บทที่ 359 แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ เผ่าเอกา
หานเจวี๋ยจับกลิ่นอายของยายเมิ่งได้ ยังมีบางอย่างที่ต่างออกไป
กลิ่นอายวัฏจักร! จักรพรรดินีผืนพิภพ! เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยจักรพรรดินีผืนพิภพ
“หือ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
เสียงของหญิงสาวลอยเข้ามาในโสตประสาทของหานเจวี๋ย น้ำเสียงนั้นคล้ายคลึงกับยายเมิ่ง แต่ฟังดูอ่อนเยาว์น่าฟังกว่า
หานเจวี๋ยรู้ตัวว่าจิตรับรู้คิดของตนเองถูกเปิดเผยเสียแล้ว จึงส่งเสียงตอบกลับ “ท่านยายเมิ่งหรือ”
“ยายเมิ่งตายไปแล้ว เจ้าเรียกข้าว่าจักรพรรดินีผืนพิภพก็ได้”
น้ำเสียงของจักรพรรดินีผืนพิภพอ่อนโยนมาก ไม่มีความหยิ่งยโสแม้แต่น้อย
หานเจวี๋ยเลิกวิตกไปโดยไม่รู้ตัว เขากล่าว “ที่แท้ก็คือจักรพรรดินีผืนพิภพนี่เอง ช่างเป็นเกียรติแก่ผู้เยาว์ยิ่งนักที่มีโอกาสได้พบท่าน”
ตบะของจักรพรรดินีผืนพิภพไม่อาจทราบได้ นั่นหมายความว่าอย่างน้อยนางจะต้องเป็นต้าหลัวหรือแม้กระทั่งอริยะ
“เผ่าจอมเวทของข้าอยู่กับเจ้าที่นั่นกี่คน” เสียงของจักรพรรดินีผืนพิภพดังขึ้นอีกครั้ง
ทั้งสองสื่อสารกันผ่านจิตรับรู้คิด นอกจากพวกเขาแล้ว สิ่งมีชีวิตอื่นล้วนไม่ได้ยินบทสนทนานี้
หานเจวี๋ยตอบ “สองคน ท่านต้องการพบพวกเขาหรือ”
“ไม่จำเป็น แค่ถามเท่านั้น พวกนี้คือเผ่าพันธุ์ที่ข้าให้กำเนิดขึ้นมาใหม่ เจ้าคิดว่าพวกเขาควรมีชื่อเรียกว่าอะไรดี”
จักรพรรดินีผืนพิภพถามด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงสบายๆ หานเจวี๋ยเกิดความรู้สึกใกล้ชิดกับนางขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
เขาระวังตัวขึ้นมากะทันหัน ยิ่งทำตัวสบายๆ ก็ยิ่งอันตราย! ถ้าเกิดวันดีคืนดีจักรพรรดินีผืนพิภพคิดจะจัดการเขาขึ้นมา จะทำอย่างไร
หานเจวี๋ยสูดหายใจเข้าลึก และเอ่ยว่า “เรื่องนี้ท่านจักรพรรดินีควรเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าจะบังอาจล้ำเส้นไปได้อย่างไร”
“ไม่เป็นไร เจ้าพูดมาเถิด ข้าจะตัดสินเองว่าควรหรือไม่”
หานเจวี๋ยนิ่งเงียบไป
เวรกรรม! นี่พยายามจะผูกติดเขาไว้กับเรือของเผ่าพันธุ์ใหม่ใช่หรือไม่
ถ้าหานเจวี๋ยตั้งชื่อให้ ต่อไปเขาต้องมีเวรกรรมพันผูกกับเผ่าพันธุ์นี้เป็นแน่ แต่ถ้าปฏิเสธ ก็จะถือว่าเป็นการขัดขืนต่อจักรพรรดินีผืนพิภพไม่ใช่หรือ
‘ไหนบอกจะเป็นขุนเขาให้ข้าพึ่งพิง ไยถึงทำร้ายข้าได้ลงคอ’ หานเจวี๋ยรู้สึกไม่พอใจจักรพรรดินีผืนพิภพ รู้สึกว่านางช่างไม่น่าไว้ใจเอาเสียเลย
