นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 250 ป้าซุน

ถึงแม้จะพูดอย่างนี้ แต่โจวกุ้ยหลานก็ยังลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะเดินไปที่ประตู ก็เห็นสวีฉางหลินถึงกับพลิกตัวปีนเข้ามาทางประตูเหล็กบานใหญ่จริง ๆ อีกทั้งในมือยังถือจอบมาด้วย

โจวกุ้ยหลานปรายตามองไปยังกำแพงส่วนลานหน้าที่สูงราวหนึ่งช่วงตัวคน ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยหินแหลมที่นางเคยสั่งให้คนใส่เข้าไปตอนที่ทำมันขึ้นมา ใครคนอื่นอาจจะพอคิดได้อยู่ แต่นางคิดไม่ถึงหรอก ว่าประตูนั่นมันจะป้องกันอะไรไม่ได้เลย……

สวีฉางหลินเดินเข้ามา ได้เห็นดวงตาที่หมองคล้ำอิดโรยของภรรยา ในใจก็แอบรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อวานเหมือนว่าจะเตลิดเกินไปหน่อย…..

“พรุ่งนี้เปลี่ยนประตูใหม่ด้วย” โจวกุ้ยหลานที่ปิดปากเงียบอยู่เมื่อครู่พลันเปิดปากออก แล้วสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ได้”

“ลับหินแหลมบนขอบประตูให้มันคมขึ้นอีกหน่อย จะได้ทิ่มคนที่มันกล้าปีนเข้ามาให้ตายไปเลย” โจวกุ้ยหลานพูดต่อ

สวีฉางหลินรู้สึกแค่ว่ามีไอเย็นเยือกสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา แต่ครั้งนี้เขาไม่กล้าพูดอะไรอีก เปิดประตูได้ก็สาวเท้าเดินกลับเข้าห้องไปอย่างรวดเร็ว หยิบอาหารไก่ออกมา เลียนแบบวิธีการที่โจวกุ้ยหลานทำเมื่อก่อน เคาะกาละมังไปทางฝูงไก่ที่อยู่ด้านนอก พวกไก่โตพอได้ยินเสียงเคาะก็เดินกลับมา ส่วนลูกไก่ ลูกเป็ด และลูกห่านตัวเล็ก ๆ ก็เดินส่ายซ้ายส่ายขวาตามกลับมาด้วย

หลังจากโปรยอาหารจนทั่วลานเสร็จ พวกฝูงไก่ ฝูงเป็ด และฝูงห่านก็เดินยักย้ายส่ายสะโพกไปจิกกินอย่างสบายอารมณ์

เมื่อมองขึ้นไปบนท้องฟ้า โจวกุ้ยหลานก็ลุกขึ้นตรงไปที่ห้องครัว ถึงช่วงเที่ยงวันแล้ว นางควรทำอาหารได้แล้ว

เพิ่งจะเดินกลับมาถึงห้องครัว ไม่นานหลังจากนั้น สวีฉางหลินก็ตามเข้ามา ผสมข้าวและกับข้าวที่กินเหลือเมื่อวันก่อนกับธัญพืชที่ต้มจนเละเข้าด้วยกัน เสร็จแล้วก็หิ้วออกไปให้อาหารหมูต่อ

เมื่อดูสภาพอากาศ โจวกุ้ยหลานจึงทำเซาปิ่งเนื้ออีกอย่าง นางคิดว่าบ้านของพี่สาวคนโตมีเด็กหลายคน จึงทำเพิ่มให้มากขึ้นอีกหน่อย หลังจากล้างซี่โครงแล้ว ก็นึกถึงซี่โครงหมูตุ๋นน้ำแดงที่เคยทำก่อนหน้านี้ เลยทำซี่โครงหมูอบปรุงรส เพิ่มหัวไชเท้าฝานเป็นแผ่นบาง ๆ เพิ่มความคล่องคอ ส่วนรายการสุดท้ายก็ทำน้ำแกงกระต่ายตุ๋นใส่ไข่

หลังจากทำอาหารกลางวันเสร็จ โจวกุ้ยหลานก็เรียกสวีฉางหลิน ขอให้เขาช่วยนำเซาปิ่งเนื้อไปให้แม่ แล้วให้รวดรับเจ้าก้อนน้อยกลับมาด้วย

สวีฉางหลินรีบไปอย่างรวดเร็ว ทางโจวกุ้ยหลานก็เริ่มหุงข้าว

ขณะที่กำลังยุ่ง ๆ อยู่ ก็ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกนางจากข้างนอก โจวกุ้ยหลานตอบรับไปประโยคหนึ่ง แล้วรีบเดินออกไปเปิดประตู เห็นเพียงหลิวอ้ายยืนร้องไห้จนตาแดงก่ำอยู่หน้าประตู

“นี่เจ้าเป็นอะไรไป?”

โจวกุ้ยหลานอดถามไม่ได้

หลิวอ้ายฝืนกลั้นน้ำตา บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมด

ที่แท้เป็นเพราะหลิวซิ่วฉายรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของตัวเองดีขึ้นมากแล้ว แถมตอนนี้ก็เป็นช่วงเตรียมดินก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิ จึงพาหลิวอ้ายไปลงนาด้วยกัน คิดไม่ถึงว่าร่างกายจะฝืนรับไม่ไหว เกิดหมดสติไปกลางแปลงนา หลิวอ้ายจึงขอให้ในคนหมู่บ้านช่วยเขาแบกพ่อกลับไปที่บ้านก่อน จากนั้นก็วิ่งมาหานางที่นี่ทันที

“พี่กุ้ยหลาน พี่ยังต้องการหนังสืออีกหรือไม่? ข้าจะขายให้พี่ทั้งหมดเลย!” หลิวอ้ายพูดอย่างร้อนรน

“ไปดูอาการพ่อของเจ้ากันก่อนเถอะ” โจวกุ้ยหลานไม่พูดอะไรมาก รีบสาวเท้ากลับไปที่ห้องของตัวเอง มองไปที่กองไฟบนเตา เมื่อเห็นว่าใกล้จะมอดแล้ว ส่วนข้าวในหม้อก็สุกจวนจะได้ที่แล้ว นางจึงหยิบกุญแจขึ้นมา ล็อคประตูหน้าบ้าน แล้วไปหยิบเงินในห้องตัวเองมาหนึ่งตำลึง เดินตามหลิวอ้ายที่กำลังร้อนอกร้อนใจออกไปพร้อมกัน

บ้านที่หลิวซิ่วฉายอาศัยอยู่นั้น เป็นกระท่อมมุงจากที่มีขนาดเตี้ยและเก่าทรุดโทรม ทันทีที่โจวกุ้ยหลานเดินเข้าไป ก็รู้สึกว่าข้างในนี้ชื้นมาก ถึงขั้นมีน้ำไหลซึมขึ้นมาจากพื้นดินเลยด้วยซ้ำ ภายในบ้านมืดสนิท ทันทีที่เข้าไปก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวเอาเสียเลย

ทันทีที่กลับมาถึง หลิวอ้ายก็วิ่งตรงไปที่ข้างเตียงเพื่อดูอาการของพ่อ โจวกุ้ยหลานก็ไม่เข้าไปก้าวก่าย รีบพุ่งไปเปิดหน้าต่างออก บวกกับเปิดประตูค้างไว้ให้แสงแดดส่องเข้ามา รวมถึงให้อากาศเกิดการถ่ายเท

จากนั้น นางก็เดินออกประตูไปหาคนที่อยู่บ้านข้าง ๆ กัน แล้วขอให้ผู้ชายของบ้านนั้นช่วยไปเรียกหมอหวังมาให้หน่อย แต่น่าเสียดายที่คนในบ้านนั้นกลับส่ายหน้าเป็นพัลวัน เพราะกลัวว่าตัวเองจะถูกขอให้เป็นคนจ่ายเงิน

สุดท้ายโจวกุ้ยหลานไม่มีทางเลือกอื่น จึงสั่งให้หลิวอ้ายไปต้มน้ำร้อนมา แล้วช่วยเช็ดตัวให้หลิวซิ่วฉาย ป้อนน้ำให้ดื่ม จากนั้นค่อยไปบ้านของหมอหวังที่อยู่หมู่บ้านถัดไปด้วยตัวเอง

ในตอนที่สวีฉางหลินเอาเซาปิ่งเนื้อมาส่งให้ที่บ้านของเหล่าไท่ไท่ อาหารของเหล่าไท่ไท่ก็เสร็จแล้วพอดี โจวต้าไห่กับโจวคายจือเพิ่งกลับมาจากนา พอพวกเด็ก ๆ ได้เห็นเซาปิ่งเนื้อ ก็ถึงกับแอบน้ำลายไหลกันโดยถ้วนหน้า

เหล่าไท่ไท่เองก็ไม่ห้ามไม่รั้งพวกเขา แบ่งเซาปิ่งให้ไปคนละอัน ส่วนที่เหลืออีกสามอัน ก็เอาให้โจวต้าไห่กับโจวคายจือไปกิน

พวกเด็ก ๆ ต่างผลัก ๆ ถอง ๆ กันให้วุ่น แต่สวีฉางหลินก็ไม่สนใจ อุ้มเจ้าก้อนน้อยขึ้นมาได้ก็เดินขึ้นภูเขาไปทันที

เมื่อมาถึงประตูบ้าน ก็เห็นว่าประตูบ้านถูกล็อกจากด้านนอก พอเขาเหลือบมองที่ปล่องไฟก็ไม่มีควันแล้ว ดูเหมือนว่าภรรยาของเขาน่าจะมีเรื่องด่วนอะไร จึงรีบออกไปข้างนอกแล้วแน่ ๆ

“พ่อ เสี่ยวเทียนหิวแล้ว” เจ้าก้อนน้อยคว้าชายเสื้อของสวีฉางหลิน กระซิบพูดเสียงเบา

สวีฉางหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงตัดสินใจอุ้มเจ้าก้อนน้อยปีนข้ามจากบนขอบประตูพลิกเข้ามาในบ้าน เดินไปถึงครัวก็เห็นว่าในหม้อมีอาหารอยู่ จึงรีบหยิบเซาปิ่งเนื้อมาให้เจ้าก้อนน้อยกินรองท้องไปก่อนอันหนึ่ง จากนั้นก็ปีนข้ามออกไปอีกรอบ เพื่อไปตามหาภรรยาให้กลับมากินข้าวด้วยกัน

หลังจากเดินในหมู่บ้านไปได้ครู่ใหญ่ ๆ เคาะประตูบ้านไปแล้วหลายหลัง ไล่ถามว่าพวกเขาเห็นโจวกุ้ยหลานบ้างหรือไม่ คนเหล่านั้นต่างก็พากันส่ายหน้า บอกแค่ว่าไม่เห็น

หัวใจของสวีฉางหลินดิ่งวูบ สีหน้าเริ่มฉายแววตื่นตระหนกที่เห็นได้ยากขึ้นมาแล้ว

สุดท้ายเมื่อไม่มีหนทางอื่น เขาจึงกลับไปที่บ้านของเหล่าไท่ไท่ ลากโจวต้าไห่ที่กำลังกินข้าวอยู่ให้ออกไปช่วยเขาตามหาคนทันที

เพิ่งจะมาถึงหน้าประตูบ้าน ก็ได้เผชิญหน้ากับซุนโกวต้านเข้าพอดี ทั้งยังมีผู้หญิงที่ดูอายุราว ๆ ห้าหกสิบปีที่เดินตามหลังเขามาด้วยอีกคน

เมื่อเห็นผู้หญิงคนนั้น โจวต้าไห่ก็ร้องทักว่า “ป้าซุน” ออกไปคำหนึ่ง

ผู้หญิงคนนั้นตอบรับดัง “อือ”กลับมาเสียงหนึ่ง แล้วถามว่า “แม่ของเจ้าอยู่บ้านไหม?”

