บทที่ 369 เชื่อหรือไม่ เจ้าไม่อาจเอาชนะบุตรชายตนได้

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 369 เชื่อหรือไม่ เจ้าไม่อาจเอาชนะบุตรชายตนได้

บทที่ 369 เชื่อหรือไม่ เจ้าไม่อาจเอาชนะบุตรชายตนได้

เมื่อทั้งสองมาถึงโรงเตี๊ยมในหมู่บ้าน พวกเขาก็พบไป๋ชิวหรานที่กำลังพาถังรั่วเวยออกจากโรงเตี๊ยม

ทั้งสองถือหม้อใบเล็กไว้ในมือ การแสดงออกของพวกเขาเต็มไปด้วยความศรัทธา แววตามุ่งมั่น ลิ่วเยวี่ยนกับขอทานเห็นภาพตรงหน้าจึงกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากไม่กล้าเดินเข้าไปรบกวน

หลังจากเฝ้ามองอยู่เงียบ ๆ ทั้งสองก็เห็นไป๋ชิวหรานกับถังรั่วเวยวางหม้อใบเล็กไว้บนลานกว้างด้านนอกโรงเตี๊ยม และเมื่อกวาดพื้นจนสะอาด จึงหยิบธูปออกมาสามดอกแล้วจุดไฟ ก่อนจะคุกเข่าลงอย่างสุภาพนอบน้อม

“ข้าขอสวดภาวนาให้เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเมตตาให้ศิษย์ไป๋ชิวหรานสามารถสร้างรากฐานได้สำเร็จ”

“ข้าขอสวดภาวนาพระโพธิสัตว์เสริมทรวงอก โปรดเมตตาศิษย์ถังรั่วเวยให้สามารถเพิ่มขนาดทรวงอกได้สำเร็จ”

ทั้งสองสวดภาวนาก่อนจะโค้งคำนับสามครั้ง และเคาะพื้นเก้าครั้ง จากนั้นก็ยืนเงียบ ๆ เพื่อรอให้เครื่องหอมทั้งหมดดับลง…

หลังจากเห็นว่าทั้งสองกระทำจนเสร็จสิ้นแล้ว ลิ่วเยวี่ยนกับขอทานจึงเดินเข้าไปหาทั้งสองคน

“คุณชายไป๋ แม่นางถัง…”

หลังจากการรับประทานอาหารเย็นเมื่อคืนนี้ ลิ่วเยวี่ยนจึงทราบชื่อของทั้งสามคน ดังนั้นจึงกล่าวทักทายชายหนุ่มกับถังรั่วเวยอย่างสุภาพ

“อรุณสวัสดิ์ ท่านตื่นเช้ายิ่ง”

“อรุณสวัสดิ์”

ไป๋ชิวหรานยิ้มพร้อมโค้งคำนับทักทาย

“คุณชายไป๋และแม่นางถังช่างเปี่ยมศรัทธาอย่างแท้จริง”

ลิ่วเยวี่ยนเหลือบมองธูปที่เพิ่งมอดลง

“ตื่นเช้าเพื่อสวดภาวนา”

“ท้ายที่สุดแล้ว จิตวิญญาณของความจริงใจนั้นสำคัญ”

ไป๋ชิวหรานตอบอย่างไม่ลังเล พร้อมกับมองลิ่วเยวี่ยนกับขอทานด้วยรอยยิ้มประหลาดก่อนจะกล่าวถามขึ้น

“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง? เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานเป็นเช่นไร?”

“เรื่องนั้น… ความจริงแล้ว พวกเราฝันถึงเซียนอาวุโส และจากนั้นเราสามารถทะลวงผ่านพ้นสภาวะตีบตันได้จากในฝัน”

ใบหน้าของลิ่วเยวี่ยนเผยความอับอายเล็กน้อย เขาไอแห้ง ๆ สองสามครั้ง ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งขรึมและกล่าวถามขึ้นว่า

“วันนี้ที่ข้ามาพบท่านก็เพราะเหตุนี้ ข้าอยากกล่าวถามคุณชายไป๋… ในโลกใบนี้มีเทพเจ้าอยู่จริงงั้นหรือ?”

“มันขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความศรัทธาเพียงใด”

ชายหนุ่มตอบพร้อมเอามือไพล่หลัง

“หากเทพเจ้าเป็นผู้รอบรู้ในใต้หล้า ในชั่วชีวิตข้าไม่เคยทราบนามของเทพองค์ใด แต่หากกล่าวถึงความศรัทธาในจิตใจของผู้คน เช่นนั้นนับว่ามีมาก”

“แล้วเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐานคือสิ่งใด?”

“เทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน? เขาคือผู้สร้างศรัทธา เป็นตัวแทนของความปรารถนาของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ต้องการพัฒนาไปสู่ความแข็งแกร่ง ตราบใดที่สิ่งมีชีวิตต้องการจะฝ่าทะลวง เพียงแค่เรียกหาเขา… เทพองค์นี้จะประทานพร”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“ข้าทราบว่านักรบเช่นพวกเจ้าใช้ศิลปะการต่อสู้เพื่อเบิกเส้นทาง จึงไม่ศรัทธาในทวยเทพ ดังนั้นพวกเจ้าคงมองว่านี่เป็นเรื่องตลกขบขัน หากต้องการสร้างรากฐาน เจ้าต้องศรัทธาอย่างแกร่งกล้า และต้องมีความปรารถนาที่จะแข็งแกร่งให้มากกว่านี้”

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ แล้วท่านบอกกล่าวพวกเราเช่นนี้จะดีหรือ?”

ขอทานอดไม่ได้ที่จะกล่าวถาม

“สำหรับข้าแล้วไม่มีสิ่งใดผิดแปลก ข้ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน และเขาย่อมไม่โกรธเคืองข้า”

ชายหนุ่มผายมือออกพร้อมกล่าวต่อ

“นอกจากนี้ นี่คือความจริง ข้าไม่ได้โกหก เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ววางใจเถิด มันดีต่อข้าที่จะสั่งสอนและเผยแพร่ความศรัทธาที่ข้ามีในหมู่บ้านแห่งนี้”

“ท่านจะอยู่เพื่อสั่งสอนคนในหมู่บ้านหรือ?”

ลิ่วเยวี่ยนกล่าวถาม

“ถูกต้อง มิฉะนั้นข้าจะให้เจ้าลิ้มรสหวานก่อนเพื่ออะไร?”

ไป๋ชิวหรานกลอกตาไปมา

“เจ้าคือผู้นำหมู่บ้าน เพียงแค่เจ้าลุกขึ้นและกล่าวเรื่องนี้แทนข้า เช่นนี้ผู้คนในหมู่บ้านก็จะเชื่อถือสิ่งนี้อย่างง่ายดาย”

เมื่อเห็นลิ่วเยวี่ยนลังเล เขาจึงกล่าวเสริมว่า

“ข้าทราบถึงความกังวลของเจ้า แต่หากไม่เชื่อข้า อย่างน้อยก็ควรเชื่อมั่นในบุตรชายของตนเอง เขาทราบเรื่องนี้เช่นกัน มิฉะนั้นจะเกลี้ยกล่อมเจ้าเพื่อสิ่งใด?”

“ข้า… เจ้าหวยลี่อายุเพียงสิบเอ็ดหรือสิบสองปีเท่านั้น”

ท่าทีของลิ่วเยวี่ยนยังคงเต็มไปด้วยความกังวล

แน่นอนว่าไป๋ชิวหรานทราบว่าเขาต้องการจะกล่าวอะไร บิดาคิดว่าบุตรชายอายุเพียงสิบสองปี แม้ว่าจะฉลาดตั้งแต่เกิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังเด็ก หากถูกชายหนุ่มหลอกลวงคงจะเชื่อถือโดยง่าย สุดท้ายอาจจะกลายเป็นสมรู้ร่วมคิดและช่วยกันนับเงินในเบื้องหลัง!

อย่างไรก็ตาม เมื่อตระหนักถึงความแข็งแกร่งของไป๋ชิวหรานแล้ว ลิ่วเยวี่ยนก็ไม่ได้กล่าวมันออกไป เพราะเกรงว่าจะถูกอีกฝ่ายทุบตี…

จากความคิดของเขา อย่างไรแล้วมันก็ไม่สมเหตุสมผล โดยปกติแล้วไม่ว่าเด็กอายุสิบสองจะฉลาดเพียงใด แต่ความตระหนักรู้และจิตใจย่อมด้อยกว่าผู้ใหญ่ที่มีจิตใจคดเคี้ยวและไร้ยางอายอย่างแน่นอน แม้ไป๋ลี่จะไม่ใช่เด็กธรรมดา แต่ก็อาจเพลี่ยงพล้ำได้

ทว่าจักรพรรดิเซียนองค์แรกมีอายุหลายพันปี และเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถหลอกลวงผู้อื่น ส่วนผู้อื่นนั้นไม่มีสิทธิ์ที่จะกล้าหลอกลวงเขา!

