บทที่ 354 พัสดุอันแปลกประหลาด

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีก็ไม่อยากรออยู่ข้างนอกพอดี อยากหาที่นั่งลงสักพัก จึงพยักหน้าโอเค

เธอรอเขาในเต็นท์มาได้สองชั่วโมงแล้ว เขาถึงเพิ่งเสร็จงานกลับมา

พอกลับมา ทั้งสองก็ขึ้นรถออกไป เช็คเอาท์โรงแรม แล้วเดินทางไปสนามบิน

หกโมงเช้าวันถัดมา ทั้งสองกลับมาถึงจังหวัดจันทร์

อารัณกับไอริณยังไม่ตื่น วารุณีเห็นพวกเรานอนหลับสนิท ก็ไม่ได้รบกวนพวกเขา ปิดประตูห้องเบาๆแล้วออกไป

นัทธีไปที่ห้องทำงาน

วารุณีกลับไปที่ห้อง เตรียมจะงีบนอน

ตอนที่นอนไปถึงแปดโมงกว่า ก็ถูกนาฬิกาปลุกให้ตื่น

เธออาบน้ำแล้วลงมาชั้นล่าง อารัณกับไอริณเห็นเธอ ก็ดูไม่อยากจะเชื่อก่อน จนกระทั่งวารุณีตะโกนเรียกพวกเขา พวกเขาจึงวิ่งมาที่เธออย่างดีใจ

“หม่ามี๊ หม่ามี๊กลับมาแล้ว”อารัณกับไอริณกอดขาของเธอไว้

วารุณีลูบหัวของลูกทั้งสองคน ใบหน้าก็ยิ้มไปอย่างอ่อนโยน“หม่ามี๊กลับมาแล้ว สองวันนี้หม่ามี๊ไม่อยู่ เป็นเด็กดีหรือเปล่า?”

“เด็กดี”เด็กทั้งสองคนพยักหน้าทันที

จากนั้น อารัณก็ถาม“หม่ามี๊ พ่อกลับมายัง?”

“กลับมาแล้ว”วารุณีตอบ

ไอริณหัวเราะอย่างมีความสุขมากขึ้น“ดีจัง พ่อกับหม่ามี๊กลับมากันแล้ว”

วารุณีบีบจมูกเธอแล้วหัวเราะ จูงมือของเธอกับอารัณเดินไปที่ห้องอาหาร

ระหว่างทาง จู่ๆอารัณก็พูดขึ้นมาอย่างซีเรียส“หม่ามี๊ สองวันนี้หม่ามี๊ไม่อยู่ คุณน้านวิยามาหาพวกเราด้วย”

ได้ยินคำนี้ รอยยิ้มของวารุณีหุบลงทันที จากนั้นหรี่ตาลง“เธอมาหาพวกลูกทำไม ได้ทำอะไรพวกลูกหรือเปล่า?”

อย่างที่คิดไว้เลย เธอกับนัทธีไม่อยู่ นวิยาก็ไม่ปฏิบัติตัวตามกฎเกณฑ์ขนาดนั้น

“เปล่าครับ แค่ถามบางอย่างกับผมและไอริณ”อารัณส่ายหน้า

วารุณีหยุดฝีเท้าลง ก้มตัวลงมองลูกทั้งสองคน“เธอถามอะไรเหรอ?”

“เธอถามหนู เรื่องที่หม่ามี๊อยู่ต่างประเทศ”ไอริณตอบกลับพร้อมอมนิ้ว

อารัณเม้มริมฝีปาก“เธอถามผม ไม่เหมือนกับที่ถามไอริณ เธอถามพวกเราเกี่ยวกับเรื่องของพ่อ”

“พ่อ”วารุณีขมวดคิ้วอย่างสงสัย

ถามเรื่องของนัทธี ทำไมต้องถามเด็กสองคนนี้ด้วย

ไม่ใช่ว่าตัวเธอเองรู้จักและเข้าใจนัทธีมากกว่าเด็กสองคนนี้เหรอ?

พอเห็นท่าทีของวารุณีแล้ว อารัณก็รู้ว่าเธอเข้าใจผิด ส่ายมือเล็กๆไปมา“ไม่ใช่ครับหม่ามี๊ พ่อนี้ไม่ได้หมายถึงพ่อนัทธี แต่หมายถึงพ่อแท้ๆของพวกเรา”

รูม่านตาของวารุณีหดลงเล็กน้อย“เธอถามอย่างไร”

“เธอถามพวกเราว่า รู้หรือไม่ว่าพ่อแท้ๆของพวกเราคือใคร แล้วก็พูดอีกว่าพวกเราอยากหาพ่อแท้ๆเจอไหม”

สีหน้าวารุณีหม่นลงไปเล็กน้อย บีบฝ่ามือขึ้นมา

นวิยาถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม?

