ตอนที่ 133-2 หมอพเนจรฟื้นตื่น (ต้น)

เจ้าพนักงานที่บาดเจ็บยกมือขึ้นคิดจะตีมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อ

เอ้อร์โก่วจื่อหยิบหินก้อนหนึ่งแล้วพุ่งเข้าไป

เจ้าพนักงานชักกระบี่ข้างกายออกมา!

“หยุดนะ” เฉียวเวยตวาดเสียงดุดัน แล้วก้าวเข้าไปแย่งกระบี่ของเจ้าพนักงาน จากนั้นตบก้อนหินในมือเอ้อร์โก่วจื่อทิ้ง “มีอะไรพูดจากันดีๆ ทำไมต้องตีรันฟันแทงกันด้วย พวกท่านเป็นเจ้าพนักงานของทางการ ถือกระบี่ไว้เพื่อมาทำเช่นนี้กับชาวบ้านหรือ”

เจ้าพนักงานกัดฟันบอกว่า “เจ้าดูมือข้าสิ ถูกหญิงบ้าผู้นี้กัดจนเป็นเช่นไรแล้ว”

มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อสวนอย่างโกรธแค้น “ผู้ใดให้เจ้ามาจับตัวสามีของข้า”

หัวหน้าหมู่บ้าน ป้าหลัวกับป้าจ้าวล้อมวงเข้ามาดู

“เกิดอะไรขึ้น” ป้าหลัวถาม

หัวหน้าหมู่บ้านปวดหัว ถูกจับไปอีกคนแล้ว

เฉียวเวยประคองมารดาของเอ้อร์โก่วจื่อขึ้นมาแล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “เรื่องนี้ท่านทำไม่ถูกแล้ว เจ้าพนักงานทางการก็มีกฎระเบียบของทางการ ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่ตามกฎ ท่านยังกล้ากัดผู้อื่นอีก สิ่งที่ท่านกำลังทำคือการขัดขวางกาปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เข้าใจหรือไม่”

สีหน้าของเจ้าพนักงานผ่อนคลายลงเล็กน้อย

สหายถามเขาว่า “ไม่เป็นอะไรนะ”

ถูกกัดจนได้เลือด ไม่เป็นอะไรได้หรือ สีหน้าของเจ้าพนักงานบึ้งตึงลงอีกหน

เฉียวเวยมีความประทับใจที่ดีต่อครอบครัวของเอ้อร์โก่วจื่อ ตอนแรกเด็กๆ ในหมู่บ้านไม่เคยสนใจลูกทั้งสองคนของนาง มีเพียงเอ้อร์โก่วจื่อที่ไม่ถือสาคำเล่าลือเหล่านั้น หัวใจของผู้คนล้วนเป็นก้อนเนื้อ ตอนนี้ครอบครัวของเอ้อร์โก่วจื่อเกิดปัญหา นางไม่มีทางนิ่งดูดาย

เฉียวเวยหยิบเงินก้อนสองตำลึงออกมาจากถุงเงิน แล้วแบ่งให้เจ้าพนักงานทั้งสองคน “ท่านเจ้าพนักงาน พวกท่านให้เวลาสักสองวันค่อยมาได้หรือไม่ ให้เวลาพวกเราเตรียมตัวสักหน่อย นี่กะทันหันเกินไป ผลผลิตอะไรก็ยังเตรียมไม่พร้อม แม่บุญธรรม ในบ้านของพวกเรายังมีไข่เยี่ยวม้าอีกหรือไม่”

ป้าหลัวพยักหน้าหงึกหงัก “มีอยู่ๆ ข้าจะไปหยิบมาเดี๋ยวนี้!”

ป้าหลัวเข้าไปในบ้าน หิ้วไข่เยี่ยวม้าออกมาสองตะกร้า “ท่านเจ้าพนักงาน ให้ท่าน!”

