บทที่ 307 ความจริงปรากฏ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 307 ความจริงปรากฏ (1)

ฮ่องเต้พอเห็นกู้เจียวกำลังถือกรรไกรพลางทำท่าลับคมมาทางเขาสีหน้าก็พลันเปลี่ยน “ข้าไม่เอา!”

ไม่เอาก็ต้องเอาอยู่ดี

สิ้นเสียงฉับของกรรไกร กางเกงของฮ่องเต้ก็ถูกตัดขาดออกจากกัน กู้เจียวค่อยๆ ฉีกผ้าที่ชุ่มไปด้วยพระโลหิตออก

ฮ่องเต้สัมผัสได้ถึงความเย็นวาบทั่วพระเพลา และเริ่มทำตัวไม่ถูก

ความรู้สึกอึดอัดนี้แทบจะกลบความรู้สึกเจ็บไปทั้งหมด แทนที่ด้วยความรู้สึกอับอาย

ฮ่องเต้เสียพระโลหิตจำนวนมาก ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อต้าน พระองค์ได้แต่กัดฟันทนทั้งๆ ที่รู้สึกต่อต้านเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่เส้นผมทุกเส้นบนร่างกายของเขาแสดงออกถึงการปฏิเสธอย่างเงียบๆ !

กู้เจียว ‘จะทำเป็นไม่เห็นแล้วกันนะ!’

“เจ้า…” ฮ่องเต้เอ่ยปาก

กู้เจียววางกรรไกรลง แล้วเปลี่ยนถุงมือ ก่อนจะหยิบขวดและเข็มเจาะเลือดออกจากกล่องยา

ทันทีที่ฮ่องเต้ทรงเห็นปลายเข็มที่เล่นกับแสง ความกลัวที่จะถูกฉีดยาก็พลุ่งพล่านในหัวใจของเขาและลามไปถึงแขนขาทั้งหมดของเขา เขาตื่นตระหนก: “ข้าไม่ต้องการฉีดยา!”

นิ่งๆ น่า

ต้องฉีดยาสิถึงจะดีขึ้น

กู้เจียวบีบมือของเขาและสอดเข็มเข้าไปที่หลังมือของเขาโดยไม่มีท่อแรงดัน

ของแบบนี้ยิ่งทำยิ่งชำนาญ

ฮ่องเต้เห็นอะไรบางอย่างที่ดูเย็นๆ ติดอยู่บนหลังมือและรู้สึกหวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

เขาพยายามดิ้น

กู้เจียวพูดด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม “อย่าขยับ ถ้าพลาดเดี๋ยวข้าจะฉีดยาครั้งที่สองให้ท่านเสียหรอก!”

ข้าเอาจริงนะ ไม่ได้มาเล่นๆ !

ฮ่องเต้ “…”

ฮ่องเต้แทบจะระงับความอยากต่อสู้ไม่ได้ จึงหันหน้าหนีด้วยท่าทางเศร้าโศก โดยไม่มองเข็มในมือ

ที่ผ่านมากู้เจียวใช้วิธีฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อตลอด นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวต้องฉีดยาเข้าเส้นพระโลหิตให้พระองค์ และเพื่อไม่ให้เขาขยับมั่วซั่ว กู้เจียวเลยต้องเอาแผ่นไม้มามัดกับแขนของพระองค์เหมือนที่ใช้กับจิ้งคง

กู้เจียวนำแผ่นไม้มัดเข้าที่ฝ่ามือของพระองค์แล้วใช้ผ้าพันแผลมัดไว้

หลังจากนั้น กู้เจียวหยิบมีดโกนขึ้นมา

ฮ่องเต้สีหน้าเริ่มไม่สู้ดี “จะโกนขนข้าเรอะ!”

“แค่นิดเดียวเท่านั้น” กู้เจียวเอ่ย

ฮ่องเต้หน้าแดง “ริอาจแตะต้องขนนกกระเรียนแดงของข้าเรอะ!”

กู้เจียวทำหน้าเคร่งขรึม “จะโกนขนขาให้ต่างหากล่ะ!”

