ตอนที่ 374 บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปคืออะไร ?
“เจ้ากำลังกวนใครอยู่ ? คนตาบอดที่ไหนจะมองเห็น ? ” หลินเว่ยเว่ยแค่นเสียงดัง ฮึ นางจะปล่อยเขาไปแค่ชั่วคราว เจ้าเด็กแสบ รอให้เจ้าสอบเสร็จก่อนเถิด ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้า
ตกเย็น เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านอุปกรณ์และวัตถุดิบ หลินเว่ยเว่ยจึงทำซี่โครงนึ่ง หมูตุ๋นน้ำแดง ผัดกุยช่ายใส่ไข่และผัดผักกาดใส่เห็ดหอม โดยอาหารหลักคือบะหมี่คลุกน้ำมันหอมแดง
ในที่สุดหยางยี่หรานก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดลูกพี่ลูกน้องของตนถึงหน้าด้านขออยู่กินข้าวเย็นต่อ เพราะฝีมือของหลินกู่เหนียงยอดเยี่ยมมาก ซี่โครงนึ่งมีรสสัมผัสเหนียวนุ่ม หมูตุ๋นน้ำแดงมันแต่ไม่เลี่ยน แม้แต่ผัดกุยช่ายใส่ไข่ก็ยังอร่อยกว่าฝีมือพ่อครัวที่บ้านไม่รู้ตั้งกี่เท่า
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจที่สุดก็คือนี่เพิ่งหมดเดือนแรก อากาศยังคงหนาวเหน็บ แต่ได้กินผักกาดขาวที่สดใหม่ ! บะหมี่คลุกน้ำมันหอมแดงรสชาติสุดยอด ! แม้กินบะหมี่ที่ชามใหญ่กว่าหน้าเข้าไปแล้ว เขาก็ยังอยากจะลิ้มรสชาติของมันต่อ !
เดิมทีหยางยี่หรานคิดว่าพี่สาวของหลินจื่อเหยียนจะเหมือนพี่สาวของตน คือเป็นพวกเผด็จการ ไร้เหตุผล รู้จักแต่รังแกน้องชาย แต่ใครจะคิดว่าพอเอาพี่สาวมาเทียบกันแล้ว ช่างน่าโมโหจริง ๆ !
“น้องจื่อเหยียน พี่สาวของเจ้ายังต้องการน้องชายอีกหรือไม่ ? ” ในที่สุดหยางยี่หรานก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดในช่วงครึ่งปีนี้หลินจื่อเหยียนจึงตัวสูงและอ้วนขึ้นมาก ถ้าเขามีพี่สาวที่ฝีมือทำอาหารขนาดนี้ เขาก็จะกินจนอ้วนได้เหมือนกัน เชื่อไหมล่ะ ?
หลินจื่อเหยียนชำเลืองมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะมุ่ยปากพูดว่า “คนที่อยากเป็นน้องชายของพี่รองก็ต่อแถวจากที่นี่ไปจนถึงหน้าสนามสอบแล้ว พี่ยี่หราน พี่รองของข้าจะถึงวัยปักปิ่น1สิ้นปีนี้ ท่านน่าจะแก่กว่านางสองปีใช่หรือไม่ ? ”
หยางยี่หรานลูบจมูกแล้วพูดด้วยรอยยิ้มของคนหน้าด้าน “พี่สาวของเราเพิ่งจะ 15 ปีเอง อายุแค่นี้ก็มีฝีมือทำอาหารไม่ธรรมดาแล้ว ช่างมีพรสวรรค์เหลือเกิน ! ”
หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เริ่มทำมือทำไม้อยู่ในลานบ้าน “บัณฑิตน้อย เจ้าคิดว่าข้าทำเตาอบง่าย ๆ ในลานบ้านหลังนี้ดีหรือไม่ แล้วก่อนย้ายออกก็ค่อยทำลายมัน เจ้าของบ้านคงไม่ว่าอะไรใช่ไหม ? ”
หลินจื่อเหยียนเดินเข้ามาพร้อมหยางยี่หราน “อย่างมากพวกเราก็อยู่ที่นี่กันเพียงครึ่งเดือน แล้วจะเสียแรงทำไปทำไม ? ”
หลินเว่ยเว่ยตีท้ายทอยของเขา “เจ้าคิดว่าข้าจะทำไปเพื่ออะไรล่ะ ? การสอบทั้งห้าสนามนี้ ตอนกลางวันไม่ต้องเตรียมของไปกินเองหรือ ? อาหารประเภทน้ำซุปที่เย็นแล้วจะทำให้ท้องเสีย นั่นก็เอาไปไม่ได้เหมือนกัน ! หรือเจ้าอยากจะกินแป้งแห้งผากกับข้าวปั้นเย็นชืด ? ”
หยางยี่หรานเผลอลูบท้ายทอยตัวเองอย่างไม่รู้ตัว เพราะตั้งแต่เด็กจนโต เขาก็โดนพี่สาวตีท้ายทอยไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันเจ็บสุด ๆ ไปเลย !
