ตอนที่ 249 ในอดีต มีอารมณ์และความเกลียดชังมากมาย ความเกลียดชังนี้...(1)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 249 ในอดีต มีอารมณ์และความเกลียดชังมากมาย ความเกลียดชังนี้…(1)

เมื่อจิ่วจิ่วจากไป นางก็วิ่งหนีราวกับบิน…

ที่ด้านหน้ากระท่อมมุงจากของหลิงเอ๋อร์ ที่มีชั้นค่ายกลเวทหลายชั้นซึ่งเปิดใช้งานอย่างเต็มที่ สงหลิงลี่นั่งอยู่หน้าประตูจนดูราวกับเทพพิทักษ์ประตู นางถือสัตว์วิญญาณย่างที่เป็นกระต่ายภูเขาเอาไว้ในมือและลิ้มรสมันอย่างเอร็ดอร่อย

มีศิษย์ทั้งหมดสี่คนจากยอดเขาหยกน้อย ในขณะนั้นพวกเขากำลังนั่งอยู่รอบโต๊ะเตี้ยที่เลอะเทอะ บัดนี้ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยเมามายแล้วนอนลงบนโต๊ะพลางถอนหายใจ

พ่อเฒ่า ‘ตัวปลอม’ ซึ่งคล้ายกับนักพรตเต๋าชราฉีหยวนยังคงรักษาหน้าแก่ๆ เอาไว้ เขากำลังตะลึงงันและทำอะไรไม่ถูก แต่ก็แย้มยิ้มให้ท่านอาจารย์ของเขาและสนับสนุนทุกการตัดสินใจของท่านอาจารย์อย่างไร้เงื่อนไข

ในขณะเดียวกันนั้น พ่อเฒ่าตัวจริงก็ได้เตรียมแผนติดตามยามเกิดเหตุคับขันสำหรับปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยผู้ดุดันและชั่วร้ายแล้ว อีกทั้งเขายังเริ่มพยายามกล่าวย้ำซ้ำๆ เพื่อให้ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของเขาคายความลับออกมาเพื่อค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างเจียงหลินเอ๋อร์ และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งให้ชัดเจนก่อน …

เพื่อความปลอดภัย หลี่ฉางโซ่วต้องหาเหตุผลเบื้องหลังในอดีตก่อนจะยอมปล่อยให้หลิงเอ๋อร์นำน้ำตาแห่งชีวิตในชาติก่อนออกมา

หากเกิดปล่อยไก่ขึ้นมา และกลายเป็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงความเข้าใจผิดที่ท่านปรมาจารย์ใหญ่และปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งเป็นเพียงพี่น้องกันจริงๆ… แค่กๆ พี่น้องที่พลัดพรากจากกันมานานหลายปี!

นั่นย่อมจะเป็นการสร้างปัญหาจากความผิดพลาดจริงๆ

เขาจึงต้องใส่ใจในการปฏิบัติตามขั้นตอน

มีกลอุบายมากมายในโลกบรรพกาลขณะที่มีน้อยนักในยอดเขาหยกน้อย

หลี่ฉางโซ่วและหลิงเอ๋อร์ร่วมรับลมล้างฝุ่น[1]โดยลงมือทำอาหารร่วมกันเต็มโต๊ะเพื่อเลี้ยงต้อนรับนาง

ในระหว่างมื้ออาหาร หลี่ฉางโซ่วก็ส่งคำชี้แนะเล็กน้อยไปให้ท่านอาจารย์ของเขาขณะที่ฉีหยวนเริ่มรินสุราให้กับเจียงหลินเอ๋อร์…

หากเขาต้องการปลุกเร้าอารมณ์ของนาง จะมีสุราแล้วไร้ดนตรีไปได้อย่างไรกัน?

ในขณะนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ หัวหน้าผู้ควบคุมวงดนตรีของกลุ่มตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์แห่งยอดเขาหยกน้อยก็ได้ไปที่มุมหนึ่งเงียบ ๆ แล้ว

นางนั่งขัดสมาธิบนเบาะนั่งสมาธิ กระโปรงของนางแผ่ออกไปรอบๆ เบาะรองนั่ง ผ้าคาดเอวที่รัดเอวคอดบาง เผยให้เห็นรูปร่างวิจิตรงดงามของนางอย่างไร้ข้อกังขา เส้นผมสีดำสองเส้นห้อยอยู่ข้างหน้านาง และใบหน้าสวยงามของนางก็เริ่มดูแจ่มใส

เดิมทีมันเป็นพิณเจ็ดสายที่บรรเลงเสียงฟังดูผ่อนคลาย ตามด้วยขลุ่ยหยกและเอ้อร์หู ซึ่งถูกใช้เพื่อระบายความรู้สึกและปรับปรุงความสัมพันธ์ของพวกเขา

หากอารมณ์รุนแรงเกินไป หลิงเอ๋อร์ก็ยังสามารถใช้กลองและสว่อน่าที่นางเพิ่งหัดบรรเลงออกมาได้…

ด้วยดนตรีประกอบในสถานที่นั้น ในขณะที่พวกเขาดื่มสุราไปสามไห อารมณ์ของนางก็พุ่งสูงขึ้น หลี่ฉางโซ่วก็เลือกจุดสำคัญ ก่อนอื่นเขาได้เอ่ยถามเจียงหลินเอ๋อร์ว่า เวลาอยู่ข้างนอก นางเป็นอย่างไรบ้าง จากนั้นในฐานะศิษย์ เขาก็ขอคำชี้แนะในเรื่องการรักษาความสัมพันธ์จากนาง ขณะที่หลิงเอ๋อร์ฟังด้วยสีหน้าท่าทีซับซ้อน ศิษย์พี่ไม่เข้าใจจริงๆ หรือ?

เห็นได้ชัดว่า ท่านเป็นผู้เก่งกาจที่แท้จริงในเต๋านี้!

หากไม่ใช่เพราะการกลับมาของท่านปรมาจารย์ใหญ่ หลิงเอ๋อร์ก็ไม่รู้ว่าจะพบกับศิษย์พี่ของนางได้อย่างไรจริงๆ…

เรื่องที่หลี่ฉางโซ่วกักนางเอาไว้ระหว่างร่างของเขาและกำแพง ทำให้นางรู้สึกตื่นตระหนกและสับสนจริงๆ เมื่อคิดดูแล้ว นางก็หงุดหงิดตัวเองที่ไร้ประโยชน์ ไฉน นางถึงมีแต่ความตื่นตระหนกในเวลานั้น?

ด้วยเหตุนี้ หลิงเอ๋อร์จึงกังวลมากขึ้นว่า หากมีวันหนึ่งที่ศิษย์พี่ทำตัวผิดปกติและพยายามล่อลวงสตรี แล้วจะมีสตรีสักกี่คนที่จะต้านทานเสน่ห์ของศิษย์พี่ได้?

โชคดีที่ตัวตนของศิษย์พี่มีปัญหาจนรู้สึกว่าคู่บำเพ็ญเต๋าเป็นภาระน่ารำคาญ…

นี่คงเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่หมายถึง เมื่อเขามักจะกล่าวว่า ทุกอย่างมีได้ย่อมมีเสียบ้าง

หลิงเอ๋อร์บรรเลงเพลงด้วยหัวใจหนักหน่วง ไม่นานหลังจากนั้น นางก็ได้ยินเจียงหลินเอ๋อร์ถอนหายใจและกล่าวถึงอดีต…

“สำหรับข้า ข้าเข้าร่วมสำนักพร้อมกับหว่างฉิง เราพบกันสองสามครั้งและข้าก็คิดว่าเขารูปงามนัก ส่วนเขาก็คิดว่า ข้าไม่เลวเช่นกัน พอเราได้พบหน้ากันเรื่อยๆ จนคุ้นเคยกัน พวกเราก็ต่างรักกัน…”

แม้เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเป็นเวลานานแล้ว แต่นางก็ใช้เวลาพูดคุยถึงเรื่องนี้ไม่นานนัก