ตอนนี้เอง จักรพรรดินีผืนพิภพก็กล่าวยิ้มๆ “เจ้ายังหวาดกลัวแปดเปื้อนผลกรรมอีกหรือ สิ่งที่เจ้าฝึกบำเพ็ญคือมรรคแห่งวัฏจักร วัฏจักรคือสิ่งที่ข้าสรรค์สร้างขึ้นมา ผลกรรมระหว่างเจ้าและข้าก็ถูกฝังกลบไปเนิ่นนานแล้ว เหตุใดยังต้องแบ่งแยกระหว่างข้ากับเจ้าอีกเล่า”
หานเจวี๋ยเอ่ยถามอย่างช่วยไม่ได้ “จักรพรรดิเซียนวัฏจักรมีความสัมพันธ์อันใดกับท่าน”
“เขาน่ะหรือ เขาเป็นเพียงเด็กที่หลงผิดคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ข้าเริ่มต้นวัฏจักร หลังจากที่วัฏจักรถือกำเนิดขึ้นมาก็มีพลังชีวิตปรากฏขึ้นและพลังชีวิตนั้นก็พัฒนากลายเป็นเขา ทว่าเขาชื่นชอบการเอาชนะ อยากจะหลุดพ้นจากวัฏจักรและก้าวขึ้นมาควบคุมวัฏจักรอยู่ตลอดเวลา หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาต้องการสิ่งใด หรือจะทำอะไรกันแน่”
คำตอบของจักรพรรดินีผืนพิภพทำให้หานเจวี๋ยรู้สึกตกตะลึง
แบบนี้ก็เท่ากับว่าจักรพรรดิเซียนวัฏจักรเป็นโอรสของจักรพรรดินีผืนพิภพน่ะสิ
หานเจวี๋ยหยักนิ้วคำนวณ พบว่าตนเองมีผลกรรมกับวัฏจักรอยู่จริงๆ
ผลกรรมเป็นสิ่งลึกลับซับซ้อน เมื่อบรรลุระดับจักรพรรดิแล้วสามารถคำนวณหาเบาะแสแห่งกรรมได้ เมื่อบรรลุระดับเทพแล้วสามารถเผยผลกรรมทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้ นอกเสียจากว่าผลกรรมนั้นจะเกี่ยวพันกับตัวตนที่ทรงพลังยิ่งกว่า
ลำพังแค่หานเจวี๋ยและมรรคแห่งวัฏจักร ก็มีผลกรรมพันผูกแล้ว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องกังวลใจอีก
หานเจวี๋ยครุ่นคิด “เช่นนั้นเรียกว่าเผ่าเอกาเถิด อาศัยอยู่ในแดนชำระบาปเก้าขุมมาช้านาน ไม่ก้าวสู่เคราะห์ ไม่สุงสิงกับโลกมนุษย์”
ไม่ก้าวสู่เคราะห์! ไม่สุงสิงกับโลกมุนษย์!
เขาจงใจกล่าวถึงสองข้อนี้ นี่เป็นที่มาของชื่อที่เขาตั้งขึ้น หากในภายภาคหน้าเผ่าเอกาผิดต่อปณิธานของชื่อนี้ ไม่แน่บางทีเขาอาจจะหาวิธีกำจัดเผ่าพันธุ์นี้ให้สิ้นซากไปก็เป็นได้ มีเพียงมรรคาสวรรค์เท่านั้นที่ล่วงรู้
จักรพรรดินีผืนพิภพยิ้มและกล่าว “ใช้ได้ นับแต่นี้เป็นต้นไปพวกเขามีนามว่าเผ่าเอกา เผ่าเอกาไม่ก้าวสู่เคราะห์ ไม่สุงสิงกับโลกมนุษย์ หากทำผิด ขอฟ้าดินจงลงทัณฑ์”
ตู้ม…
เมฆพายุปรากฏขึ้นกลางห้วงอากาศบางเบาเหนือเผ่าเอกา นั่นคือเมฆพายุมรรคาสวรรค์
หานเจวี๋ยแอบตกใจเล็กๆ ไม่คิดว่าจักรพรรดินีผืนพิภพจะเด็ดขาดเช่นนี้
ดูเหมือนว่าบทเรียนของเผ่าจอมเวทจะลึกซึ้งเสียจนแม้แต่จักรพรรดินีผืนพิภพเองก็หวาดกลัวต่อการก้าวเข้าสู่เคราะห์กรรมเช่นกัน
ในตอนนี้เอง ท้องฟ้าเหนือเกาะสำนักซ่อนเร้นก็เกิดเมฆพายุคืบคลานเช่นกัน
สีหน้าของหานเจวี๋ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
‘เวรละ! นี่มันคือการเปิดเผยตำแหน่งนี่!’
เขาควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้นและหนีไปทันที ทว่าเมฆพายุมรรคาสวรรค์กลับตามติดไปด้วย ไม่ว่าเกาะจะเคลื่อนไปทางไหน มันก็จะตามไปทางนั้น ไม่ได้ช้าลงแม้แต่นิด ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของเกาะ
หานเจวี๋ยยอมแพ้อย่างรวดเร็ว
เมฆพายุก่อตัวสูงขึ้น จากนั้นก็มีลำแสงสีทองตกลงมา มันทะลุผ่านค่ายกลอาณาเขตเต๋า ตกลงมาบนเขาเพียรบำเพ็ญเซียน ตัดผ่านรูปปั้นหินโดยไม่ก่อให้เกิดรอยแตกร้าวใดๆ จนกระทั่งมาตกสู่ร่างของหานเจวี๋ย
เหล่าศิษย์ที่อยู่ใต้ต้นฝูซังต่างตะลึงงัน
“แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์! เป็นไปได้อย่างไร!” จอมปีศาจคุกรัตติกาลอุทานพร้อมทั้งเบิกตาโพลง
เมื่อจินกังนู่และต้วนหงเฉินได้ยินดังนั้นก็เผยสีหน้าตกตะลึง
ฉู่ซื่อเหรินขมวดคิ้ว และกล่าวพึมพำกับตนเอง “เขาทำอะไรลงไป”
มู่หรงฉี่กล่าวด้วยความประหลาดใจ “แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ในตำนานงั้นหรือ อาจารย์ปู่อยู่แต่ในถ้ำเทวาตลอดเวลาไม่ใช่หรือ จะไปสร้างคุณงามความดีได้อย่างไร”
ศิษย์คนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าอยากรู้อยากเห็นออกมา
แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ ฟังดูยิ่งใหญ่เหลือเกิน!
ในขณะเดียวกัน หานเจวี๋ยที่อยู่ใจกลางของแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ กลับตกใจแทบจะสิ้นสติในทีแรก คิดว่าตนเองจะตายเสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าแสงสีทองดังกล่าวจะอบอุ่นและทำให้ตบะของเขาเพิ่มพูนขึ้น
[ตรวจสอบพบว่าท่านได้รับแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์เป็นครั้งแรก ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]
[หนึ่ง รับแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ ถูกแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ควบคุมนับแต่นี้เป็นต้นไป จะได้รับวิชาสืบทอดพลังวิเศษหนึ่งครั้ง]
[สอง สะกดแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ เก็บไว้ใช้งานส่วนตัว จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรค]
ดวงตาของหานเจวี๋ยเบิกกว้าง
เขารีบหยุดการแปลงแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ให้เป็นตบะ และส่งแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์เข้าไปยังดาราจักร ปิดผนึกไว้ในดวงดาราแต่ละดวงทันที
หานเจวี๋ยถอนหายใจอย่างโล่งอก แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์นี้ได้มาจากการที่เขาตั้งชื่อให้กับเผ่าเอกาหรือ จิ๊ๆ
คนธรรมดาทั่วไปเผชิญหน้ากับแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ก็ยากจะต้านทานได้ ดีกว่าพากเพียรบำเพ็ญเป็นแรมปีไม่รู้ตั้งเท่าไร
หากเขาดูดซับแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ได้จนหมด หานเจวี๋ยรู้สึกว่าตนเองอาจจะทะลวงระดับปฐมเทพขั้นสองได้สำเร็จลุล่วง แต่เขาไม่อยากเป็นบริพารแห่งมรรคาสวรรค์
ดูอย่างบรรพชนพุทธมรรคาสวรรค์ที่คาดเดาได้ว่าเขาถูกมรรคาสวรรค์ควบคุม เนื่องจากแรงกรรมมากล้นเกินไป จึงถูกมรรคาสวรรค์ตัดสินว่าเป็นพวกนอกรีต และถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยม
หานเจวี๋ยคาดเดาว่าแรงกรรมจะต้องเกี่ยวข้องกับมรรคาสวรรค์เป็นแน่
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป
หานเจวี๋ยสะกดแรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์ได้โดยสมบูรณ์ และกักเก็บเอาไว้ในดาราจักร
เขาใช้จิตสอดส่องเผ่าเอกา พลางกล่าว “ขอบพระทัยจักรพรรดินี หากไม่มีท่านข้าก็ไม่อาจได้รับแรงกุศลมากมายถึงเพียงนี้”
จักรพรรดินีผืนพิภพยิ้มและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ต่อไปเผ่าเอกาก็จะอาศัยอยู่ที่แดนชำระบาปเก้าขุมแห่งนี้ หวังว่าเจ้าจะช่วยสอดส่องดูแล ข้าเองก็จะแวะมาเยี่ยมเยียนบ่อยๆ วางใจเถิด ตอนนี้ในแดนชำระบาปเก้าขุมไม่มีภัยคุกคามร้ายแรง ไท่กู่หยวนเฟิ่งตัวนั้นข้าได้ทักทายกับมันแล้ว อีกทั้งชายหนุ่มผู้น้ัน ถึงเขาจะดูปกติไม่ผิดแปลกอันใดแต่ท่าทางจะขี้กลัวทีเดียว”
‘คนขี้กลัวท่าทางแปลกๆ คนนั้นคงจะเป็นผานซินสินะ’
หานเจวี๋ยเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้ “แรงกุศลแห่งมรรคาสวรรค์มีคุณประโยชน์หรือไม่ขอรับ”
“ต้องมีอยู่แล้ว อริยะส่วนใหญ่ต่างก็พึ่งพาแรงกุศลในการเลื่อนขั้น ต้าหลัวเซียนทองบางส่วนก็เช่นกัน”
คำตอบของจักรพรรดินีผืนพิภพทำเอาหานเจวี๋ยรู้สึกทอดถอนใจ
สมแล้วที่ระบบมาจากอนธการ สูงส่งเหนือมรรคาสวรรค์ทั้งปวง
อาศัยแรงกุศลบรรลุเป็นเทพ บางทีอาจจะอยู่เหนือกว่าสรรพสิ่งทั้งปวงได้แต่ก็อาจถูกควบคุมโดยมรรคาสวรรค์ ไม่อาจหลุดพ้นได้
หากมรรคาสวรรค์ดับสูญ อริยะก็จะดับสูญตาม ดังนั้นเหล่าอริยะจึงต้องปกป้องมรรคาสวรรค์อย่างช่วยไม่ได้
ต้องบอกว่า เจตจำนงของมรรคาสวรรค์เช่นนี้ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือแสน
มันปราศจากปัญญาของมนุษย์ มันไม่อาจกำหนดเป้าหมายไปที่ใครได้ แต่เจตจำนงของมันถือเป็นที่สิ้นสุด ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
ยิ่งใคร่ครวญมากเพียงใด หานเจวี๋ยก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลใด แต่เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าจุดสิ้นสุดของการบำเพ็ญคือการเป็นศัตรูกับมรรคาสวรรค์
หากต้องการหลุดพ้นและเป็นอมตะอย่างแท้จริง ต้องไม่รับความเมตตาจากมรรคาสวรรค์!
……………………………………………