บทที่ 397 มีคนกำลังจะโชคร้ายแล้ว

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 397 มีคนกำลังจะโชคร้ายแล้ว

ทุกคนต่างก็มีสีหน้าที่หม่นหมอง

หลังจากที่มองเห็นนาง แต่ละคนก็กวาดสายตาไปมองทางอื่นแทน ราวกับไม่อยากจะสนใจเสียอย่างนั้น

นางเดินไปยังพวกเขา แล้วพยายามที่จะสบตากับพวกเขา แต่พวกเขากลับทำท่าเมินใส่นาง พอนางหันไปทางอื่น พวกเขาก็หันหน้ามาจ้องนาง ราวกับว่ากลัวว่านางจะเดินจากไปอย่างนั้น

หลานเยาเยอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเจื่อนๆ จากนั้นก็มีความคิดแวบขึ้นมาแล้วนางก็ตะโกนใส่หลังของเหล่าผู้เฒ่า

:“ตาเฒ่าเย่น เป็นท่านจริงด้วย!ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

ตาเฒ่าเย่น?

ที่นังเด็กนี่เรียกคือท่านอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์เก่า?

เหล่าผู้เฒ่าพวกนั้นรีบหันหลังกลับมาทันทีโดยที่ไม่ได้ดูให้ชัดเจนว่ามีคนอยู่ไม่ แต่กลับกุมมือคารวะพร้อมกันเสียแล้ว

:“คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี”

ผ่านไปครู่หนึ่งไม่มีผู้ใดตอบกลับ พวกเขาถึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาทีละคนๆ ก็เห็นเพียงหลานเยาเยาที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ด้วยสีหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม

หลังจากที่พวกเขารู้ตัวว่าถูกหลอกเข้าแล้ว แต่ละคนก็ทั้งโกรธทั้งอับอาย สุดท้ายจึงทำได้เพียงกลอกตาใส่หลานเยาเยา

“พอแล้ว อย่าโกรธเลยๆ ที่ข้าทำเช่นนี้เพื่อที่จะให้พวกท่านสนใจข้าเท่านั้น!”

“หื้ม ในตอนที่ตาเฒ่าอย่างพวกเราถูกไฟไหม้ เจ้าออกไปเสพสำราญที่ไหนแล้วหล่ะ?ถ้าไม่ใช่เพราะว่าโชคดีหนีออกมาได้ เจ้าคงจะไม่ได้เจอพวกเราแล้ว พอกลับมาก็ไม่รู้จักมาถามไถ่พวกเราก่อน รู้จักแต่ไปหาเจ้าเด็กเย็นหงนั่น พวกข้าไม่รู้จักเจ้า”

“ใช่ พวกเราไม่รู้จักเจ้า”

“ต่อให้เจ้าจะทำอาหารแสนอร่อยให้พวกข้า มอบเงินจำนวนมากมายให้พวกข้า หรือจะพาพวกข้าออกไปเสพสุขสำราญ พวกเราก็ไม่อภัยให้เจ้าหรอก”

“ใช่ ถูกต้องแล้ว สิ่งที่พวกเขาพูด ก็คือสิ่งที่ข้าจะพูด”

“······”หลานเยาเยาถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จึงทำได้เพียงดึงยิ้มเอาไว้เท่านั้น

เอ๊ะ!

จำได้ว่าเมื่อก่อนตอนอยู่ที่ต้นบุพเพ พวกเขาได้รับบาดเจ็บแล้วต้องรักษาตัวอยู่ในตำหนัก พวกเขาได้ขอให้นางทำอาหารให้พวกเขากิน เวลาออกไปข้างนอกก็ต้องให้มีของอร่อยกลับมาด้วย ทั้งยังบอกอีกว่าเช่นนี้ถึงจะช่วยรักษาแผลของพวกเขาได้

นางเอือมระอาอย่างมาก แต่ทว่านางได้ชินชากับท่าทีเช่นนี้ของพวกเขาไปแล้ว

และนางเองก็มีความสุขที่ได้ทำอาหารให้พวกเขาได้กิน

“ได้ๆๆ พวกท่านอยากกินอะไร รีบสั่งมาเถอะ ข้าทำให้ก็พอแล้ว”หลานเยาเยาเริ่มประนีประนอม

“มาๆๆ อาหารที่จะต้องทำอยู่ในนี้แล้ว มีไม่มาก ไม่ต้องกังวลไป เจ้าสำนัก เจ้าค่อยๆศึกษาดูไปแล้วกัน”

หนึ่งในตาเฒ่าหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ดูแล้วเหมือนจะเล็กมาก แต่พอเปิดออกมาดูหลานเยาเยาก็ถึงกับเบิกตากว้าง

กระดาษแผ่นนี้เล็กตรงส่วนไหนกัน?

