บทที่ 392 ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 392 ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ
บทที่ 392 ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่ต่อ

“เป็นเช่นนั้น!” ความคิดของเปี้ยนไท่ลื่นไหลดั่งสายน้ำ คำพูดของเขาหลุดออกจากปาก “เช่นเดียวกับรายงานที่แม่นางเฉียวเคยมอบให้เราก่อนหน้านี้…”

เปี้ยนไท่สังเกตเห็นว่าใบหน้าของซือคุนนั้นขรึมลง ดังนั้นเขาจึงรีบพูดเสริมว่า “แม้ว่าเฉียวเสวี่ยอิงจะทรยศนายน้อย แต่นางเคยเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดี รายงานของนางเมื่อก่อนควรจะยังเชื่อถือได้

“ซูอันที่ไร้ค่าและฉาวโฉ่แห่งเมืองจันทร์กระจ่าง จะเปลี่ยนไปได้ยังไงในช่วงเวลาสั้น ๆ จนกระทั่งสามารถเผชิญหน้ากับนายน้อยได้?

“มันเหลือแค่เพียงคำอธิบายเดียวก็คือมันจะต้องมีปรมาจารย์ลึกลับที่คอยสั่งสอนเขาเท่านั้น เขาถึงเปลี่ยนแปลงได้อย่างสมบูรณ์ได้ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แบบนี้!”

เปี้ยนไท่ถอนหายใจยาว “ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ อันที่จริง เรื่องที่ซูอัน กลายมาเป็นเขยตระกูลฉู่นั้น มันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างที่ทุกคนเข้าใจ ตระกูลฉู่นั้นไม่ใช่ตระกูลที่ไร้ปัญญาและเหตุผล ด้วยการหนุนหลังของปรมาจารย์ลึกลับที่อยู่เบื้องหลัง ทุกสิ่งที่ไร้เหตุผลก็สามารถมีคำอธิบายได้”

“ปรมาจารย์ลึกลับ…” ซือคุนยังคงขัดแย้งกับความเป็นไปได้ เขาไม่ได้โง่ ตรงกันข้าม ชายหนุ่มจัดว่าเป็นคนที่ฉลาดมาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถเข้าถึงระดับการบ่มเพาะที่ห้าได้ตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้

หลังจากฟังการวิเคราะห์ของเปี้ยนไท่ ซือคุนก็เปลี่ยนความคิดของตัวเอง ก่อนจะต้องตกใจเมื่อพบว่ามันมีทางเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวจริง ๆ

“ทำไมคนอย่างมันถึงได้รับแต่อะไรดี ๆ ทั้งหมดนี้!” ความเข้าใจในสถานการณ์ยิ่งจุดประกายความเกลียดชังของเขาให้ลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีก “ทำไมปรมาจารย์ลึกลับเช่นนี้กลับมาชอบขยะอย่างไอ้ซูอัน? มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอถ้าเลือกคนที่มีความสามารถพอจะสั่งสอนมากกว่า?”

หากคนผู้นั้นสามารถฆ่าผู้เฒ่าซือได้อย่างง่ายดาย อย่างน้อยระดับการบ่มเพาะของเขาต้องอยู่ที่ระดับแปดขั้นสูงสุด หรือมีความเป็นไปได้ที่จะอยู่ในระดับปรมาจารย์ (ระดับ9)!

เขา…นายน้อยผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดและได้กินอาหารที่หรูหราที่สุดตั้งแต่แรกเกิด ยังไม่เคยได้รับสิทธิที่จะได้รับการสั่งสอนโดยบุคคลเช่นนั้นเลย แต่ในขณะที่ไอ้ขยะนั่นมันกลับได้รับ? มันทำได้ยังไงกัน!? ความคิดนี้ทำให้ซือคุนเดือดดาลด้วยความริษยา

ท่านยั่วยุซือคุนสำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 1024!

เปี้ยนไท่แบ่งปันความคิดกับเขา “บางทีคนผู้นั้นอาจเคยได้รับความเมตตาจากบรรพบุรุษของซูอัน หรือเป็นไปได้ว่าเขากำลังสมคบคิดกับตระกูลฉู่…ข้าจะให้คนของข้าตรวจสอบเรื่องนี้ในทันที”

“ไม่จำเป็น” ซือคุนยกมือขึ้นหยุดเขา “กลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุด”

“กลับเมืองหลวง?” เปี้ยนไท่ตกใจมาก “เราจะกลับกันแบบนี้เลยเหรอนายน้อย?”

ซือคุนระเบิดอารมณ์ “เจ้าคิดว่าข้าต้องการงั้นเหรอ! ตอนนี้ของวิเศษที่สามารถช่วยชีวิตของข้าได้ ถูกใช้ในมิติลับหยกจรัสไปจนหมดแล้ว และตอนนี้แม้แต่ผู้เฒ่าซือก็ถูกฆ่า! แถมตอนนี้เจ้ากำลังบอกข้าว่ามีปรมาจารย์ลึกลับที่น่าสะพรึงกลัว ซึ่งอาจเป็นอาจารย์ที่คอยสั่งสอนซูอันกำลังซุ่มซ่อนอยู่ ไอ้ถ่อยซูอันคือศัตรูตัวฉกาจของข้า ถ้ามันขอให้อาจารย์ของมันมาจัดการข้า ข้าจะเผชิญหน้ากับบุคคลเช่นนั้นได้ยังไง!!”

