ตอนที่ 239 ไม่ถือสาหากมีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว

ตอนที่ 239 ไม่ถือสาหากมีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน
ตอนที่ 239 ไม่ถือสาหากมีคนเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน

คนขับรถม้านั่งรออยู่ด้านนอกม่านรถอย่างเงียบ ๆ ทว่าหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่แต่ยังไม่ได้ยินคำสั่งจากเย่ฮ่าวหราน และเห็นว่าทหารรักษาความปลอดภัยด้านนอกประตูวังกำลังเดินมาทางนี้ด้วยความสงสัย เขาจึงเกิดความลังเล รวบรวมความกล้าเอ่ยถามไปว่า “ท่านอ๋อง เราจะกลับตำหนักอ๋องเลยหรือไม่ขอรับ?”

เย่ฮ่าวหราวคลึงหว่างคิ้ว กลับตำหนักอ๋อง? เขาจะพาเด็กคนนี้กลับตำหนักอ๋องไปทำไมกัน? นี่คือปัญหาที่รับมือได้ยากชัด ๆ

“ไม่ล่ะ ไปที่ตำหนักอ๋องซิว” แม้ว่าการไปรับกวนพี่ห้าในช่วงกลางดึกเช่นนี้จะไม่ค่อยสมเหตุสมผล แต่ถือว่าเขาได้ช่วยเหลืออวี้ชิงลั่วแล้ว เช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี คิดแล้วเขาก็ถอนหายใจออกมาช้าๆ ราวกับโน้มน้าวตัวเองว่าสิ่งที่ตนเองได้ตัดสินใจทำถือเป็นเรื่องที่มีคุณธรรม จากนั้นจึงพูดทวนเสียงทุ้มต่ำอีกครั้ง “ไปที่ตำหนักอ๋องซิวนั่นแหละ”

คนขับรถม้าเห็นว่าท้องฟ้ามืดครึ้มแล้ว จึงพยักหน้าขานตอบ ก่อนจะกลับหัวรถเพื่อมุ่งหน้าไปยังตำหนักอ๋องซิว

วันนี้เย่ซิวตู๋กินอาหารค่ำค่อนข้างดึก หลังจากกลับมาจากตำหนักรัชทายาท เขาก็พาอวี้ชิงลั่วไปที่จวนอวี๋ แม้บาดแผลบนตัวของอวี๋จั้วหลินจะได้รับการรักษาแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฮูหยินใหญ่ อวี้ชิงลั่วจึงต้องทำเป็นตรวจร่างกายของเขาอีกครั้ง

เป็นเพราะล่าช้าเช่นนี้ ตอนที่กลับมาถึง ท้องฟ้าก็ใกล้จะมืดครึ้มแล้ว

ใครจะไปคิดว่าตอนที่เพิ่งกินข้าวเสร็จ เขาเพิ่งจะจัดการเรื่องต่าง ๆ ภายในห้องตำราไปได้ครู่หนึ่ง โม่เสียนก็เดินเข้ามาอย่างเร่งรีบและรายงานว่าเย่ฮ่าวหรานเดินทางมาที่นี่

เย่ซิวตู๋เคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะสองครั้งอย่างเบามือ เขาเองก็อยากคุยกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องของหนานหนานและเวยเยวี่ยนโหวพอดี

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ให้เขามาที่ห้องตำรา”

โม่เสียนมีสีหน้าดูลำบากใจ เงยหน้ามองนายท่านก่อนจะยิ้มแห้ง ๆ กล่าวว่า “ท่าน…ท่านอ๋อง ท่านอ๋องแปดมาหาแม่นางอวี้ หลังจากคุยกับแม่นางอวี้อยู่ครู่หนึ่ง ก็…ก็กลับไปแล้วขอรับ”

“ปัง” เย่ซิวตู๋ทุบฝ่ามือลงบนโต๊ะทันใด สายตาเคร่งขรึมมุมปากกระตุกเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าเย้ยหยัน “เยี่ยมมาก”

โม่เสียนแอบอวยพรให้เย่ฮ่าวหรานอย่างเงียบ ๆ ท่านอ๋องแปดมาที่จวนอ่องแล้ว ไม่เข้ามาอธิบายถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายท่านยังพอทน แต่คนที่เขามาหากลับกลายเป็นแม่นางอวี้อีก หรือว่าท่านอ๋องแปดไม่รู้ว่า ตอนนี้คนที่นายท่านให้ความสนใจมากที่สุดคือแม่นางอวี้?