นอกจากนี้ยังมีบาดแผลที่ผิวหนังด้านนอกของกระดูกแข้ง ซึ่งแผลลึกมากและต้องเย็บแผล

แน่นอนแผลใหญ่อยู่ที่บริเวณโคนขา แต่ไม่จำเป็นต้องโกน

แม้จะโกนขนขาก็ช่วยไม่ได้มากเขาได้รับบาดเจ็บจากอาวุธที่ซ่อนอยู่ที่ขามีบาดแผลขนาดใหญ่และขนาดเล็กมากกว่าหนึ่งโหลซึ่งส่วนใหญ่ไม่ลึกและส่วนใหญ่ไม่ต้องเย็บแผลด้วยซ้ำ แต่ต้องฆ่าเชื้อและทายา

ฮ่องเต้ถูกจัดให้อยู่ในอิริยาบถที่น่าอายต่างๆ เพื่อให้กู้เจียวทำความสะอาดบาดแผล ฆ่าเชื้อ วางยาชาเฉพาะที่ เย็บแผลและทายา

ด้วยความที่แสงในห้องไม่ค่อยพอ ทำให้กู้เจียวมองเห็นไม่ชัด นางจึงขอให้ฮ่องเต้ “ทรงกางขาออกหน่อย”

ฮ่องเต้ “…”

เขาไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว!

นี่มันช่างน่าอายยิ่งนัก!

หลังจากกู้เจียวทำการผ่าตัดให้ฮ่องเต้เสร็จ ก็ทรงหมดสติไป ไม่มีใครรู้ว่าพระองค์เป็นลมเพราะเสียเลือดมากเกินไปหรือเป็นลมจากความอับอายและความโกรธ

กู้เจียวจัดการเก็บกวาดก่อนจะออกไปพร้อมกับกล่องยา

พอเห็นกู้เจียวเดินออกมา เซียวลิ่วหลังก็เดินเข้าไปหา ก่อนจะรับกล่องยามาจากมือของกู้เจียว “ท่านแม่บอกว่ามีคนไข้มาหาที่เรือน”

เซียวลิ่วหลังยืนรออยู่ที่เรือนพักใหญ่แล้ว เขาเพิ่งกลับจากเรือนของหลินเฉิงเย่ พอกลับมาก็เห็นรอยเลือดบนพื้นเต็มไปหมด ก่อนจะเห็นแม่นางเหยารีบวิ่งออกมาจากเรือนด้วยสีหน้าลนลาน

พอถามไปเรื่อยๆ ก็พบว่ากู้เจียวเป็นคนพาคนไข้มาที่เรือนเอง และดูเหมือนจะเจ็บสาหัสเสียด้วย เพราะกู้เจียวเข้าไปตั้งครึ่งชั่วยามกว่าจะออกมา

เซียวลิ่วหลังให้แม่นางเหยาไปพักก่อน ส่วนตัวเองยืนรอกู้เจียวอยู่ด้านนอก

เซียวลิ่วหลังเรียกแม่นางเหยาว่าท่านแม่ เพราะเขาเป็นลูกเขยของแม่นางเหยา หากเขาไม่เรียกเช่นนี้ เกรงว่าแม่นางเหยาจะคิดว่าเขาเป็นคนนอก

กู้เจียวเองก็ยอมรับในตัวแม่นางเหยาตั้งนานแล้ว ดังนั้นนางจึงไม่ติดอะไรถ้าเซียวลิ่วหลังจะเรียกเช่นนี้ เพียงแต่ตัวเองเท่านั้นที่ยังไม่กล้าเรียกแม่นางเหยาว่าแม่อย่างเต็มปากเต็มคำ

ราวกับว่า หากเรียกแล้ว ความผูกพันระหว่างกันจะไม่มีวันตัดขาดอีกต่อไป

นางยังต้องการเวลาอีกมาก

สำหรับการพาตัวเองให้หลุดพ้นออกจากเงาได้อดีตได้

กู้เจียวรู้ว่าเซียวลิ่วหลังจะต้องงงแน่ๆ ว่าเหตุใดถึงไม่พาคนเจ็บไปโรงหมอ แต่ดันพามาที่บ้านแทน ซ้ำยังให้พักในห้องหญิงชราอีก