“งั้นพวกลูกตอบไปว่าอะไร?”วารุณีลูบไหล่ของลูกทั้งสองคนแล้วถาม

อารัณส่งเสียงฮึดฮัดอย่างภูมิใจ“ผมไม่สนเธอ ผมพูดไปตรงๆว่าผมไม่รู้ว่าพ่อแท้ๆคืออะไร ผมรู้แค่ว่าคุณพ่อนัทธีก็คือพ่อของพวกเรา พูดจบผมก็พาไอริณออกไป”

“ดีมากลูก”วารุณียิ้มแล้วจูบไปที่แก้มของลูกทั้งสองคน

จากนั้นอารัณก็กัดริมฝีปาก“แต่ว่าหม่ามี๊ พ่อแท้ๆของพวกเรา เป็นใครกันแน่เหรอ ยังมีชีวิตอยู่ไหม?”

นี่เป็นครั้งที่หลายครั้งแล้วที่เขาถามคำถามนี้

แต่ว่าทุกครั้งหม่ามี๊จะไม่บอกเขา

วารุณียกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ฝืนยิ้มออกไป“ยังมีชีวิตอยู่”

“งั้นเขาอยู่ไหน?”อารัณกับไอริณมองเธอมาพร้อมกัน

วารุณียืนขึ้นมา จูงมือของลูกทั้งสองคน เดินไปที่ห้องอาหารต่อ“เขาก็อยู่ที่จังหวัดนี้”

“จริงเหรอ?”เด็กทั้งสองคนตกใจ

วารุณีตอบอือ“จริงๆ ถ้าพวกลูกอยากรู้จักพ่อแท้ๆของพวกลูกจริงๆ รอผ่านช่วงนี้ไป หม่ามี๊จะบอกพวกลูกเอง”

ผ่านช่วงนี้ไป ก็คือวันเกิดของนัทธีแล้ว ที่จริงเธอคิดจะบอกนัทธีวันนั้น กับตัวตนที่แท้จริงของลูกทั้งสองคน

ในเมื่อตอนนี้เด็กทั้งสองคนถามขึ้นมา งั้นเธอก็ยิ่งแน่วแน่ที่จะพูด

ถึงแม้เด็กทั้งสองคนไม่รู้ว่าทำไมวารุณีต้องรอผ่านช่วงนี้ไปก่อนถึงจะบอกพวกเขา แต่ในเมื่อหม่ามี๊พูดแบบนี้แล้ว ก็ต้องมีเหตุผลของหม่ามี๊ พวกเขาไม่ถามมาก

รอถึงวันนั้น ทุกอย่างก็จะชัดเจนเอง

ทานอาหารเช้าเสร็จ นัทธีก็ออกไปจากคฤหาสน์ก่อน

เรื่องที่เพชรเหมืองแร่ เขายังต้องกลับไปบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปเพื่อประชุมอีก

ดังนั้นเด็กทั้งสองคนเลยถูกวารุณีไปส่ง

ส่วนนวิยา หลังทานอาหารเช้าเสร็จ ก็ถูกพิชิตมารับไปเองกับตัว รีบไปที่โรงพยาบาล ทำการทดสอบสายตา

ตอนเก้าโมงครึ่ง วารุณีส่งเด็กทั้งสองคนไปที่โรงเรียนอนุบาลเสร็จก็มาที่บริษัท เพิ่งเปิดคอมเสร็จ โทรศัพท์ในกระเป๋าก็ดังขึ้นมา

เธอหยิบมาดู เป็นเบอร์แปลกที่อยู่ในพื้นที่ ก็ลังเลเล็กน้อย แต่ก็กดรับไป“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ”

“ขอโทษนะครับใช่คุณวารุณีไหม?”ในสายมีเสียงของผู้ชายเข้ามา

วารุณีพยักหน้า“ค่ะฉันเอง คุณคือใครคะ?”

“ผมมาส่งพัสดุ ที่ผมมีพัสดุอยู่ กรุณาลงมารับหน่อยครับ”ชายหนุ่มพูด

วารุณีลังเลสุดๆ“ฉันไม่มีพัสดุค่ะ คุณส่งผิดหรือเปล่า?”

“ชื่อที่พัสดุก็คือวารุณี ไม่ได้ส่งผิดแน่”

วารุณีก็ยิ่งสับสน“ฉันขอทราบได้ไหม ว่าใครส่งคะ?”