โม่เสียนกลืนน้ำลาย ครุ่นคิดว่าเขาเองก็รู้จักกับท่านอ๋องแปดมาหลายปี ทั้งยังได้รับประโยชน์จากท่านอ๋องแปดมาไม่น้อย เช่นนั้นก็…ช่วยพูดแทนเขาหน่อยก็แล้วกัน

“ท่านอ๋อง…ท่านอ๋องแปดพาเด็กมาคนหนึ่ง บอกว่าเป็นน้องชายของแม่นางอวี้ ดังนั้นเขาจึงนำตัวเด็กคนนั้นไปให้แม่นางอวี้ ท่านอ๋องแปดบอกว่าที่ตำหนักยังมีธุระต้องกลับไปสะสาง จึงขอตัวกลับก่อน วันนี้ท่านอ๋องก็เหนื่อยด้วย ก็เลยไม่อยากมารบกวน…”

เย่ซิวตู๋เหลือบสายตามองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา ทำเอาโม่เสียนถึงกับตกใจ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

ทว่า เสียงเคาะโต๊ะของเย่ซิวตู๋กลับดังขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าท่านอ๋องรับฟังคำพูดของเขาแล้ว

โม่เสียนลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก จากนั้นก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของเย่ซิวตู๋ดังขึ้น “เจ้าบอกว่า…น้องชายของอวี้ชิงลั่วหรือ?”

ครั้นก่อนเขาเคยได้ยินเย่ฮ่าวหรานเอ่ยถึงแล้ว เด็กที่ชื่ออวี้เป่าเอ๋อร์สินะ เด็กคนนั้นมิใช่ว่าถูกกังขังไว้เพราะถูกตระกูลอวี้วินิจฉัยว่าสติฟั่นเฟือนหรอกหรือ? เหตุใดถึงได้มาอยู่ข้างกายเจ้าแปด ทั้งยังพามาที่ตำหนักอ๋องซิวอีก

เย่ซิวตู๋เงียบขรึมไม่พูดไม่จา โม่เสียนที่อยู่ข้าง ๆ ก็ยืนด้วยท่าทางนิ่งสงบไม่กล้าพูดอะไรเช่นกัน

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้ยินเสียงทุ้มต่ำของอีกฝ่ายดังขึ้น “ตอนนี้เด็กคนนั้นอยู่ในเรือนของอวี้ชิงลั่วหรือ?”

“พ่ะย่ะค่ะ”

เย่ซิวตู๋พยักหน้า ทำการเก็บเอกสารบนโต๊ะที่ถูกเขียนไว้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและเดินออกจากห้องตำรา

โม่เสียนชะงักและรีบเดินตามออกไป

ทว่าเดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ ๆ เย่ซิวตู๋ก็หยุดเดิน และพูดกับเขาโดยไม่หันหน้ามามองว่า “ไม่ต้องตามมาแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะท่านอ๋อง” โม่เสียนถอยออกไปด้วยท่าทางเคารพนอบน้อม

ครั้นเสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านหลังหายไปอย่างสมบูรณ์ เย่ซิวตู๋จึงก้าวเท้าเดินอีกครั้ง ทว่าการก้าวเท้าของเขากลับเร็วขึ้นกว่าเมื่อครู่อย่างมาก หลังจากผ่านสวนและระหว่างทางไม่มีคนรับใช้เดินผ่าน เขาก็ทำการกระโดดดีดตัวขึ้นทันที เพียงชั่วครู่ก็มายืนอยู่หน้าประตูเรือนของอวี้ชิงลั่ว

ผู้อารักขาที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกเรือนเห็นเย่ซิวตู๋ ต่างก็ค้อมกายทำความเคารพ ทว่ายังไม่ทันได้ตะโกนส่งเสียงใด ๆ ก็ถูกเย่ซิวตู๋ยกมือขึ้นมาห้ามไว้

“พวกเจ้าออกไปเถอะ” เย่ซิวตู๋โบกมือและพูดด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาที่สุด จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านในโดยไม่แม้แต่จะชายตามองพวกเขา

เย่ซิวตู๋ยังเดินมาไม่ถึงประตูห้องของอวี้ชิงลั่ว ก็ได้ยินเสียงเยว่ซินพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด

“คุณหนู คุณชายน้อยน่าสงสารจริง ๆ เจ้าค่ะ ตอนที่พวกเราย้ายออกจากจวน แม้ว่าคุณชายน้อยจะอายุแค่สี่ขวบ แต่ตอนนั้นก็ยังมีคุณหนูคอยดูแล คุณชายน้อยมีทุกอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง มีความไร้เดียงสา มีชีวิตชีวา ทั้งยังมีผิวพรรณอ่อนนุ่มอมชมพู ร่างกายก็แข็งแรงดี แต่ดูตอนนี้สิเจ้าคะ ผอมจนอยู่ในสภาพเช่นนี้แล้ว”