กระดาษแผ่นนี้พอคลี่ออกมาแล้วมันมีความใหญ่เท่ากับกระดาษ A4 โดยในกระดาษอย่างเต็มไปด้วยชื่อเมนูอาหาร ซึ่งหมึกที่ใช้เขียนยังไม่ทันได้แห้งเลยด้วยซ้ำ เหล่าตาเฒ่าคงจะเขียนมันเมนูอาหารเสร็จแล้วจึงค่อยมาหานางสินะ

อาหารแต่ละจานคงจะใช้เงินอย่างน้อยสองสามตำลึงสิท่า?

อาหารเยอะขนาดนั้น คงจะไม่ใช้เพียงไม่กี่สิบตำลึงแต่อาจถึงร้อยตำลึงเลยสินะ?

จู่ๆก็รู้สึกเจ็บเนื้อเจ็บตัวขึ้นมา……

หลานเยาเยาพ่นลมหายใจออกมาอย่างหนักแล้วปลอบใจตัวเองอย่างเงียบๆ:

ไม่โกรธ

ต้องไม่โกรธ ก็แค่ทำอาหารไม่กี่อย่างเท่านั้น ไม่ได้ใช้เงินมากมาย ต้องใจกว้างสักหน่อยต้องมีความเคารพต่อผู้อาวุโสกว่า……

นางหายใจเข้าลึก ๆ สองสามครั้งไปมา

“ก็ได้!วันมะรืนข้าค่อยทำให้พวกท่านแล้วกัน พรุ่งนี้ข้ามีธุระสำคัญต้องไปจัดการ”วิธีการที่จะให้ไม่เจ็บปวดใจเรื่องเงินก็มีเพียงการทำใจมีสติ

ฮ่องเต้ทรงซุกซนเพียงนี้ หากไม่เล่นงานนางเสียหน่อย แล้วจะตัดความเกลียดชังในใจได้อย่างไร?

“ไม่ได้ ต้องพรุ่งนี้เท่านั้น”เหล่าตาเฒ่าคัดค้านทันที แล้วหนึ่งในพวกเขาก็พูดขึ้นมา,“เจ้าต้องอยู่ที่ตำหนักทำอาหารเท่านั้น พวกเราอดอู้อยู่แต่ในตำหนักจนจะขึ้นราอยู่แล้ว เจ้ามีธุระอันใดต้องทำ ให้พวกเราไปจัดการให้แล้วกัน”

พวกเขารู้ว่าหลานเยาเยาจะทำอะไร

มีคนมาสังหารคนของนางถึงตำหนัก หากนางอยู่อยู่นิ่งได้ก็คงไม่ใช่หลานเยาเยาเสียแล้ว

อีกอย่างบาดแผลของพวกเขานั้นดีขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่บาดแผลหายดีแล้วพวกเขาได้แต่อยู่เฉยๆไม่มีการงานต้องทำ เฝ้ารอคอยว่าจะมีเรื่องดีๆให้ได้ทำ ตอนนี้ก็กำลังพอดีเลย ให้เจ้าสำนักทำอาหารไป ส่วนพวกเขาออกไปจัดการธุระเที่ยวเล่น จะดีแค่ไหนเชียว!

“พวกท่านแน่ใจหรือ?”หลานเยาเยาสงสัย

“แน่นอน เรื่องน่าสนุกเช่นนั้น พวกเราจะไม่ไปได้อย่างไร?”

“ใช่แล้ว ควรที่จะได้ขยับกล้ามเนื้อบ้างแล้ว”

“หรือไม่อย่างนั้น ตอนนี้เจ้าก็ไปจัดการทำอาหารให้เสร็จ คาดการณ์แล้วพรุ่งนี้เช้าเจ้าน่าจะทำอาหารได้เพียงพอให้พวกข้ากินแล้ว พอพวกเรากินอิ่มก็พร้อมออกเดินทาง”

“……”

เอ่อ

ตาเฒ่าคนข้างหลังนี้ เหตุใดท่านถึงได้พูดไม่เป็นมงคลเท่าไหร่นัก?

หลานเยาเยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า :“พวกท่านไป ข้าก็หวังใจได้แน่นอน แต่ถ้าเอาแต่ให้พวกท่านไป แล้วสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาก็ไม่มีโอกาสที่จะได้แสดงความสามารถแล้วนั่นสิ?”

เหล่าตาเฒ่าคิดไปคิดมา ก็ค่อยๆพยักหน้า เพราะว่าเจ้าสำนักพูดได้ถูกต้องที่สุด!

ดังนั้นท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปทำอะไรดังเดิม ยังคงต้องอยู่ช่วยปกป้องคุ้มกันตำหนักเอาไว้ ดังเช่นวันนี้ที่มีมือสังหรณ์บุกเข้ามาในตำหนัก พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้เรื่อง แต่ยังถูกวางเพลิงอีกต่างหาก นี่ถือเป็นเรื่องอัปยศอันใหญ่หลวงเลยที่เดียว!