“บุตรชายของเจ้านั้นยิ่งใหญ่กว่าที่เจ้าคิดมาก”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยกับลิ่วเยวี่ยนตรง ๆ

“เจ้าเชื่อหรือไม่ แม้เจ้าจะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตเทพเจ้าแห่งแผ่นดินแล้ว แต่ก็ไม่สามารถเอาชนะบุตรชายของตนเองได้?”

“เป็นไปได้อย่างไร ข้าเพิ่งเอาชนะเด็กชายคนนั้นไปเมื่อสามวันก่อน”

ลิ่วเยวี่ยนหัวเราะทันทีเมื่อได้ยิน

“คุณชายไป๋คงกล่าวหยอกล้อข้า”

“เห็นข้าเป็นคนที่ชอบหลอกลวงผู้อื่นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“หากไม่เชื่อถือก็ลองกลับไปทดสอบดู บ้านของเจ้าอยู่ห่างจากที่นี่ไม่ไกลนัก หากกลับไปตอนนี้ เจ้าเด็กนั่นคงเพิ่งตื่นนอน ส่วนพวกเราจะรอที่นี่ แล้วเจ้าจะได้ทราบว่าสิ่งที่ข้ากล่าวเป็นความจริงหรือไม่”

“เรื่องนี้…”

ลิ่วเยวี่ยนก้มศีรษะลง เขาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกัดฟันกล่าวว่า

“ตกลง ข้าจะไปชำระแค้นเรื่องเมื่อวานกับไอ้เด็กตัวเหม็นผู้นั้น!”

เขาพับแขนเสื้อขึ้นก่อนจะออกวิ่งกลับไปที่บ้านของตนเอง ส่วนไป๋ชิวหราน ถังรั่วเวย และขอทานยืนรออยู่ตรงนี้

ขณะนี้ลิ่วเยวี่ยนยังไม่กลับมา แต่เป็นไป๋ลี่ที่วิ่งเข้ามาหาไป๋ชิวหราน เด็กตัวน้อยกล่าวถามอย่างเร่งรีบ

“ท่านอาจารย์ ท่านบอกกล่าวท่านพ่อว่าอะไร เขาบ้าคลั่งและคิดทุบตีข้าหลังจากกลับถึงบ้าน และขอให้ข้าใช้กำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับเขา”

“แล้วบิดาเจ้าล่ะ?”

“นอนกองอยู่ที่บ้าน… ความคิดของเขาค่อนข้างซื่อตรง ข้าเดาว่าท่านคงเป็นคนบอกกล่าวให้เขามา เช่นนั้นข้าจึงตอบสนองความต้องการของเขา”

ไป๋ลี่ตอบกลับอย่างเขินอาย

“ทำได้ดีแล้ว”

ไป๋ชิวหรานกล่าวชื่นชม

“ตอนนี้บิดาเจ้าควรเชื่อถือสิ่งที่ข้าบอกกล่าวไปก่อนหน้า”

ขอทานที่ยืนเงียบอยู่นานเผยสีหน้าตื่นตระหนก

ไป๋ชิวหรานไม่ทราบว่าไป๋ลี่ทำอย่างไรกับบิดาของเขา เขาใช้กำลังไปมากเพียงใดไม่ทราบ แต่อย่างไรแล้ว วันนี้ไม่มีผู้ใดพบเจอผู้นำหมู่บ้านชิงสุ่ยออกมาทำงานในหมู่บ้านเลย

อย่างไรก็ตาม ลิ่วเยวี่ยนเพิ่งเข้าสู่ขอบเขตเทพเจ้าแห่งแผ่นดิน และตอนนี้เขาภูมิใจในตนเองมาก แต่กลับถูกบุตรชายของตนจัดการ เหตุการณ์ที่โชคร้ายเช่นนี้อาจจะทำให้เขาสูญเสียสติไปโดยสมบูรณ์

เช่นนั้นไป๋ชิวหรานและคนอื่น ๆ จึงพักอยู่ในโรงเตี๊ยมของหมู่บ้านชิงสุ่ย พวกเขาไม่คิดจะไปที่ใดในวันนี้

ไป๋ลี่นั่งพักสักครู่ ไม่นานนักเขาก็วิ่งออกไปหาสหายตัวน้อยในหมู่บ้านเพื่อสั่งสอนและล้างสมองพวกเขา อายุดูเหมือนจะมีอิทธิพลกับบุคลิกของเขาด้วยเช่นกัน ปกติแล้วจักรพรรดิเซียนองค์แรกผู้ยิ่งใหญ่นั้นสงบนิ่ง ทั้งยังเคร่งขรึมตลอดเวลา แต่ตอนนี้เป็นอิสระและชอบออกไปเที่ยวเล่นกับเด็ก ๆ

เมื่อเขาออกไปเล่นกับเหล่าสหายตัวน้อย ไป๋ชิวหรานพร้อมด้วยคนอื่น ๆ ก็เห็นเจ้าสาวของเด็กชายที่บิดามารดาตระเตรียมไว้ให้ในชีวิตนี้ เด็กหญิงผู้นี้นามว่าลิ่วเยว่เอ๋อร์ เป็นเด็กหญิงตัวน้อยน่ารัก และเมื่อเทียบกับเด็ก ๆ คนอื่นในหมู่บ้าน นางไม่ค่อยร่าเริงมากนัก ซ้ำยังขี้อายอีกด้วย

เมื่อเด็กชายออกไปวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน นางก็ติดตามไป๋ลี่ราวกับเป็นศิษย์หลัก พร้อมกับจับชายเสื้อของเขาไว้อย่างเขินอาย

“เด็กหญิงผู้นี้นับว่ามีความสามารถ”

หลีจิ่นเหยานั่งไขว่ห้างอยู่ข้าง ๆ ไป๋ชิวหราน ก่อนจะชี้ไปที่ลิ่วเยว่เอ๋อร์ซึ่งกำลังวิ่งตามติดไป๋ลี่ ในปากของนางเคี้ยวเมล็ดทานตะวันอย่างผ่อนคลาย

“ไป๋ลี่ ชายผู้นี้ไม่สามารถรับมือกับนางสนมที่มีอยู่ได้ และเขาต้องร่วมรักกับพวกนางเหล่านั้น ท่านบรรพชนกระบี่ชิวหราน ดูแววตาที่มั่นคงของเด็กหญิงผู้นั้นเถิด สุดท้ายนางจะกลายเป็นสาวใช้ในครัวและเป็นสตรีที่อ่อนแอที่สุดของเขา”

“เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร เช่นนั้นเจ้าเก่งกาจมาตั้งแต่เกิดงั้นหรือ”

ไป๋ชิวหรานเคาะศีรษะนางเบา ๆ

“ไม่ใช่เช่นนั้น วิธีที่นางจับจ้องเขาน่ากลัวเช่นเดียวกับที่ศิษย์พี่หญิงเซียงเสวี่ยมองท่าน”

ไป๋ชิวหรานนึกถึงซูเซียงเสวี่ย ทันใดนั้นร่างกายเขาพลันสั่นสะท้าน

“ช่างมันเถอะ”

เขาส่ายศีรษะก่อนจะกล่าวพึมพำ

“เซียนสวรรค์มีอายุยืนยาว หากไป๋ลี่ไม่อาจจัดการได้นั้น ทั้งหมดล้วนเป็นบาปของเขาทั้งสิ้น และเราไม่สามารถทำสิ่งใดมากกว่านี้ได้”

ไป๋ลี่วิ่งออกจากหมู่บ้านพร้อมกับเหล่าสหายตัวน้อย ไม่รู้เลยว่าออกไปทำสิ่งใดกัน แต่หลังจากท้องฟ้ามืดลง พวกเขาทั้งหมดก็กลับมา เหล่าเด็กตัวน้อยมีนกกับสัตว์ป่าอยู่ในอุ้งมือ ไป๋ลี่เดินเข้ามาพร้อมกับเยว่เอ๋อร์และกล่าวอำลาไป๋ชิวหรานกับคนอื่น ๆ

เที่ยงของวันรุ่งขึ้น ลิ่วเยวี่ยนที่ถูกบุตรชายทุบตีจนหมดสติ เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาได้พาเจี่ยเชียนโหรวซึ่งเป็นภรรยาสุดที่รักเดินออกจากประตูไปพบคนคนหนึ่ง

“คุณชายไป๋”

เขาโค้งคำนับต่อไป๋ชิวหราน

“ข้ายอมแล้ว ข้าเชื่อท่านและยอมรับข้อเสนอนั้น ข้าจะเผยแพร่ความศรัทธานี้ส่งต่อให้ชาวบ้านทั้งหมดเพื่อบูชาเทพอาวุโสก่อสร้างรากฐาน”