บทที่ 397 หลินเจี๋ยยืนอึ้งอยู่เนิ่นนาน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 397 : หลินเจี๋ยยืนอึ้งอยู่เนิ่นนาน

บทที่ 397 : หลินเจี๋ยยืนอึ้งอยู่เนิ่นนาน

“ไม่ต้องห่วงนะครับ คุณพ่อวินเซนต์จากศาสนาแห่งตะวันเป็นนักบวชผู้เมตตา ใจกว้าง และมีคุณธรรม เขาจะช่วยคุณได้แน่ ๆ” หลินเจี๋ยพูดยิ้ม ๆ

ก่อนจะมาเป็นราชาแห่งผักดอง เขาก็ควรมีที่พักอาศัยก่อน…

หลินเจี๋ยคิดในใจ

หลังจากมูเอนได้ยินคำพูดของหลินเจี๋ย ใบหน้าเล็ก ๆ อันสุขุมของเธออดแสดงสีหน้าครุ่นคิดไม่ได้ เธอเหลือบมองหนังสือในมือแซคคารีแล้วย้อนคิดถึงสิ่งที่เธอปรึกษากับวินเซนต์ในแดนนิมิต

ต้องพูดอีกครั้งว่า ทุกสิ่งที่เจ้าของร้านหลินทำล้วนมาจากการมองการณ์ไกลทั้งสิ้น

แล้วเขาก็เป็นแค่ผู้ลี้ภัยที่เข้ามาในร้านหนังสือโดยไม่ตั้งใจชัด ๆ ทำไมเขาจึงได้รับหนังสือสำคัญแบบนี้ไป?

และทำไมถึงได้รับอนุญาตให้ไปโบสถ์กัน?

ใช่แล้ว…หนังสือเล่มนั้น ต่อให้เป็นมุมมองของมูเอนก็ยังทำให้สติของเธอสั่นคลอน ซึ่งนับว่าเพียงพอจะอธิบายความสำคัญของหนังสือเล่มนี้ได้

มูเอนจมในภวังค์ความคิด

ก่อนหน้านี้ วินเซนต์เคยพูดว่าจุดประสงค์ของศาสนาแห่งตะวันในตอนนี้คือกำจัดผู้ไม่บริสุทธิ์ รวมถึงบุคคลชั้นสูงในนอร์ซินเขตกลางด้วย แน่นอน เจ้าของร้านหลินต้องรู้แน่ ๆ ว่าเธอและวินเซนต์นัดพบกันในความฝัน

หรือว่า เจ้าของร้านหลินจะรู้สึกไม่สบายใจกับแผนริดกิ่งตายของวินเซนต์ เขาจึงตัดสินใจส่งคนมาช่วย?

ทันใดนั้น มูเอนก็รู้สึกว่าทุกอย่างสมเหตุสมผล!

ใช่แล้ว เจ้าของร้านหลินควบคุมเวลาได้ตามใจ สูงส่งยิ่งกว่าผู้ใดในโลกนี้ ดังนั้นในสายตาของเขา การกระทำของทุกคนต้องเป็นเส้นเชื่อมโยงที่เห็นจุดจบได้ในการมองปราดเดียวแน่นอน

ทุกความเป็นไปได้ชัดเจนแต่สายตาของเขา เช่นเดียวกับความอันตรายของศัตรู ดังนั้นจึงเข้าใจได้หากเขาจะเตรียมการเปลี่ยนแปลงอนาคตไว้ล่วงหน้า

ดูเหมือนว่าศัตรูในครั้งนี้จะรับมือยากสุด ๆ

สายตาของมูเอนจับจ้องเจ้าของร้านหลินซึ่งกำลังมองเธอยิ้ม ๆ “มูเอนครับ ตอนที่คุณไปเขตกลาง คุณจะได้อยู่ใกล้ ๆ วินเซนต์ อย่าลืมกล่าวทักทายเขาให้ผมด้วยนะ”

จริงด้วย!

เขากำลังบอกเราให้ระวังตัว

มูเอนพยักหน้าพูดอย่างจริงจัง “ฉันจะถ่ายทอดคำพูดให้วินเซนต์เอง โปรดวางใจเถอะค่ะ”

หลินเจี๋ยลูบหัวมูเอน ยิ้มกว้างขึ้น “ผมจะตั้งตารอชมผลงานของคุณในอนาคตนะครับ”

มีผู้ช่วยที่ใส่ใจและมีความสามารถแบบนี้ เขายังต้องคาดหวังอะไรอีก?

แซคคารีมองหลินเจี๋ยด้วยหัวใจเปี่ยมความกลัวและร่างกายที่เจ็บปวดซึ่งเหมือนถูกรอยยิ้มอบอุ่นของหลินเจี๋ยบรรเทาความเจ็บได้ครู่หนึ่ง หลังจากความลนลานผ่านไป ความรู้สึกขอบคุณซึ่งห้ามไม่ไหวก็ทะลักเต็มหัวใจในพริบตา

“เจ้าของร้านหลิน…”

แซคคารีตัวสั่น กอดหนังสือในอ้อมแขน การไม่ได้ใช้คำพูดมาหลายปีทำให้เขาไม่สามารถประดิษฐ์คำพูดสวยหรูได้ สุดท้ายเขาก็ทำได้เพียงพูดจากใจ “ขอบคุณครับ คุณเป็นคนดีจริง ๆ”

ได้ยินเช่นนั้น หลินเจี๋ยก็อดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าไม่ได้ ทุกความพยายามของเขาไม่ได้เสียเปล่า

การช่วยเหลือผู้คนหลงทางแบบนี้นาน ๆ ครั้งก็ดีมาก ๆ เช่นกัน

หัวใจของหลินเจี๋ยพลันบรรลุธรรม

“พาเพื่อนหิวโหยของคุณไปที่โบสถ์เถอะครับ” หลินเจี๋ยยิ้ม ยกนิ้วขึ้นชี้กลุ่มผู้ลี้ภัยที่นอนบนพื้น “จะว่าไป หลังจากเรียนวิชาโบราณนี้แล้ว คุณลองให้เพื่อน ๆ ทานก่อนได้นะครับ พวกเขาจะชอบมันสุด ๆ แน่ ๆ”

หลินเจี๋ยมั่นใจในผักดองมาก ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใคร จะต้องได้ตกหลุมรักมันอย่างโงหัวไม่ขึ้นแน่นอน

“เพื่อน เพื่อน…ลองวิชานี้…?”

แซคคารีเกือบทำหนังสือหลุดมือ เบิกตากว้างอย่างหวาดกลัว เขากลืนน้ำลายแล้วค่อย ๆ หันมองเพื่อน ๆ ที่นอนอยู่บนพื้นของเขา

แม้ว่าคนเหล่านี้เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน ไม่รู้ว่าทำอะไรมาบ้างก่อนมาเร่ร่อน พวกเขาก็เป็นคนที่ยังมีชีวิต จะถูกเปลี่ยนเป็นศพที่มีชีวิตได้อย่างไร?

“นี่…ไม่ดีมั้งครับเจ้าของร้านหลิน”

แซคคารีพูดเสียงสั่น ๆ

หลินเจี๋ยขมวดคิ้ว…ทำไมคุณไม่มั่นใจนักล่ะเฮ้ย! ความมั่นใจในตัวเองคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จนะ ถ้าไม่มีมันก็ไม่มีความพยายาม นี่คุณทำผมผิดหวังมากเลยนะเนี่ย!

“เชื่อในตนเองสิครับ เข้าใจไหม?”

หลินเจี๋ยยิ้มอย่างเคร่งเครียด “ความมั่นใจคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ และหัวใจคนคือรากฐานสู่ความสำเร็จ ถ้าคุณไม่ให้พวกเขาลองชิม คุณจะทำให้พวกเขาติดตามคุณอย่างเต็มหัวใจได้อย่างไรล่ะ?”

ยอมแพ้…

เมื่อเห็นสีหน้าของหลินเจี๋ย หลังของแซคคารีก็หนาวเยือก ขนลุกซู่ เขาตกใจกลัว โค้งตัวลงทันที “ขอโทษครับ ผมขอโทษครับเจ้าของร้านหลิน ผมไม่น่าลังเลเลย เข้าใจแล้วครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้แหละ!”

หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เข้าใจแล้วก็ไปเถอะครับ”

แซคคารีพยักหน้าทันที คว้าตัวเพื่อน ๆ บนพื้น ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

โจเซฟซึ่งยืนที่หน้าประตูมองแซคคารีเล็กน้อย ก่อนจะโพล่งว่า “ฉันจะพาพวกเขาไปส่งให้ คงยากที่นายจะแบกคนเยอะขนาดนี้ไหว”

หลินเจี๋ยกะพริบตา เอ่ยอย่างสงสัย “โจเซฟครับ จะดีเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณต้องการปิดบังตัวตนเหรอครับ?”

โจเซฟพยักหน้า “ไม่เป็นไรหรอกครับ แค่ไปส่งที่โบสถ์ของศาสนาแห่งตะวันในซอยเดียวกันนี่เอง”

“งั้นก็ได้ครับ อย่าลืมกลับมาเร็ว ๆ นะครับ”

หลินเจี๋ยโบกมือ จัดแจงท่านั่งให้สบายตัว และเตรียมอ่านหนังสือต่อ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกะทันหันมองรอยร้าวกำแพงที่ฝั่งตรงข้าม

จู่ ๆ อารมณ์ก็ไม่โสภา

แม้ว่าเขาจะกล่อมตัวเองด้วยเหตุผลแล้วว่าผนังร้านที่ร้าวนี่ไม่เกี่ยวกับโจเซฟ แต่หลินเจี๋ยก็ยังรวดร้าวในใจ ค่าซ่อมกำแพงมันไม่ใช่น้อย ๆ เลยนะ!

โจเซฟแบกผู้ลี้ภัยมือละคน เดินตรงหน้าแซคคารี มองไปจนสุดซอย 23 และสัมผัสได้ว่าแซคคารีกำลังเดินเซ ๆ ข้างหลังเขา

ด้วยความที่บรรลุถึงระดับเหนือนภา เขามีมุมมองและความคิดต่อโลกค่อนข้างต่างจากเมื่อก่อนมาก

โจเซฟหันกลับไปมองเล็กน้อย ผู้ลี้ภัยไร้บ้านคนนี้กำลังถือหนังสือล้ำค่า ชีวิตของเขาจะถูกหนังสือเล่มนี้เปลี่ยนไป แต่…เขาไม่ได้ยอมรับมันอย่างเต็มที่

เห็นได้จากสายตาที่กลอกไปมาของเขา

การยอมรับหนังสืออย่างสมบูรณ์สื่อถึงความภักดีและบริสุทธิ์สมบูรณ์ ทิ้งทุกอย่างเพื่อกอบกู้และฟอกตนเองให้บริสุทธิ์

แต่เขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น เหมือนตัวเขาเมื่อนานมาแล้ว

เขากำลังลังเล ละล้าละลัง ดิ้นไปมาระหว่างอดีตและอนาคต ไม่รู้ว่าควรยอมรับอะไร แต่ในขณะเดียวกันก็ลิงโลดในพลังที่ได้รับมา

ตัวตนที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนแบบนี้ เจ้าของร้านหลินอาจไม่ใส่ใจ แต่เขายอมไม่ได้

เขาต้องได้รับคำเตือน!

นี่คือกำปั้นเลือดเหล็กที่เขามักจะใช้เสมอในอดีต…หรือเนิ่นนานมาแล้ว ในตอนที่เขาไม่ใช่กระทั่งอัศวินแห่งแสง

โจเซฟหันไปหยุดข้างตรอกที่หัวมุม แซคคารีเหยียบเบรคแทบไม่ทัน เกือบชนเข้าแล้ว

“เกิดอะไร…”

ตู้ม!