ดังนั้นก่อนหน้านี้พวกเขาถึงได้พยายามที่จะออกไปทำงาน

หลังจากที่รู้ว่าไม่อาจออกไปได้ พวกเขาจึงต้องทำตัวดีๆอยู่ในตำหนักเสียแล้ว

ในวันถัดมา

หลานเยาเยาอาศัยประสบการณ์ในการเผชิญกับโลกภายนอก จึงเรียกยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนมา พร้อมด้วยคนของสำนักหงอี

พอรุ่งเช้าพวกเขาก็เดินทางไปยังเนินเขาอันอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง หลานเยาเยาไปยืนบนยอดเนินที่สูงที่สุด มองลงมายังควันไฟที่ฟุ้งลอยขึ้นมาจากหมู่บ้านด้านล่างด้วยสายตาที่เย็นชา

ยู่หลิวซูที่สวมชุดคลุมอันหล่อเหลายืนอยู่ข้างๆ มองตามหลานเยาเยาไปยังพื้นที่ที่มีควันไฟลอยขึ้นมาอันห่างไกล ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย

แล้วถิงเมี่ยนก็มองไปยังควันไฟที่เกิดขึ้นมาใหม่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ตรงนี้มีหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

เขาเติบโตในวังหลวงมาตั้งแต่เด็ก เขาเข้าใจเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเมืองหลวงและบริเวณโดยรอบของเมืองหลวง ที่แห่งนี้เขาเองก็เคยมา ที่ตรงนี้ไร้ผู้คนเป็นเพียงพื้นที่ร้างแห่งหนึ่ง

“ทว่า!เมื่อนานมาแล้ว ที่ตรงนี้เคยมีหมู่บ้านใหญ่ตั้งอยู่จริง ต่อมาได้ยินว่าเกิดโรคระบาดขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านล้มตาย ไม่มีใครรอดสักคน แต่ก็ยังมีคนกล่าวอีกอย่างว่า ที่นี่มีความแห้งแล้งตลอดทั้งปี ไม่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิต คนที่อยู่ที่นี่จึงหนีจากความอดอยากไป”

แต่ว่าเรื่องไหนจะเป็นเรื่องจริงเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ รู้เพียงแต่ว่าที่นี่มีหมู่บ้านเกิดขึ้นมาใหม่นั้นเป็นเรื่องที่น่าแปลกอย่างมาก

แถมเทพธิดายังตั้งใจพาพวกเขามาที่นี่ แล้วยังส่งคนของสำนักหงอีออกไปจำนวนมากอีกด้วย ฉะนั้นการมาที่นี่ต้องมีวัตถุประสงค์ ไม่ใช่เพียงเที่ยวเล่นแน่นอน

“หมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงโศกนาฏกรรมไร้เดียงสาอันหนึ่งเท่านั้น”

หลานเยาเยาตอบสิ่งที่ถิงเมี่ยนพูด

หลังจากที่ทั้งสองได้ยิน ต่างก็แสดงสีหน้าที่สงสัยออกมา

สิ่งที่เทพธิดาพูดหมายถึงสิ่งใด?

ทันใดนั้น เสียงอันเยือกเย็นและแผ่วเบาของหลานเยาเยาก็ดังแทรกขึ้นมา

“เนื่องจากอำนาจของราชวงศ์เก่านั้นค่อนข้างมีการกระจุกตัว แม้ว่าบางคนจะมีตำแหน่งอำนาจสูงส่ง แต่อำนาจที่อยู่ในมือก็มีเพียงไม่เท่าไหร่ บางคนที่มีความโลภทะเยอทะยาน ก็ได้ทำการรวบรวมฝึกฝนสร้างกองทัพของตัวเองขึ้นมา

ซึ่งพื้นที่ที่ค่อนข้างซ่อนเร้นเช่นนี้ก็คือสถานที่อันยอดเยี่ยมที่จะใช้ในการฝึกฝนความแข็งแกร่งนั่นเอง

ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา เป็นชัยภูมิที่มีความอันตรายสามารถป้องกันข้าศึกได้ สามารถใช้ต้นไม้ในการปกคลุมเอาไว้ ถ้าหากไม่จุดไฟทำอาหาร ก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าตรงนั้นมีคนอยู่

ข้าได้พบที่นี่ก่อนที่จะเข้าเมืองหลวง ต่อมาจึงได้ทำการตรวจสอบขึ้นมา

หมู่บ้านที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้ ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของราชวัง ไม่มีแม้แต่การมีอยู่ในแผนที่

และสิ่งที่น่าประหลาดใจมากไปกว่านั้นก็คือในหมู่บ้านแห่งนี้มีเพียงบุรุษที่มีความพร้อมในการฝึกฝนเท่านั้น ไม่มีสตรี คนแก่หรือเด็กเลย บางทียังมีการส่งขบวนรถหญิงโสเภณีเข้ามาที่นี่อีกด้วย ตอนนี้คงจะเข้าใจแล้วสินะว่าที่นี่เป็นสถานที่อะไร?”

พูดถึงขนาดนี้แล้ว ยู่หลิวซูและถิงเมี่ยนยังจะมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก?