิประเทศที่มีชื่อเสียงของรัชสมัยก่อน ยามมีชีวิตชื่นชอบท่องเที่ยวสี่คาบสมุทร เขียนบันทึกการเดินทางไว้มากมาย บัณฑิตทุกคนต่างชอบบันทึกการเดินทางที่เขาเขียน เพระเมื่ออ่านบันทึกของเขาแม้นมิก้าวออกจากประตูก็ล่วงรู้ทิวทัศน์วัฒนธรรมทั่วใต้หล้า แม้เป็นแม่ทัพก็สมควรลองอ่านดู รู้มากไว้ยามรบทัพจับศึกย่อมมีประโยชน์
จิงฉือเผยสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมาทันที ก่อนเอ่ยว่า แม้ข้าจะรู้อักษรอยู่สองสามตัว แต่ตำราที่ตัวอักษรยั้วเยี้ยเช่นนั้นคงอ่านไม่เข้าใจ อีกประการหนึ่งงานก็มากมายนัก ไหนเลยจะมีเวลาอ่านหนังสือเล่า
หลี่จื้อสีหน้าเคร่งขรึมในทันใด จิงฉือ ท่านช่างไม่ขวนขวายหาความก้าวหน้า แม้ท่านห้าวหาญยามออกศึก แต่เพียงเท่านั้นย่อมเป็นได้แค่แม่ทัพคนหนึ่ง หากในอนาคตท่านคิดจะรับผิดชอบการใหญ่ต้องอ่านหนังสือให้มาก ตอนนี้ท่านมาฉางอันแล้ว ข้าเองก็ยังไม่มีงานอะไรให้ท่านทำ ท่านก็อ่านหนังสือเพิ่มเสียดีๆ เถอะ นี่คือคำสั่งแม่ทัพ
จิงฉือที่คิดจะโอดครวญหุบปากฉับ สีหน้าเสียใจอย่างสุดซึ้ง ข้าหัวเราะอย่างอดมิได้ องค์ชาย หลายวันนี้กระหม่อมคงมีเรื่องต้องรบกวนแม่ทัพทั้งสอง มิสู้ยกเรื่องนี้ให้กระหม่อมจัดการเถิด รับรองว่ากระหม่อมจะทำให้องค์ชายพอใจ
หลี่จื้อตอบว่า นี่กลับเป็นเรื่องดี จิงฉื อยังไม่รีบเข้าไปคารวะอาจารย์อีก
จิงฉือเห็นสีหน้าขึงขังของยงอ๋องจึงมิอาจไม่ก้าวเข้าไปคำนับ แต่สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม ข้ากับยงอ๋องมองหน้ากันแล้วหัวเราะ จิงฉือผู้นี้นิสัยพยศ ควบคุมมิง่าย หากข้าออกคำสั่งเขา ไม่แน่ว่าเขาจะทำตามอย่างว่าง่าย วันนี้ข้าใช้วิธีนี้ย่อมเรียกใช้เขาได้อย่างถูกต้องชอบธรรม หากเขาไม่เชื่อฟัง ข้าเพียงลงโทษให้เขาคัดตำราสักสองสามหน้าก็คงทำให้เขาก้มหน้ารับคำสั่งได้แล้ว
ข้าเหลือบมองจ่างซุนจี้ เขาสีหน้าเรียบเฉยแต่สายตาทอประกายเข้าใจความนัย ดูท่าเขาคงฉลาดเฉลียวยิ่งนัก จะต้องเป็นผู้ช่วยที่ดีคนหนึ่งแน่ แผนการของข้าน่าจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ข้าจึงเบิกบานจากใจจริง
ตอนต่อไป