เขามองหลินจื่อเหยียนด้วยความเห็นใจ ก่อนจะพูดว่า “ข้าให้บ่าวไปต่อแถวซื้อขนมร้านหนิงจี้ไว้แล้ว ! ขนมรสชาติดีและยังพกพาสะดวก หลินกู่เหนียงไม่ต้องเตรียมอาหารให้น้องจื่อเหยียนก็ได้ ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนซื้อเพิ่ม…”
เย็นนี้การมารับประทานอาหารที่บ้านหลังนี้ทำให้เขารู้สึกเกรงใจสุด ๆ เมื่อมีโอกาสตอบแทนน้ำใจจึงทำให้หยางยี่หรานรู้สึกมีความสุขขึ้นมาทันที
“จริงด้วย ! ข้าไปยืมใช้เตาอบหลังร้านขนมหวานหนิงจี้ก็ได้นี่นา ! ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยความดีใจ
ว่าอย่างไรนะ ? ยืมใช้เตาอบร้านหนิงจี้ ? ร้านนั้นทำการค้าได้ดีจะตาย แล้วไปยืมเตาอบร้านเขาจะไม่ทำให้เสียงานหรือ ? นอกจากนี้เขาจะให้ท่านยืมเตาอบได้อย่างไร ท่านเป็นใครกัน ?
“มื้อเที่ยงเจ้ากินขนมติดต่อกันหลายวัน เจ้าจะไม่เบื่อหรือ ? ”
ว่าอย่างไรนะ ? ขนมที่ล้ำค่าและอร่อยขนาดนั้น หอมหวานติดปลายลิ้นจะเบื่อได้อย่างไร ? อย่าเอ่ยถึงว่าต้องกินติดกันห้าวันเลย แม้จะต้องกินสิบวันสิบห้าวันก็ทำได้ !
ฝ่ายหลินจื่อเหยียนทำตัวเหมือนลูกหมาน้อยที่มองพี่สาวด้วยสายตาแห่งความหวัง “พี่รอง ท่านมีความคิดอะไรที่ดีกว่านี้หรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดก่อนจะพูดว่า “ในสนามสอบน่าจะมีน้ำร้อนให้ ถ้าอย่างไร…ข้าจะลองทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แค่เติมน้ำร้อนลงไปก็มีให้กินทั้งบะหมี่และน้ำซุปแล้ว ! แต่ข้าได้ยินว่าตอนที่พวกเจ้าเข้าสนามสอบ ขนมที่ชิ้นใหญ่หน่อยจะต้องถูกทำให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ…ให้เวลาข้าคิดหน่อยแล้วกัน…”
เมิ่งจิ่งหงก็ได้ยิน ว้าว ตอนสอบมีบะหมี่ให้กินแถมยังเป็นแบบร้อน ๆ ด้วยหรือ ? คงไม่ได้ต้องไปก่อไฟตอนเข้าสนามสอบหรอกนะ ? เขาเองก็สงสัยว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ว่าจะมีหน้าตาอย่างไร…
“หลินกู่เหนียง การทำบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้องใช้อะไรบ้าง ? ข้าจะไปซื้อเอง ! ถ้าอย่างไร…” เมิ่งจิ่งหงชี้มาที่ตัวเองแล้วพูดอย่างหน้าไม่อาย
หลินเว่ยเว่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีอะไรมากหรอก ก็แค่แป้ง ไข่ไก่แล้วก็พวกน้ำมันถั่วเหลือง…”
“ข้าจะรับผิดชอบของพวกนี้เอง ! ” เมิ่งจิ่งหงกลัวนางจะเปลี่ยนใจจึงทุบอกรับคำทันที แป้งกับไข่ไก่หาง่าย แต่น้ำมันถั่วเหลือง…ขอแค่ใช้ใจทำจะต้องสำเร็จแน่นอน เขาจะต้องทำมันออกมาให้ได้ !
เมื่อหยางยี่หรานเดินตามลูกพี่ลูกน้องออกจากบ้านเช่าสกุลหลินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านพี่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีหน้าตาเป็นอย่างไร ? ท่านเคยกินมาก่อนหรือไม่ ? ”
“เจ้าไม่ได้ยินหลินกู่เหนียงพูดหรือว่าจะลองทำ ? ต้องเป็นของกินแบบใหม่ที่ยังไม่เคยทำมาก่อนแน่นอน แต่ฝีมือของหลินกู่เหนียง เจ้ายังไม่เชื่อหรือไร ? ” หลิ่วจงเทียนวิ่งไปคุยเรื่องเตรียมวัตถุดิบกับเมิ่งจิ่งหง
หลังจากนอนหลับฝันดีแล้ววันรุ่งขึ้นหนิงตงเซิ่งก็มารออยู่ที่หน้าบ้านหลังนี้ เขาบอกว่าจะพานางไปส่งที่หยวนเค่อหลาย เจียงโม่หานขมวดคิ้ว…อยู่ห่างแค่นี้ยังต้องให้เจ้าพาไปส่ง ?
วันนี้เขาต้องไปหาบัณฑิตหลิ่นเซิงเป็นเพื่อนพวกหลินจื่อเหยียน ไม่สามารถไปหยวนเค่อหลายกับคู่หมั้นได้ พวกเขานัดกันเรียบร้อยแล้วว่าจะมาร่วมตัวที่หยวนเค่อหลายในตอนเที่ยงวัน ดังนั้นเด็กตัวแสบจะต้องอยู่กับเจ้าแซ่หนิงตลอดทั้งเช้า เขารู้สึกอารมณ์เสียอย่างไรก็ไม่รู้ !
หลินเว่ยเว่ยกำลังนับของขวัญที่จะเอาไปให้บัณฑิตหลิ่นเซิง เนื่องจากเขาไม่ได้ช่วยเหลือแบบไม่หวังผลประโยชน์ ปีก่อนในบรรดาพวกเจียงโม่หานทั้งห้าคน เฝิงชิวฟานมีฐานะค่อนข้างดีจึงเป็นคนออกเงิน 50 ตำลึง ส่วนเรื่องซื้อของขวัญนั้นคนที่เหลืออีกสี่ก็ต้องช่วยกันออก…เงินค่าคัดลอกตำรากว่าครึ่งปีของเจียงโม่หานถูกใช้ไปจนหมด
ส่วนพวกสหายที่เหลืออีกสี่คนของหลินจื่อเหยียน คนที่มีฐานะแย่สุดเป็นบุตรเศรษฐีชนบท พวกเขาปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าเงิน 50 ตำลึงจะหารกัน ส่วนของขวัญให้บ้านสกุลหลินเป็นคนเตรียม
เค้กบรรจุในกล่องหรูหราที่สุดจากร้านขนมหวานหนิงจี้ เนื้อกวางแผ่นหนึ่งกล่อง กระต่ายรมควันจำนวนสองตัวและผ้าสองพับ ผ้าเป็นของที่คุณชายลู่นำมาจากเมืองหลวง ไม่ว่าลวดลายหรือเนื้อผ้าก็เป็นของหายากในภาคเหนือ แค่เค้กกล่องเดียวก็เป็นเงินถึง 10 ตำลึงแล้ว เมื่อรวมกับของอย่างอื่นราคาก็ห่างไกลจากเงินที่พวกสหายสี่คนต้องหารกันออก
แม้ว่าของขวัญเหล่านี้บ้านตระกูลหลินจะไม่ได้เสียเงินสักอีแปะเดียว แต่ในสายตาของหลิ่วจงเทียนและเมิ่งจิ่งหงคือสกุลหลินใจกว้างมาก ไม่อยากเอาเปรียบพวกตนเลยสักนิด คนแบบนี้สามารถคบหาได้ !
หลังส่งพวกบัณฑิตทั้งหกออกไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เดินทางมาที่หยวนเค่อหลายกับหนิงตงเซิ่ง ด้านหุ้นส่วนคนที่สองของหยวนเค่อหลายก็ได้มายืนรออยู่ที่หน้าร้านนานแล้ว
เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ย ใบหน้าของเขาก็เปื้อนยิ้มทันที เขาเดินเข้ามาต้อนรับ “หลินกู่เหนียงมาเช้ามาก ! ”
หลินเว่ยเว่ยพูดหยอกเขา “นายท่านรองก็ไม่ได้มาเช้ายิ่งกว่าหรือ ? ”
นายท่านรองพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ! เราเตรียมวัตถุดิบไว้ให้หลินกู่เหนียงแล้ว ท่านเข้าไปดูในครัวอีกทีว่ายังขาดเหลืออะไรอีกหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยจึงเดินเข้ามาดูในครัว แค่ไก่ก็เตรียมไว้สิบกว่าตัวแล้ว นี่จะเอามาทำพร้อมกันหมดหรือ ! ดูท่าทางนายท่านรองคนนี้จะไม่ยอมให้นางเอาเปรียบจริง ๆ !
[1]
[1]1 วัยปักปิ่น หมายถึง สตรีที่เข้าสู่วัยสิบห้าปีจะสามารถปักปิ่นไว้บนศีรษะได้ เพื่อบ่งบอกว่าถึงวัยที่สามารถออกเรือนได้แล้ว