ไข่เยี่ยวม้าเป็นของหายาก เจ้าพนักงานทั้งสองส่งสายตาให้กัน แล้วรับตะกร้ามาจากมือของป้าหลัว

เจ้าพนักงานที่บาดเจ็บบอกว่า “วันพรุ่งนี้พวกข้าค่อยมาใหม่!”

เฉียวเวยยิ้มละไม “ขอบคุณท่านเจ้าพนักงานยิ่งนัก”

เจ้าพนักงานทางการจากไปแล้ว หัวหน้าหมู่บ้านกับป้าหลัวถอนหายใจ

มารดาของเอ้อร์โก่วจื่อกับป้าจ้าวไม่ได้ยินดีขนาดนั้น อย่างไรเสียพวกเขาล้วนเป็นครอบครัวยากจน ถึงจะให้เวลาพวกเขาเพิ่มอีกวันหนึ่ง หรือสองวัน สิบวันก็ควักเงินออกมาไม่ได้เหมือนเดิม

เมื่อคิดว่าบุรุษในบ้านอาจต้องถูกจับตัวไปเช่นนี้ ป้าจ้าวก็หวาดกลัวจนน้ำตาไหล

เฉียวเวยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยปากว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน ท่านเข้ามาสักเดี๋ยว ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน”

หัวหน้าหมู่บ้านตามเฉียวเวยเข้าไปในบ้าน

เฉียวเวยลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “หัวหน้าหมู่บ้าน ความจริงเมื่อวานข้าครุ่นคิดเรื่องหนึ่งอยู่ตลอด”

“เรื่องใดหรือ” หัวหน้าหมู่บ้านถาม

เฉียวเวยตอบตามตรง “ข้าคิดจะจ้างคนเพิ่ม ขยายขนาดกิจการ”

ดวงตาของหัวหน้าหมู่บ้านเป็นประกายทันที “เจ้าบอกว่า…เจ้าจะรับสมัครคนงานหรือ”

“ใช่แล้ว” เฉียวเวยตอบรับ

หัวหน้าหมู่บ้านหัวใจเต้นตึกๆ ด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคิดจะรับเท่าไร”

เฉียวเวยคิดครู่หนึ่งก็ว่า “ยี่สิบถึงสามสิบคนกระมัง คนที่ข้าจะจ้างต้องทำงานตลอดทั้งปี ดังนั้นคนที่ต้องทำนาคงไม่ได้ ตอนแรกข้าคำนึงถึงจุดนี้จึงไม่หวังจะจ้างคนในหมู่บ้าน แต่ปีนี้ในหมู่บ้านมีเรื่องเช่นนี้ ท่านลองถามทุกคนดูหน่อย มีคนต้องการขึ้นเขาไปทำงานกับข้าหรือไม่ แน่นอนว่าข้าไม่ได้จะรับหมดทุกคน ข้าต้องเลือก คนที่เหมาะสมข้าถึงจะรับไว้ คนที่ถูกเลือก ข้าจ่ายเงินล่วงหน้าให้ได้เล็กน้อย ต้องบอกไว้ก่อน ว่ากิจการช่วงแรกของข้ายังมีรายได้ไม่มาก เงินที่พวกเขาจะได้ก็ไม่มากเช่นกัน”

เวลานี้แล้วผู้ใดยังจะจู้จี้เรื่องนี้อีก จ่ายภาษีให้ครบได้ก็อมิตาพุทธแล้ว!

หัวหน้าหมู่บ้านดีใจจนไม่รู้ว่าสมควรพูดอะไรดี “เสี่ยวเฉียว เจ้าเป็นพระโพธิสัตว์ลงมาโปรดสัตว์โดยแท้! ข้าจะไปแจ้งกับทุกคนเดี๋ยวนี้!”

เฉียวเวยยิ้มละไม นางมิใช่พระโพธิสัตว์หรอก เรื่องราวบังเอิญตรงกับแผนการของนางพอดีก็เท่านั้น ต่อให้ไม่มีเรื่องเก็บภาษี นางก็คงจะรับสมัครคนในหมู่บ้านเช่นเดียวกัน เพียงแต่ลงมือไม่รวดเร็วเช่นนี้ก็เท่านั้น

ตอนเช้า หัวหน้าหมู่บ้านประกาศเรื่องที่เฉียวเวยจะรับสมัครคนไปจนทั่ว พอถึงเที่ยงวัน คนแทบทั้งหมู่บ้านก็ล้วนขึ้นไปบนเขา

เทียบกับการถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน เห็นชัดว่าทุกคนยินดีมา ‘ใช้แรงงานหนัก’ ในโรงงานของเฉียวเวยมากกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องจากบ้านเกิด

ชาวหมู่บ้านออกันเต็มแน่นลานบ้านของเฉียวเวย นอกจากหมู่บ้านของพวกเขาแล้ว ก็ยังมีคนจากต่างหมู่บ้านมาไม่น้อย

การรับคนงานครั้งนี้ เฉียวเวยคิดจะรับเฉพาะคนในหมู่บ้านตนเอง จึงปฏิเสธคนต่างหมู่บ้านอย่างอ้อมๆ แล้วเชิญคนจากไป

ทุกคนมองแม่ม่ายน้อยที่เคยถูกพวกเขาดูแคลนด้วยอารมณ์อันซับซ้อน ยามนี้พวกเขาล้วนแต่หวังพึ่งนางเพื่อเอาชีวิตรอด

ทุกคนล้วนหวังว่าตนเองจะถูกเลือก หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็จะได้เงินล่วงหน้ามาจ่ายภาษีก่อน

เฉียวเวยเลือกคนไว้ทั้งหมดสามสิบคน จากสามสิบครอบครัวไม่ซ้ำกัน แล้วให้หัวหน้าหมู่บ้านเป็นพยาน ลงลายมือชื่อประทับลายนิ้วมือ แจกค่าจ้างล่วงหน้า คนที่ไม่ถูกรับเลือก เฉียวเวยก็ปล่อยกู้ แต่ไม่ใช่ในนามของตนเอง แต่ในนามของหัวหน้าหมู่บ้าน

หัวหน้าหมู่บ้านเข้าใจเจตนาของเฉียวเวย การทำเรื่องดีก็อาจกลายเป็นเรื่องเลวร้ายได้ หากเฉียวเวยดีกับทุกคนมากกินไป นานวันเข้าทุกคนก็จะคิดว่าเฉียวเวยสมควรแล้วที่ต้องทำดีกับพวกเขาเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วเฉียวเวยไม่ได้ติดค้างผู้ใด

“คนมากมายเช่นนี้ เจ้าคิดหรือยังว่าจะเลี้ยงพวกเขาอย่างไร” ป้าหลัวกระซิบถาม นางคิดว่าเฉียวเวยใจอ่อนจึงจงใจเรียกคนโขยงหนึ่งขึ้นภูเขามา

เฉียวเวยยิ้มน้อยๆ “วางใจเถิด แม่บุญธรรม ข้าต้องการขยายกิจการจริงๆ”

ป้าหลัวยังกังวลใจอยู่เล็กน้อย “คนตั้งหลายสิบคนทำไข่เยี่ยมม้าได้ตั้งเท่าใด เจ้าจะขายหมดหรือ”

เรื่องนี้ก็ต้องดูว่านางจะขายอย่างไร

พลบค่ำ หลัวหย่งจื้อไปส่งกุ้งที่หรงจี้ เฉียวเวยนั่งรถลากของเขาไปหรงจี้พร้อมกัน เด็กทั้งสองคนไม่ได้เข้าตัวเมืองมานานแล้วจึงตามมาด้วย

เฉียวเวยบอกความคิดของตนเองให้เถ้าแก่หรงฟัง

เถ้าแก่หรงตบโต๊ะหัวเราะ “ในที่สุดเจ้าก็ตัดใจจ้างคนได้เสียที! บอกให้เจ้าทำไข่เพิ่มมาตั้งนานแล้ว ข้าเป็นคนขายยังขายไม่พออยู่นี่!”