ย้อนกลับไปในยามนั้น ทั้งคู่ยังบริสุทธิ์และไร้เดียงสา พวกเขาทั้งสองยังไม่ล่วงรู้ถึงความเหงาแห่งวิถีเซียน เบื้องหน้าต้นท้อเบ่งบาน ต่อหน้าสวนแตงใต้ต้นหลี่[2] และภายใต้ดวงอาทิตย์นั้น พวกเขาล้วนได้ผ่านหลากฤดู ทั้งวสันต์ สารท เหมันต์ และคิมหันต์แล้ว…

ขณะกล่าว เจียงหลินเอ๋อร์ก็เริ่มชี้แจงว่า เหตุใดนางถึงเลิกรากับปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งในเวลานั้น

บัดนี้ เสียงพิณได้เปลี่ยนเป็นเสียงเซียว[3] หลิงเอ๋อร์หลับตาลงและบรรเลงเพลงจนสะเทือนอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากฟังอยู่ชั่วเวลาหนึ่ง หลี่ฉางโซ่วก็เข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้

เรื่องราวของปรมาจารย์เจียงหลินเอ๋อร์ไม่มีน้ำเน่าที่มีองค์ประกอบแสนเชย อย่างเช่น ‘การมีมือที่ห้าเสียบเข้ามา[4]’ หรือ ‘มีคนออกมาจากตู้เสื้อผ้า[5]’ ทว่าเกิดจากตัวตนของพวกเขาล้วนๆ

หากเขาต้องสรุป ก็กล่าวได้เพียงว่า พวกเขาเป็นอดีตคู่รักกัน

หากอยากถามเจียงหลินเอ๋อร์ถึงความรู้สึกในยามนี้ เขาก็กล่าวได้เพียงว่า ‘เสียใจมาก’ เท่านั้น

“ในเวลานั้น ข้าไม่ควรโมโหแล้วอาละวาดแบบเด็กๆ ไร้สติเช่นนั้น เจ้าคนน่าเบื่อผู้นั้นก็ง้อคนไม่เป็น และได้ยินอะไรก็เชื่อเช่นนั้น ตอนนั้นข้าเพียงพูดออกไปด้วยความโกรธเท่านั้น แต่เขาก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ แล้วยังเปลี่ยนนามเต๋าของเขาเป็นหว่างฉิงอีกด้วย…”

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เจียงหลินเอ๋อร์ก็อดจะถอนหายใจยาวออกมาไม่ได้ “หลังจากนั้น เขาก็ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้วทะยานขึ้นสู่เซียน ข้ารู้สึกผิดจนไม่อาจแม้แต่จะก้มหน้าไปหาเขา ข้ารู้สึกเหมือนไปเสนอหน้าประจบเขา ช่างมัน ช่างมันเถิด ในเมื่อข้าพลาดไปแล้ว ก็ช่างมันเถิด ”

ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเสียใจ

หลี่ฉางโซ่วได้ข้อสรุปง่ายมาก เรื่องราวระหว่างปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและเจียงหลินเอ๋อร์นั้นธรรมดามาก ย้อนกลับไปในเวลานั้น ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งและเจียงหลินเอ๋อร์ ต่างก็มีความรู้สึกต่อกันและยังสารภาพความรู้สึกของพวกเขาอีกด้วย ทว่าปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนและจากนั้นความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ค่อยๆ ห่างเหินกันไปทีละน้อย

เดิมทีเจียงหลินเอ๋อร์เป็นคนเย่อหยิ่ง แค่กๆ หัวแข็ง เมื่อไปถามถึงเรื่องนี้กับปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง แล้วเขาก็บอกให้นางรอ เมื่อกลายเป็นเซียนแล้ว ก็จะชดเชยให้นาง

เจียงหลินเอ๋อร์ โกรธจัดจนกล่าวย้ำว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกลับมาอีก”

ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งถือเอาคำพูดเกรี้ยวกราดนั้นเป็นความจริง เขารู้สึกท้อแท้แล้วเปลี่ยนนามเต๋าก่อนจะข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์จนก้าวขึ้นสู่การเป็นปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งแห่งสำนักตู้เซียนในยามนี้…

เหตุใดมันถึงคล้ายกับเรื่องราวความรักในมหาวิทยาลัยในชีวิตก่อนหน้านี้ของข้า?

ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเผยความรู้สึกเล็กน้อย จากนั้นเขาก็กล่าวอย่างอบอุ่นว่า “ท่านปรมาจารย์ใหญ่ คนเราเมื่อพลาดไปแล้วก็คือ พลาด มิอาจย้อนคืนกลับมาได้ แต่ก็มีบางคนที่ท่านยังไล่ตามเขาได้อีกครั้ง”

“หือ แล้วเหตุใดข้าถึงต้องไล่ตามเขากลับมาด้วยเล่า?”

เจียงหลินเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นแล้วเบ่งหน้าอกพลางตบแผ่นเกราะบนร่างของนางเองและตะโกนอย่างเมามายว่า “เจ้ากลัวว่า จะไม่มีผู้ใดต้องการข้า ปรมาจารย์ใหญ่ของเจ้าหรือ? ยังมีสหายชั่วร้ายหลายคน ล้วนอยากเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของข้า!”

ฉีหยวนที่ยืนอยู่ด้านข้าง รู้สึกกระดากเล็กน้อย แล้วกล่าวเบาๆ ว่า “เต๋าอันยิ่งใหญ่เป็นหลักการพื้นฐาน แม้การฝึกบำเพ็ญเต๋าจะเกี่ยวกับการแสวงหาธรรม สมบัติ คู่บำเพ็ญเต๋าและความมั่งคั่ง แต่ทั้งท่านอาจารย์และศิษย์ ล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องคู่บำเพ็ญเต๋ามากเกินไป”

ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็บรรเลงเพลงผิดจังหวะวุ่นวายแล้วเอามือปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองหัวเราะในขณะที่เจียงหลินเอ๋อร์เหยียดยิ้มหยันและกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ไร้คุณสมบัติที่สุดที่จะมีสิทธิ์พูดเช่นนั้นได้ เจ้ารองโง่เง่า”

“เอ่อ” ฉีหยวนอดจะรู้สึกเสียหน้าไม่ได้ เขานึกถึงเรื่องราวของตัวเองและรินสุราให้ตัวเองหนึ่งจอกเงียบๆ

ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ด้านข้างก็หยิบเอ้อร์หูแล้ว แต่ก็ถูกศิษย์พี่ของนางจ้องมองจึงรีบหยิบกู่เจิง[6]ขึ้นมาแทนที่อย่างรวดเร็ว

หลี่ฉางโซ่วพลันรีบกล่าวและยิ้มออกมาเพื่อพยายามกอบกู้ศักดิ์ศรีให้ท่านอาจารย์ของเขา

………………………………………………………………….

[1] เลี้ยงต้อนรับแขกที่มาจากแดนไกล หรือเลี้ยงรับขวัญต้อนรับการกลับบ้าน

[2] หรือ บางที่ใช้ว่า ทุ่งแตงโมใต้ลูกพลัม เป็นสำนวนที่ปรับมาจากบทกวีในยุคราชวงศ์ฮั่นที่ว่า ผ่านสวนแตง อย่าแคะดินที่เปื้อนรองเท้า ผ่านสวนพลัมอย่ายกมือไปจัดหมวก หมายถึง ท่าทางหรือพฤติกรรมที่จะทำให้คนพบเห็นคิดไปในทางไม่ดี ซึ่งเป็นการเตือนให้หลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะไร้เดียงสาเพียงใด ก็อาจถูกสงสัยว่าทำผิดได้

[3] เสียงเซียวคือ เสียงขลุ่ยหรือเสียงขลุ่ยจีน

[4] ปรับมาจากมือที่สามเสียบที่เท้าเข้ามา

[5] เปิดเผยตัวตน หรือประกาศตัวออกมาว่าเป็นคนรักเพศเดียวกัน

[6] เป็นหนึ่งในเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดในกลุ่มพิณ ถือกำเนิดขึ้นในยุคจ้านกั๋ว และได้รับความนิยมและแพร่หลายในสมัยราชวงศ์ฉิน