“อยู่สิ ป้าซุนเข้าไปในบ้านก่อนเถอะ” โจวต้าไห่พูดพลาง ก็พาป้าซุนกับซุนโก่วต้านสองคนแม่ลูกเข้าไปในบ้าน

สวีฉางหลินเห็นเขาขมวดคิ้วนิ่วหน้า ก็รู้ว่าเขาคงจะกลัวว่าในบ้านจะเกิดเรื่อง จึงทำได้เพียงตบ ๆ ที่ไหล่ของโจวต้าไห่ ให้เขาอยู่ดูแลความเรียบร้อยในบ้าน ส่วนเขาเองก็ออกไปตามหาภรรยาต่อ

ทันทีที่ป้าซุนพาซุนโก่วต้านเข้ามาในบ้าน ก็เห็นว่าพวกเขากำลังเก็บกวาดภาชนะบนโต๊ะอาหาร คราบน้ำมันบนจานเหล่านั้น ทำให้ดวงตาของนางหดเกร็งขึ้นมาทันที

“ต้าหู่ เสี่ยวหู่ คิดถึงย่ากันไหม?” นางหันไปมองดูเด็ก ๆ ด้วยรอยยิ้ม ปากก็เอ่ยถาม

ทันทีที่พวกเด็ก ๆ เห็นนาง ก็ตัวสั่นเทิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รีบไปซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเหล่าไท่ไท่ทันที

ซุนโก่วต้านเห็นแบบนั้น ในใจก็พลันตื่นตระหนก รีบเข้าไปเกลี้ยกล่อมแม่ของตัวเองว่า: “เดินมาตั้งไกล แม่คงจะเหนื่อยแย่แล้ว ไปนั่งพักผ่อนก่อนเถอะนะ”

“จะนั่งไปทำไม ไม่เห็นหรืออย่างไรว่าหลาน ๆ มันไม่รู้จักข้าแล้วน่ะ?” ป้าซุนตวาดด่าซุนโก่วต้านไปประโยคหนึ่ง จากนั้นค่อยนั่งลง

เหล่าไท่ไท่มองดูท่าทางของนาง กลอกเปลือกตาแทบพลิก: “พูดอะไรกับคนในครอบครัวตัวเอง ยังไงหลาน ๆ ก็ต้องสนิทกับย่ามากกว่าอยู่แล้วสิ”

ถ้าเด็ก ๆ ไม่สนิทกับเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ควรต้องหาเหตุผลจากตัวเองก่อนไหม!

พอโจวคายจือที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินแม่สามีพูดแบบนี้ ในใจก็นึกเป็นห่วงพวกลูก ๆ ขึ้นมา กลัวว่าแม่สามีจะอารมณ์เสีย จึงรีบขยิบตาส่งสัญญาณไปให้ลูก ๆ แต่พวกลูก ๆ กลับเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมมองการเคลื่อนไหวใด ๆ ของนางเลย

“เมื่อเทียบกับยายแล้ว ก็ต้องสนิทกับย่ามากกว่าแน่อยู่แล้วสิ ก็เพราะเด็กมันยังเล็กอยู่ ใครให้ลูกอมกินเยอะกว่า มันก็เดินตามคนนั้นต้อย ๆ แล้ว ตระกูลซุนของเรามันยากจนนี่ พวกเขาคงจะชอบตระกูลโจวที่ร่ำรวยของพวกเจ้ามากกว่าอยู่แล้ว”

ป้าซุนเงยหน้าขึ้น ไม่หันไปมองทางเหล่าไท่ไท่เลย พูดจาแต่ละประโยคก็ไม่มีคำไหนที่ฟังได้เลยสักนิด: “ถ้าไม่อย่างนั้น สะใภ้สามที่แล่นมาอยู่บ้านเดิมตั้งนานขนาดนี้ คงไม่ต้องให้ข้าที่เป็นแม่สามีมาเชิญกลับไปด้วยตัวเองแบบนี้หรอก!”