เปี้ยนไท่ขมวดคิ้ว “ผู้บ่มเพาะในระดับนั้นไม่ควรรังแกรุ่นเยาว์ ยิ่งกว่านั้น นายน้อยยังมีฐานะที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ตระกูลฉู่จะกล้าทำอันตรายนายน้อยอย่างเปิดเผยได้ยังไง?

“เจ้าคิดว่าชีวิตข้ามีค่าแค่ไหน? ข้าไม่สามารถยอมเสี่ยงได้แม้มันจะเล็กน้อย พอ! เราไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้ว เจ้าเตรียมถอนกำลัง ข้าจะไปคฤหาสน์ตระกูลซ่าง!” หลังจากพูดจบ ซือคุนก็มองหาผู้คุ้มกันที่มีระดับการบ่มเพาะสูงสุด และจากไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

เปี้ยนไท่ถอนหายใจในขณะที่มองดูร่างที่จากไปของซือคุน เขาเข้าใจอารมณ์ของนายน้อยคนนี้ของตระกูลซือดีกว่าใคร ๆ ความสามารถของเขาสูงมาก และขณะที่อยู่ในที่สาธารณะ นายน้อยจะมีบุคลิกที่สง่างามและสมบูรณ์แบบ ทว่าในความเป็นจริง สันดานของเขาเสียโดยสิ้นเชิง

ซือคุนมีทุกอย่างที่เขาต้องการ เหมือนคนที่คาบช้อนทองมาแต่เกิด และทุกอย่างก็ราบรื่นเกินไปสำหรับนายน้อยคนนี้ มันง่ายไปหมดกับการที่เขาจะไขว่คว้าอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ จึงไม่เคยรู้สึกว่าสิ่งใดมีค่าเลยสักอย่าง ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ประสบกับความล้มเหลว ซือคุนก็พร้อมที่จะระเบิดอารมณ์ใส่ทุกอย่างรอบกายในทันที

และยิ่งหลังจากที่พบกับความล้มเหลวในมิติลับหยกจรัส ซึ่งได้สร้างแผลใจให้เป็นอย่างมาก ดังนั้นพอมาถึงตอนนี้ เมื่อได้ยินข่าวชะตากรรมอันน่าเศร้าของซือเล่อจื่อ มันจึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่หักหลังอูฐตัวนี้

ซือคุนรีบไปที่คฤหาสน์ตระกูลซ่าง อย่างไรก็ตาม คฤหาสน์ตระกูลซ่างนั้นไม่ใช่จวนผู้ตรวจการ ดังนั้นซ่างหงจึงไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่ที่นี่เป็นที่ที่ผู้บัญชาการกองทหารลาดตระเวนลำน้ำอย่างซ่างเชียนอาศัยอยู่

ซ่างเชียนรู้สึกประหลาดใจกับการมาถึงของซือคุน แต่ก็ยังทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม

“ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อเรื่องไร้สาระ ข้ามาพบพ่อเจ้า!” การตายของซือเล่อจื่อทำให้อารมณ์ของซือคุนแปรปรวนราวกับสุนัขบ้า

น้ำเสียงที่หยาบคายของซือคุน ทำให้ซ่างเชียนขมวดคิ้วและสาปแช่งอยู่ภายในใจ แต่สถานะของตระกูลซือนั้นยิ่งใหญ่เกินไป จึงทำให้เขาไม่สามารถที่จะล่วงเกินซือคุนได้ ดังนั้นจึงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองและพูดว่า “นายน้อยซือ ท่านล้อเล่นหรือเปล่า พ่อของข้าจะอยู่ที่นี่ได้ยังไง? ตามปกติแล้วพ่อของข้าพักอาศัยอยู่ที่จวนผู้ตรวจการ เขาไม่ได้อยู่ในเมืองจันทร์กระจ่างหรอก”

จวนผู้ตรวจการตั้งอยู่ในเมืองหลวงของมณฑลหลินชวน ไม่ใช่ในเมืองจันทร์กระจ่าง ซ่างหงมักจะอยู่แต่ในจวนของผู้ตรวจการและไม่ค่อยปรากฏตัวในเมืองจันทร์กระจ่าง เพื่อป้องกันข่าวลือว่าเขาละเลยหน้าที่

“เมื่อพิจารณาถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดของเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องปิดบังข้าด้วยคำโกหกที่ไร้ความหมายนี้ ข้ามีธุระด่วนจะคุยกับพ่อของเจ้า ดังนั้นรีบพาข้าไปหาเขาได้แล้ว!” ซือคุนพูดอย่างไม่อดทน

เนื่องจากซือคุนเอ่ยขึ้นอย่างตรงไปตรงมา มันจึงทำให้ซ่างเชียนขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ หลังจากแน่ใจว่าพวกเขาอยู่เพียงลำพัง ก็รีบพาซือคุนไปที่ห้องส่วนตัวในโถงด้านหลัง

ซ่างหงมาที่มณฑลหลินชวนเพื่อจัดการกับตระกูลฉู่ แน่นอนว่าต้องอยู่ในเมืองจันทร์กระจ่าง เพื่อดูแลเรื่องนี้ให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ

แน่นอนว่าไม่มีทางเปิดเผยสิ่งนี้ต่อสาธารณะ ดังนั้นเขาจึงมักจะแอบมาอยู่ในคฤหาสน์ของลูกชายตัวเอง

“อะไรทำให้นายน้อยซือเป็นกังวล?” ซ่างหงถามอย่างสบาย ๆ พลางรินชาอย่างใจเย็น

เขารู้สึกไม่พอใจ ชายหนุ่มผู้นี้พุ่งเข้ามาหาเขาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ซึ่งมันอาจจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนทั่วสารทิศ

“ผู้เฒ่าซือเสียชีวิตเมื่อคืนนี้!” ซือคุนกล่าวด้วยสีหน้าบูดบึ้ง

“อะไรนะ?” ซ่างเชียนร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก

ซ่างหงมองลูกชายอย่างไม่พอใจ ลูกชายคนนี้ไม่เหมือนเขา และไม่สามารถรักษาท่าทีสงบเสงี่ยมได้เลย

ซ่างหงค่อย ๆ วางถ้วยน้ำชากลับลงบนโต๊ะก่อนจะถามว่า “ซือเล่อจื่อ เสียชีวิต? จะมีใครในเมืองจันทร์กระจ่างที่สามารถฆ่าเขาได้ หรือกล้าคิดที่จะฆ่าเขา?”

เขาเข้าใจระดับการบ่มเพาะของซือเล่อจื่อเป็นอย่างดี อีกทั้งยังรู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในรายชื่อหนึ่งในสิบบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองจันทร์กระจ่าง บางทีอาจเป็นหนึ่งในห้าบุคคลแรกด้วยซ้ำ

และในบรรดาสิบคนนั้น มีเพียงสามหรือสี่คนเท่านั้นที่สามารถจะฆ่าซือเล่อจื่อได้ ทว่าคนพวกนั้นแต่ละคนล้วนเป็นบุคคลที่มีตำแหน่งสูง และมีความผูกพันอย่างลึกซึ้งกับขั้วอำนาจอื่น ๆ หากพวกเขามีการเคลื่อนไหวใด ๆ มันจะส่งผลกระทบต่อความสมดุลของอำนาจอย่างมาก บุคคลเช่นนั้นจะจงใจล่วงละเมิดต่อตระกูลซืออย่างโจ่งแจ้งได้ยังไง?

โดยที่ซ่างหงไม่คาดคิด ใบหน้าที่หล่อเหลาของซือคุนบิดเบี้ยว และเขาก็สบถชื่อ ๆ หนึ่งออกมาก่อนจะกัดฟันแน่น

“ซูอัน!?”

เสียงของซ่างเชียนนั้นสูงกว่าเสียงพูดปกติของเขา

แค่ให้ซูอันรอดจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากผู้บ่มเพาะระดับแปดอย่างซือเล่อจื่อก็เป็นเรื่องยากมากแล้ว นับประสาอะไรกับความเชื่อที่ว่าซือเล่อจื่อถูกซูอันฆ่าด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง

“นายน้อยซือ เป็นไปได้หรือเปล่าว่าท่านอาจเข้าใจผิดไปเอง?”

ซ่างเชียนถามขึ้นพลางสงสัยว่าชายผู้นี้หวาดกลัวซูอันเกินไปหรือไม่ หลังจากที่เกือบจะโดนซูอันฆ่าหลังจากออกมาจากมิติลับ

ไม่ว่ายังไง การบอกว่าซูอันสามารถฆ่าผู้บ่มเพาะระดับแปดได้นั้นมันไร้สาระเกินไป…

ซ่างหงก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน แต่เขาก็ไม่ได้เสียอาการเหมือนลูกชายของเขา แต่มองดูซือคุนอย่างใจเย็นแทน เขารู้ว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างที่มากกว่านี้

ซือคุนพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้าหวังว่าข้าจะคิดผิดเหมือนกัน…”

เขาเล่าเหตุการณ์ในคืนก่อน เช่นเดียวกับสิ่งที่เปี้ยนไท่ได้รายงานต่อเขา แน่นอนว่าเขาจงใจละทิ้งรายละเอียดบางอย่างที่ทั้งสองพ่อลูกนี้ไม่จำเป็นต้องได้ยิน เช่น เรื่องที่เฉียวเสวี่ยอิงถูกพิษ เขาแค่บอกว่าพวกเขากำลังจับคนทรยศ