เฉียวเวยยิ้มบอกว่า “ข้าผลิตได้วันละหนึ่งหมื่น ท่านขายไหวหรือไม่”

“วัน วันละหนึ่งหมื่นหรือ” เถ้าแก่หรงตกตะลึง วันละพันยังไหว วันละหมื่น นั่นมันออกจะ…ออกจะเกินไปกระมัง เขาเป็นเพียงเหลาสุราแห่งหนึ่งเองนะ

เฉียวเวยบอกอย่างมั่นใจในตนเอง “ท่านขายไม่ไหว แต่ข้าขายไหว”

“อะไรนะ” เถ้าแก่หรงเบิกตาโต

เฉียวเวยเล่าอย่างไม่รีบร้อน “ท่านขายปลีกย่อมขายไม่ไหว แต่หากขายส่งไปทั่วแคว้น จำนวนสินค้าเท่านี้ความจริงแล้วไม่พอให้มองด้วยซ้ำ”

“ขายไปทั่วแคว้น เจ้าคิดการใหญ่จริงนะ” ดวงตาเล็กหยีของเถ้าแก่หรงเริ่มมีแววตาลุ่มลึก “เจ้าหมายความว่าอย่างไร คิดจะเตะข้าทิ้งอีกแล้วใช่หรือไม่”

เฉียวเวยถูกเขาหยอกจนขบขัน “อย่าพูดเสียไม่น่าฟังเช่นนั้นสิ ข้าบอกตั้งแต่เมื่อใดว่าจะเตะท่านทิ้ง ควาหมายของข้าก็คือข้าต้องการจะเปิดโรงงานไข่ที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์ต้าเหลียง ไม่เพียงทำไข่เยี่ยวม้า แต่ยังทำไข่เค็มด้วย แล้วไม่เพียงทำไข่เยี่ยวม้ากับไข่เค็มจากไข่เป็ด แต่ยังจะทำไข่เยี่ยวม้ากับไข่เค็มจากไข่นกกระทาด้วย”

ปากของเถ้าแก่หรงอ้ากว้างจนแทบจะยัดไข่เป็ดได้ฟองหนึ่ง “นกกระทา? นก? เจ้าจะขายไข่นกหรือ”

เฉียวเวยตอบ “รสชาติของไข่นกดีกว่าไข่เป็ดอยู่เล็กน้อย เป็นเช่นไรเถ้าแก่หรง สนใจร่วมมือกับข้าหรือไม่”

“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าต้องให้ข้าคิดดูก่อน” เถ้าแก่หรงจิบชาคำหนึ่ง

เฉียวเวยพูดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนสักนิด “หากท่านสนใจ ข้าจะลองพิจารณาให้ส่วนแบ่งกับท่านสองส่วน แต่เงื่อนไขคือท่านต้องออกเงินลงทุนครึ่งหนึ่ง”

เถ้าแก่หรงขมวดคิ้ว “เดี๋ยวก่อน! ข้าลงทุนครึ่งหนึ่ง แล้วเหตุใดข้าได้ส่วนแบ่งเพียงสองส่วนเล่า เจ้าไม่เคยลงทุนกับหรงจี้สักอีแปะ ข้ายังให้เจ้าตั้งสามส่วนเลยนะ!”