โจเซฟชกกำแพงข้าง ๆ เขาด้วยแรงกายเพียว ๆ จนยุบเป็นหลุม พื้นดินรอบ ๆ เขาแตกเป็นเสี่ยง ๆ ในเวลาเดียวกัน

แซคคารีตัวสั่น ถอยหลังสองก้าว ยกหนังสือในมือบังหน้า ก่อนจะกล่าวเสียงเข้ม “ค…ค…คุณ คุณจะทำอะไร? ผ…ผมก็มีหนังสือที่เจ้าของร้านหลินให้มานะ ค…คุณ คุณไม่ได้ภักดีต่อเขาเหรอ?”

โจเซฟถอนกำปั้น พูดอย่างเฉยเมย “นายพูดถูก เราภักดีต่อเขาจริง ๆ แต่นายล่ะ? นายรู้หรือเปล่าว่าตัวเองภักดีต่อใคร?”

เขาแบมือออก มีผงหินกำหนึ่งอยู่ในมือ

เมื่อมองกำแพงข้าง ๆ แล้ว มีรูเล็ก ๆ รูหนึ่งเหมือนมีมือขยำเข้าไปอย่างแรง

“พ…พระเจ้าของผม ผมจะภักดีต่อเจ้าของร้านหลินเสมอ มอบชีวิตและทุกสิ่งเพื่อเขาครับ!” แซคคารีพูดเสียงสั่น แข้งขาอ่อนแรงแทบลงไปคุกเข่าที่พื้น “ผมสาบาน! ผมจะไม่มีวันทรยศ!”

ดวงตาของโจเซฟเปล่งประกายจาง ๆ “จำสิ่งที่พูดไว้ให้ได้ล่ะ พลังของนาย เจ้าของร้านหลินจะรับมันคืนไปเมื่อไรก็ได้!”

แซคคารีตัวสั่น “เข้าใจแล้วครับ!”

“เฮอะ น่าเกลียด!” โจเซฟแค่นเสียงเย็นชา ไม่รู้ว่าเขาโกรธตัวเองในอดีตหรือเพราะเจ้าของร้านหลินให้สมบัติล้ำค่าเพื่อช่วยเจ้าพวกไม่รู้ดีชั่วพวกนี้กันแน่

เขามองแซคคารีและเพื่อนดวงกุดของเขากุลีกุจอมุ่งไปยังโบสถ์สาขา ก่อนจะหันหลังเดินกลับไป

ไม่ไกลกันนัก หลินเจี๋ยผู้แต่เดิมวางแผนจะพาโจเซฟไปซื้อชุดอุปกรณ์ซ่อมกำแพงเห็นทุกอย่างด้วยสองตา

ฝีเท้าของเขาชะงักคาที่ เกาใบหน้าอย่างใจลอย

หันหลังกลับ

ก้าวถอยหลังสองก้าว หันกลับไปมอง แล้วถอยอีก

“เมื่อกี้โจเซฟ…ต่อยกำแพงนั่น?”

ถ้าเป็นกำแพงร้านหนังสือที่แตกก่อนหน้านี้ หลินเจี๋ยยังพูดได้ว่าเป็นผลกระทบของแผ่นดินไหว โจเซฟไม่ได้แตะต้องกำแพงเลย แต่ตอนนี้เขาเห็นทุกอย่างตำตาตั้งแต่ต้นจนจบ การกำหมัดรอบสุดท้ายของโจเซฟก็เห็นชัดเจน

ถ้าไม่ใช่ว่านั่นคือมือของโจเซฟ คาดว่าคงไม่มีใครยอมเชื่อ

เจ้าพวกคนต่างโลกพวกนี้…แข็งแกร่งโคตร ๆ แบบนี้ทุกคนเลยเหรอ?

หลินเจี๋ยยืนอึ้งอยู่เนิ่นนาน