“ไม่รู้ครับ ด้านบนไม่มีข้อมูลผู้ส่ง”ชายหนุ่มตอบ

วารุณีลูบขมับ“ฉันเข้าใจแล้ว คุณอยู่ไหนคะ ฉันจะให้คนลงไปรับ”

“เกรงว่าจะไม่ได้นะครับ”ชายหนุ่มพูดอย่างลำบากใจ:“บนพัสดุเขียนว่า ให้คุณวารุณีมาเซ็นรับเอง”

ของอะไรกันที่ต้องให้เธอไปเซ็นรับเอง?

วารุณีละสายตาลง

พัสดุของคนแปลกหน้า ไม่รู้ผู้ส่ง และยังต้องให้เธอไปรับเอง ข้อสงสัยสองสามข้อนี้รวมกันแล้ว ยังไงก็ทำให้เธอไม่สบายใจนัก

คิดดูแล้ว วารุณีก็ยืนขึ้นมาตอบไปว่า:“ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้”

“ครับ ผมจะรอคุณที่ลานจอดรถ”

ชายหนุ่มพูดจบ ก็วางสายลง

วารุณีวางโทรศัพท์ ก็เรียกปาจรีย์เข้ามา“ปาจรีย์ เธอไปเอาพัสดุกับฉันหน่อย”

“ทำไมล่ะ ไปเอาไม่ไหวเหรอ?”ปาจรีย์ถาม

วารุณีส่ายหน้า“ไม่ใช่ ก็คือพัสดุนั่นทำให้ฉันไม่สบายใจ”

จากนั้น เธอก็พูดเรื่องพัสดุออกมา

ปาจรีย์ฟังจบ ก็รู้สึกผิดปกติ พยักหน้าออกไป“จะต้องมีปัญหาแน่ ฉันไปดูกับเธอเอง”

“อือ”วารุณีพยักหน้า

เธอต้องการเช่นนี้แหละ

พัสดุนี้แปลกมาก เธอกลัวว่าไปคนเดียวจะอันตราย เลยให้ปาจรีย์ไปด้วยจะดีกว่า

เชื่อว่าไปมากกว่าหนึ่งคน ความน่าจะเป็นของความปลอดภัยก็น่าจะมากกว่า

ทั้งสองคนออกไปจากบริษัท มาที่ลานจอดรถ

วารุณีกังวลจึงให้ปาจรีย์หลบอยู่ข้างๆคอยมองตัวเอง ส่วนตัวเองก็ติดต่อกับพนักงานส่งพัสดุคนนั้น

“ฮัลโหล ฉันมาถึงลานจอดรถแล้วค่ะ คุณอยู่ไหนคะ?”วารุณีชูโทรศัพท์มามองซ้ายมองขวา หาร่างของพนักงานส่งพัสดุ

แป๊บเดียว เสียงฝีเท้าที่ฟังชัดก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง

วารุณีรีบหันไป สุดท้ายยังไม่ทันที่เธอจะเห็นหน้าตาของคนนั้น ก็เห็นคนนั้นถือสเปรย์อันหนึ่งขึ้นมาทางเธอ

วารุณีเห็นแค่ควันพวยพุ่งเข้ามาหาตัวเอง หลังจากได้กลิ่นที่บรรยายไม่ออกแล้ว ก็เริ่มมึนหัว หนังตาก็ค่อยๆหนักขึ้น

เธอรู้ว่า ตัวเองถูกลอบวางแผนแล้ว

ตัวของวารุณีสั่น ยืนหยัดไม่อยู่ ร่างล้มไปด้านหลัง

ชายหนุ่มที่ทำให้เธอหมดสติก็เข้าไปทันที วินาทีก่อนที่วารุณีจะล้มลงไป ก็ก้มเอวเอาเธอมาพาดไว้ที่ไหล่ เดินไปที่รถคันสีดำ

ปาจรีย์ที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากนี้ ก็รีบวิ่งมาทางนี้“นี่ คุณจะทำอะไร รีบปล่อยวารุณีนะ!”

ชายหนุ่มหยุดฝีเท้าลงหันไปมองเธอ หัวเราะอย่างเยือกเย็น จากนั้นทำสัญลักษณ์มือไปที่อากาศ

ปาจรีย์ยังไม่เข้าใจว่าท่ามือนั้นหมายถึงอะไร ก็ได้ยินเสียงรถ

เธอหันหน้าไปมองอย่างไม่รู้ตัว ก็มองเห็นรถคันหนึ่งชนมาที่ตัวเอง

เวลานั้น เลือดฝาดที่หน้าเธอหายไปหมด ยืนตกใจอยู่ที่เดิมไม่อาจขยับได้