เฉียวเวยแย้งว่า “นั่นจะเหมือนกันได้อย่างไร หรงจี้ของท่านเปิดในเมืองเล็กๆ แต่โรงงานไข่ของข้ากระจายของไปทั่วแคว้น ให้ท่านสองส่วนก็เห็นแก่มิตรภาพของพวกเราแล้ว มิเช่นนั้นสักส่วนข้าก็ไม่ให้ท่าน ท่านจะพูดอะไรได้ ท่านคิดว่าข้าไม่มีเงินลงทุนจริงหรือ ของพระราชทานของฝ่าบาท ข้ายังไม่ได้ขายสักชิ้นเลย!”

เถ้าแก่หรงแค่นเสียงดังเหอะ รังแกเขาเก่งนักล่ะ! น่าชังนัก!

“ข้าต้องได้ลองกินไข่นกอะไรนั่นก่อน หากข้ารู้สึกว่าอร่อยจึงจะลงทุน!”

เฉียวเวยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”

นี่เป็นเพียงแนวคิดขั้นแรกเท่านั้น การจะสร้างกิจการทั้งหมดขึ้นมาจริงๆ มิใช่เรื่องที่จะทำสำเร็จได้ในหนึ่งวันหรือหนึ่งคืน ค่อยๆ ก้าวเดินจึงจะก้าวได้อย่างมั่นคง ดังนั้นนางจึงไม่รีบร้อนเอาเงินลงทุนจากเถ้าแก่หรง แน่นอนว่าสาเหตุสำคัญก็คือนางไม่กลัวว่าเถ้าแก่หรงจะไม่ลงทุน

ต่อให้คาดการณ์ไปในทางร้ายที่สุด นางก็เพียงต้องขายสมบัติแสนรักของตนเองให้หมดเท่านั้น

นางรู้สึกว่าตนเองเหมือนจะเข้าใกล้ความสำเร็จไปอีกก้าวหนึ่ง แม้แต่ในลมหายใจของเฉียวเวยก็มีรสชาติของความตื่นเต้นปนอยู่

ทันใดนั้น ชั้นล่างก็มีเสียงเอะอะวุ่นวายดังขึ้น

เฉียวเวยวิ่งลงมาดูที่ชั้นล่าง เจ้าลิงน้อยอัปลักษ์จอมซนตัวนั้นมาอีกแล้ว

ครั้งนี้มันไม่หลบๆ ซ่อนๆ แต่เดินอาดๆ เข้ามา ท่าทางองอาจและฮึกเฮิมนั่น อย่าให้พูดเลยว่ามีสง่าราศีมากเท่าใด

แขกทั้งหลายมองมันอย่างประหลาดใจ อาหารที่กินอยู่ในปากร่วงลงมา

‘มือขาวผ่องเรียวงาม’ ของจูเอ๋อร์ข้างหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้า อีกข้างหนึ่งกางร่มของเล่นวาดลายคันน้อยเหมือนคุณหนูสูงศักดิ์สักคน เดินเข้ามาในห้องอย่างเชิดหยิ่ง

จากนั้นมันก็มองชาวบ้านสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายที่กำลังตาโต้อ้าปากค้างอยู่ในห้อง ใบหน้าฉับพลันเผยสีหน้าหยิ่งยโส ดูแคลน แล้วก็ขุ่นเคืองออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่าเจ้าลิงน้อยตัวนี้เหตุใดจึงแสดงสีหน้าได้หลากหลายเช่นนี้ แต่เมื่อประกอบกับท่วงท่าของร่างกาย ทุกคนก็ล้วนมองเข้าใจกันหมด

จูเอ๋อร์สะบัดชายกระโปรงที่ไม่มีอยู่จริง แล้วก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่อย่างหยิ่งยโส จากนั้นเดินไปยังห้องครัวด้านหลังของเหลาสุรา

เสี่ยวลิ่วกำลังยกปลาน้ำแดงจานหนึ่งออกมา เขาเห็นลิงที่อยู่ตรงเท้าก็ตกใจสะดุ้งโหยง เกือบขว้างจานอาหารใส่!