ระหว่างที่เยว่ซินพูดก็อดสะอึกสะอื้นไม่ได้ “ก่อนหน้านี้บ่าวนึกว่าฮูหยินเฉินจะเป็นคนดีและจิตใจดี ตอนนั้นหลังจากฮูหยินใหญ่คลอดคุณชายน้อยและสิ้นลมไป ฮูหยินเฉินก็ดูแลคุณหนูเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของตนเอง และดูแลคุณชายน้อยด้วย คิดไม่ถึงเลย…เหอะ หากไม่ใช่เพราะคุณหนูบอกบ่าวว่า เมื่อหกปีก่อนฮูหยินเฉินหักหลังคุณหนู ทั้งยังไม่ยอมให้คุณหนูกลับจวนอวี้ บ่าวคงคิดว่านางเป็นคนดี คิดไม่ถึงเลยว่านางจะเป็นคนจิตใจชั่วร้ายเช่นนี้ ทั้งยังใส่ร้ายว่าคุณชายน้อยสติฟั่นเฟือน ทารุณกรรมคุณชายน้อยขนาดนี้”

อวี้ชิงลั่วเม้มปากไม่พูดไม่จา สายตาทอดมองไปที่ร่างกายของอวี้เป่าเอ๋อร์ที่ยังนอนอยู่บนเตียง

นางไม่รู้จักอวี้เป่าเอ๋อร์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้สึก ทว่าก่อนหน้านี้นางได้ฟังคำพูดเหล่านั้นจากจินหลิวหลีแล้ว จึงทราบว่าแม้ว่าอวี้เป่าเอ๋อร์อายุยังน้อยแต่กลับปกป้องอวี้ชิงลั่วที่สูญเสียความทรงจำทั้งหมดถึงขั้นนี้ ภายในใจย่อมเกิดความหวั่นไหว

เพียงแต่ตอนนั้นความคิดของนางไม่ได้อยู่ที่ตระกูลอวี้ ความทรงจำที่มีต่ออวี้เป่าเอ๋อร์ก็ไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายปรากฏตัวอยู่ตรงหน้านางแล้ว นางจะไม่สนใจไยดีเขาได้อย่างไรกัน?

เสียงทุ้มต่ำของเย่ฮ่าวหรานที่พูดกับนางก่อนจะกลับไปดังขึ้นข้างหูของนางอีกครั้ง “ชิงลั่ว เจ้าอย่าหาว่าข้ายุ่งเรื่องของเจ้าเลยนะ วันนี้ตอนที่ข้าเจอเด็กคนนี้ เขาเพิ่งจะหนีเอาชีวิตรอดออกมาจากจวนอวี้ เพื่อไปที่จวนของเสนาบดีฝ่ายขวาและบอกหลีจื่อฟานเกี่ยวกับโฉมหน้าที่แท้จริงของสองแม่ลูกตระกูลอวี้คู่นั้น ตอนนั้นด้านหลังของเขายังมีกลุ่มคนรับใช้กลุ่มใหญ่วิ่งไล่ตามมาด้วย แต่ละคนดูดุร้ายทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะหนานหนานตั้งใจให้เขาขึ้นมาบนรถ ตอนนี้เขาคงถูกจับตัวกลับไปอีกครั้ง เจ้าเป็นคนฉลาด คงรู้ถึงผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากถูกจับตัวกลับไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของตระกูลอวี้ แต่ถ้าเขาไม่เชื่อฟังและทำให้เฉินจีซินโกรธเคือง การที่นางจะหาข้ออ้างเพื่อฆ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ถึงอย่างไรเขาก็อายุแค่สิบเอ็ดปี และไม่ได้รับความโปรดปรานจากบิดาของเจ้าด้วย”

อวี้เป่าเอ๋อร์ซูบผอมและอ่อนแอมากจริง ๆ คาดว่าหลายปีมานี้เขาก็คงผ่านอะไรมาด้วยความยากลำบากเช่นกัน

“คุณหนู พวกเราจะส่งคุณชายน้อยกลับไปไม่ได้นะเจ้าคะ หากให้เขากลับไปอีกครั้ง ต้องถูกสองแม่ลูกใจเหี้ยมคู่นั้นฆ่าตายแน่ ๆ” เยว่ซินสำรวจสีหน้าของอวี้ชิงลั่วอย่างละเอียด เมื่อเห็นท่าทางเฉยเมยของนาง จึงตระหนักขึ้นได้ในทันทีว่าคุณหนูสูญเสียความทรงจำ ทำให้จำเรื่องของใครไม่ได้แล้ว และเกรงว่านางอาจไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับคุณชายน้อย จึงเกิดความกังวลขึ้นมา

อวี้ชิงลั่วยังคงเงียบไม่พูดไม่จา ภายในใจเริ่มเกิดความคิดมากมายหมุนวนอย่างช้า ๆ

ขณะที่นางกำลังจะตอบ จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำน่ารื่นรมย์ดังเข้ามาจากด้านนอกประตู “ตำหนักอ๋องซิวไม่ถือสาหรอกหากมีคนกินข้าวเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”

………………………

สารจากผู้แปล

คิดถูกแล้วที่เอาตัวเป่าเอ๋อร์มาส่งที่ตำหนักอ๋องซิว ถ้าปล่อยกลับจวนอวี้ไปคือพยานปากเอกคนนี้ตายแน่

ไหหม่า(海馬)