นั่นมันห้องของไทเฮาเชียวนะ ใช่ว่าใครหน้าไหนจะเข้าไปได้

กู้เจียวหันไปเปิดประตู ก่อนจะส่งสายตาปริบๆ ให้เซียวลิ่วหลังราวกับต้องการจะสื่ออะไรบางอย่าง

เซียวลิ่วหลังเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับตะเกียงไฟที่มีแสงอันน้อยนิดส่องดูร่างที่กำลังนอนอยู่

“ฝ่าบาทงั้นรึ” เขาผงะ “พระองค์ถูกลอบทำร้ายรึ”

ว่าแล้วเชียวเหตุใดนางถึงไม่ยอมส่งไปโรงหมอ เหตุการณ์เช่นนี้หากนำส่งโรงหมอมีหวังได้เป็นอันตรายแน่ๆ

ฮ่องเต้กำลังบรรทม รอยแผลตามตัวก็ถูกจัดการหมดแล้ว แต่ใบหน้าอันซีดเผือดของพระองค์มิอาจปกปิดได้ว่าเหตุการณ์ที่พระองค์ทรงพบเจอนั้นรุนแรงและน่ากลัวมากแค่ไหน

เซียวลิ่วหลังปิดบานประตูลง ก่อนหันไปถามกู้เจียว “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม”

ในเมื่อฝ่าบาททรงได้รับบาดเจ็บ เขาเองก็อดกังวลคนที่เก็บร่างฮ่องเต้มาที่นี่อย่างนางมิได้ว่าจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วยหรือไม่

ที่เขาใช้คำว่าเก็บ ก็เพราะที่ผ่านมา กู้เจียวชอบเก็บคนแปลกหน้าเข้าเรือนมาโดยตลอดเลยนี่นา…

ทั้งหญิงชราเอย ทั้งเณรน้อยจิ้งคงเอย ไหนจะจี้จิ่วอาวุโสอีก…

เอาละ อย่างน้อยจี้จิ่วอาวุโสก็ไม่ใช่นางที่เป็นคนพามา แต่เป็นหญิงชราต่างหาก

เดิมกู้เจียวว่าจะบอกออกไปว่าไม่มีอะไร แต่พอจะพูดออกไป จู่ๆ น้ำตาก็รินไหลลงมาเอง ก่อนจะยื่นมือให้คนตรงหน้า “ข้าเจ็บมือนิดหน่อย”

“มือเจ้าเป็นอะไรรึ” เซียวลิ่วหลังพอได้สติก็รีบคว้ามือของกู้เจียวมาดู

พอเห็นว่าไม่มีร่องรอยอะไร ก็ทำหน้าฉงน

“เมื่อยมือมากเลย” กู้เจียวเอ่ย

เซียวลิ่วหลัง “…”

ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังจะชักมือกลับ จู่ๆ กู้เจียวก็ร้องโอ๊ยขึ้น

มือข้างหนึ่งของกู้เจียวถูกเซียวลิ่วหลังคว้าไว้ ส่วนมืออีกข้างก็เอามาบังที่ตาข้างซ้าย พลางทำหน้าเจ็บปวด

เซียวลิ่วหลังเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “เป็นอะไร ปวดตาด้วยรึ”

“ทรายเข้าตา” กู้เจียวเอ่ยพลางเอามือขยี้ตา

เซียวลิ่วหลังไม่รู้ว่าคราวนี้คนตรงหน้าจะแกล้งหลอกเขาอีกไหม แต่เขาสังเกตเห็นว่าดวงตาของนางถูกขยี้เสียจนแดงช้ำ เซียวลิ่วหลังเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้จึงรีบคว้ามือของนางออก “ไหนข้าดูซิ”

ปลายนิ้วที่เรียวยาวราวกับแท่งหยกของเขาแตะลงบนหนังตาของกู้เจียวเบาๆ และนิ้วหัวแม่มือของเขาแตะลงบนรอยปานแดงของนาง จู่ๆ ปลายนิ้วของเขาเริ่มอุ่นขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ

บางทีอาจเป็นทรายเข้าตาจริงๆ จึงทำให้ดวงตาของกู้เจียวเป็นสีแดงและมีน้ำตารื้นๆ ที่คอยเพิ่มความชุ่มชื้นให้รอบดวงตา เผยให้เห็นความอ่อนแอเล็กน้อยราวกับต้องการคนช่วยปลอบประโลม

ช่างยากที่จะละสายตา

เซียวลิ่วหลังเริ่มกลืนน้ำลาย

เขาก้มศีรษะลงช้าๆ และค่อยๆ เป่าลมเบาๆ

“ยังมีทรายอยู่ไหม” เขาเอ่ยถาม

กู้เจียวกระพริบตาเพื่อดูว่ายังมีทรายหลงเหลืออยู่ไหม “ยังมี”

เขาก้มหน้าลงมาอีกครั้งราวกับจะจุมพิตเข้าไปที่ลูกตาของกู้เจียว

“ไอ้หยา ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น! พวกท่านตามสบายเลย!”

อวี้หยาร์ที่เพิ่งเก็บครัวเสร็จพอเดินออกมาก็เจอเข้าให้กับคุณหนูและคุณชายกำลังเล่นจูจุ๊บกันอยู่ อวี้หยาร์ตกใจจนรีบเอามือปิดตาตัวเอง ก่อนจะรีบเดินเข้าไปในครัว แล้วปิดประตูลง!

เซียวลิ่วหลังรู้สึกเขินอายอย่างมาก

พวกเขาไม่ได้จูบกันเสียหน่อย แต่ดันถูกเข้าใจผิดเสียอย่างนั้น

ตอนนี้ตาของกู้เจียวดีขึ้นแล้ว

เซียวลิ่วหลังว่าจะส่งกู้เจียวกลับห้อง แต่ทันใดนั้น เขากลับสังเกตเห็นว่ากระดุมเสื้อของนางบริเวณหน้าอกนั้นหลุดออกจากกัน เผยให้เห็นชุดชั้นในสีขาวขนาดเล็กที่ปักด้วยดอกบัวสีชมพู

เซียวลิ่วหลังเผลอชำเลืองมองโดยไม่รู้ตัว เขารีบเบือนหน้าไปทางอื่น แต่ปลายดอกบัวสีชมพูอ่อนหวานนั้นมันช่างตราตรึงใจเหลือเกิน และเขาไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้!

ดูเหมือนกู้เจียวจะไม่รู้ตัวเลยสักนิด

“เจ้า…” ขณะที่เซียวลิ่วหลังกำลังจะเอ่ยเตือน จู่ๆ กู้เสี่ยวซุ่นและกู้เหยี่ยนก็กลับมาที่เรือนพอดี

ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนได้องครักษ์มาคอยเฝ้า ก็ไม่ต้องมาคอยกลัวว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรระหว่างทางอีก

“เอ๋ พี่เขย” กู้เสี่ยวซุ่นเห็นเซียวลิ่วหลังและ…

ขณะที่กู้เสี่ยวซุ่นยังไม่ทันได้เห็นว่ากู้เจียวอยู่ตรงนั้นด้วย เซียวลิ่วหลังก็รีบเอาตัวมาบังร่างของกู้เจียว

ท่าทางของเขาราวกับหมาหวงก้าง

เซียวลิ่วหลังหันไปทางเด็กทั้งสอง “พวกเจ้า รีบเข้าห้องไป!”

เด็กทั้งสองที่กำลังยืนงงว่าเหตุใดวันนี้พี่เขยถึงดุเป็นพิเศษ “…”

ขนาดตอนพวกเขาสอบตก พี่เขยยังไม่เห็นดุขนาดนี้เลย!

ทั้งสองจึงยอมเดินเข้าไปในห้องแต่โดยดี

กู้เจียวมองสามีพลางส่งสายตาปริบๆ

เซียวลิ่วหลังกระแอมในลำคอ ถอนมือออก ก่อนจะถอดเสื้อคลุมตัวนอกของเขาออกแล้วพันรอบตัวกู้เจียว: “กลับไปที่ห้องเถอะ ตอนกลางคืนมันหนาว”