จูเอ๋อร์กุมมือ สีหน้าเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจากหวาดผวา เจ็บปวด เป็นโกรธเกรี้ยว จากนั้นก็เป็นสีหน้าไม่ได้รับความเป็นธรรม

เสี่ยวลิ่วตกใจ “เจ้า เจ้าถูกลวกหรือเปล่า ข้า ข้าไปเอายาให้เจ้า!”

เสี่ยวลิ่ววิ่งฉิวไปแล้ว

สีหน้าหวาดผวา เจ็บปวด โกรธเกรี้ยวและไม่ได้รับความเป็นธรรมของจูเอ๋อร์หายไปสิ้นในพริบตา เปลี่ยนมาเป็นท่าทางสง่างามปนดูแคลนของหญิงสูงศักดิ์อีกหน

พ่อครัวเหอเพิ่งทำลูกชิ้นกุ้งแก้วจานหนึ่งเสร็จ จูเอ๋อร์ก็เขย่งปลายเท้า เอื้อมมือสีดำน้อยๆ ออกมาคว้าลูกหนึ่งยัดใส่ปาก แล้วส่ายหน้า

ราวกับกำลังจะบอกว่า เจ้าทำไม่ได้เรื่อง

พ่อครัวเหอ “…”

จูเอ๋อร์ยกจานมาไว้ในอ้อมแขนแล้วถอนหายใจ ทำท่าเสมือนว่ากล้ำกลืนฝืนทนกินลงท้องเพื่อเจ้า

พ่อครัวเหอ นี่มันลิงบ้านใครกัน!

จูเอ๋อร์กินลูกชิ้นกุ้งของพ่อครัวเหอเสร็จก็ส่ายหน้า เดินไปหาลูกชิ้นกุ้งหมาล่าของพ่อครัวไห่ ชิมไปคำหนึ่งก็ชูนิ้วโป้งให้เขา

พ่อครัวไห่วางก้อนอิฐในมือ

จูเอ๋อร์กินลูกชิ้นกุ้งกระเทียมของพ่อครัวหยางต่อ แล้วชูนิ้วโป้งให้อีก

พ่อครัวหยางวางมีดที่ซ่อนอยู่ด้านหลัง

เฉียวเวยหน้าดำทะมึนเดินเข้ามาในห้องครัว “เจ้าลิงอัปลักษณ์ เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ”

มือที่คว้าลูกชิ้นกุ้งของจูเอ๋อร์ชะงัก ลูกตากลอกกลิ้ง หมุนตัวหันมาฉีกยิ้มกว้างให้เฉียวเวย

เฉียวเวยจับตัวมันขึ้นมา “เจ้ากินจนติดใจแล้วใช่หรือไม่ เมื่อวานมาขโมย วันนี้กล้ามาอย่างโจ่งแจ้ง ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าใจกล้ามาหลอกกินหลอกดื่มในห้องครัวของข้า!”

“ว้าว! ลิงๆ!” วั่งซูมาอยู่ตรงหน้าประตู “ท่านแม่ มันคือลิงหรือเจ้าคะ มาจากที่ใดเจ้าคะ”

จูเอ๋อร์ยื่นมือน้อยออกไปหาวั่งซู

วั่งซูอยากลองอุ้มมัน

เฉียวเวยไม่ยอม “มันเป็นลิงนิสัยเสีย”

จูเอ๋อร์มองวั่งซูด้วยท่าทางไร้เดียงสา ดวงตาฉายแววโศกสลด น่าสงสาร เศร้าสร้อย อยากตายแต่ตายไม่ได้…

วั่งซูเห็นแล้วปวดใจนัก นางกอดแขนของมารดา “ท่านแม่ๆ ท่านอย่ารังแกมันดีหรือไม่เจ้าคะ”

นางรังแกมันหรือ เห็นชัดๆ ว่าเจ้าลิงน้อยน่าเกลียดตัวนี้มาหลอกกินหลอกดื่ม

วั่งซูเอ่ยอย่างสงสาร “ท่านแม่ ข้าอยากเล่นกับเจ้าลิง ได้หรือไม่เจ้าคะ ท่านแม่”

“ไม่ได้!” เฉียวเวยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

วั่งซูยู่ปากน้อยแล้วร้องไห้โฮ!

“เอาน่าๆ ไม่ใช่แค่ลิงตัวหนึ่งหรือ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย” พ่อครัวเหอเอ็นดูวั่งซูมาก วั่งซูร้องไห้ เขาก็อยากร้องไห้ตาม เขารีบคว้าเจ้าลิงมาจากมือของเฉียวเวยแล้วส่งให้วั่งซู “เอาไปเล่นนะ อย่าร้องไห้เลย ดีหรือไม่”

วั่งซูได้ลิงมาก็เลิกร้องไห้ทันควัน

ลิงน่ารักนักเชียว ถือผ้าเช็ดหน้าแล้วยังกางร่มได้ด้วย

จูเอ๋อร์กางร่ม จับชายกระโปรงที่ไม่มีอยู่จริงแล้วหมุนตัวอย่างสง่างาม หัวใจดวงน้อยๆ ของวั่งซูถูกความน่ารักเล่นงานจนหลอมละลาย “ท่านแม่ ข้าเล่นกับมันได้หรือไม่เจ้าคะ แค่นิดเดียว นิดเดียวจริงๆ ข้ารับประกัน”

เฉียวเวยไม่มีความต้านทานต่อการออดอ้อนของบุตรสาวแม้แต่น้อย ลูบศีษะน้อยของนางอย่างอ่อนโยน “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องรับปากว่าจะเล่นประเดี๋ยวเดียว พอถึงตอนกลับบ้าน ห้ามเอามันกลับไปด้วย”

“…ก็ได้เจ้าค่ะ” วั่งซูอยากพาลิงน้อยกลับไปบ้านยิ่งนัก แต่ แต่ในเมื่อท่านแม่ไม่อนุญาต นางก็จะปล่อยลิงน้อยจากไปอย่างเชื่อฟังก็แล้วกัน

เฉียวเวยให้วั่งซูอุ้มลิงกลับไปที่ห้อง “รออยู่ข้างบน ห้ามไปที่อื่น เข้าใจหรือไม่”

“เข้าใจเจ้าค่ะ!” วั่งซูรับปากอย่างว่าง่าย

เมื่อเห็นวั่งซูตัวน้อยอุ้มลิงสีดำตัวจิ๋วตัวหนึ่งกลับมา สัญชาตญาณระวังภัยของเสี่ยวไป๋ก็ทำงานทันที กลิ่นบนตัวมันบอกเสี่ยวไป๋ว่านี่คือเจ้าของขนสีดำเส้นน้อยเส้นนั้น!

ล่อลวงจิ่งอวิ๋นยังไม่พอ ตอนนี้ยังจะล่อลวงวั่งซูอีก!

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ มันหน้าตาอัปลักษณ์ปานนี้!

เสี่ยวไป๋กางกรงเล็บแหลมคมอย่างดุร้ายแล้วตวัดเล็บใส่จูเอ๋อร์!

จูเอ๋อร์ร้องเสียงแหลม กระโดดออกจากอ้อมแขนของวั่งซู

เสี่ยวไป๋วิ่งไล่จูเอ๋อร์มุดไปทั่วห้อง จูเอ๋อร์เผ่นแผล็วลงจากอาคาร เสี่ยวไป๋ก็วิ่งไล่ตามออกไปด้วย

วั่งซูก็ไล่ตามออกไปด้วยเช่นกัน “เสี่ยวไป๋! เจ้าลิง!”

จิ่งอวิ๋นตะโกนเสียงดัง “น้องสาว! กลับมา!”

วั่งซูวิ่งตามเจ้าตัวน้อยสองตัวจนหายไปเสียแล้ว