ตอนที่ 408 กลับมา

หนู? ดวงตาเซ่าเติงอวิ๋นเบิกกว้างขึ้นหลายเท่า อนุหร่วนทำเรื่องเช่นนี้ลงไปอย่างนั้นหรือ? เขาไม่ค่อยอยากเชื่อเลย แต่พวกอนุหร่วนแม่ลูกตายไปแล้ว ดูเหมือนอีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องแต่งเรื่องขึ้นมาเลย

ลมหายใจเขาถี่กระชั้นขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยถามไป “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น หลังข้ากลับมาแล้ว ไยเจ้าถึงไม่บอกข้า?”

เซ่าผิงปอยังคงเอ่ยทั้งที่หันหลังอยู่ “บอกท่านหรือ? จะให้บอกท่านอย่างไรเล่า? ข้าไม่เคยพูดเรื่องอนุหร่วนกับท่านหรือไร? อนุหร่วนพูดประโยคเดียวว่าสั่งสอนอบรมเหมือนบุตรแท้ๆ ของตนแล้วปาดน้ำตาบอกว่าเป็นแม่เลี้ยงมิใช่เรื่องง่าย พูดจาทำนองว่าหากไม่อบรมสั่งสอนพวกเราก็จะถูกครหา หากเข้มงวดต่อพวกเราก็ถูกครหาเช่นกัน ท่านได้ยินก็เห็นด้วยเป็นจริงเป็นจัง มอบอำนาจดูแลเรื่องในบ้านให้นางไปเต็มที่ ข้าบอกท่านแล้วจะมีประโยชน์หรือ? ข้าเคยบอกท่านไปหลายครั้งแล้วเรื่องที่ถูกรังแก แต่พออนุหร่วนบอกว่าข้าโกหก ทั้งยังมีพวกบ่าวไพร่พากันยืนยันว่าข้าโป้ปดเช่นกัน ดังนั้นตัวท่านเองก็คิดเช่นกันว่าข้าไม่ตั้งใจร่ำเรียนให้ดี หากแต่จงใจโป้ปด ท่านลืมไปแล้วหรือว่าครานั้นท่านใช้กฏตระกูลลงโทษข้าอย่างไร? ตอนที่ท่านแม่ของข้ายังอยู่ ท่านไม่เคยทำกับข้าเช่นนี้เลย”

“ครั้งนั้นหลังจากท่านกลับมา ข้าหวังให้มีคนไปแจ้งเรื่องกับท่าน ทว่าไม่มีผู้ใดบอกท่านเลยว่าพวกพี่น้องประสบพบเจอสิ่งใดมา อนุหร่วนเป็นนายหญิงแห่งตระกูลเซ่าแล้ว ท่านก็รักถนอมนางนัก ต่อให้นางทำผิดพลาดอะไรไป ท่านจะหย่ากับนางหรือ? ย่อมไม่มีทางอยู่แล้ว หลังจากนั้นนางก็ยังคงเป็นนายหญิงแห่งตระกูลเซ่าเช่นเดิม พวกบ่าวไพร่จะมีใครกล้าล่วงเกินนางล่ะ แล้วผู้ใดจะกล้าไปรายงานท่านว่าพวกเราพี่น้องเผชิญเรื่องใดมา?”

“ท่านไม่สังเกตบ้างหรือ? หลังจากท่านแม่จากไป บ่าวไพร่คนสนิทสมัยท่านแม่ยังอยู่ทุกคนล้วนถูกอนุหร่วนหาเหตุขับไล่ออกไป ในจวนยังเหลือบ่าวไพร่ที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้ข้าสักคนอย่างนั้นหรือ? ไม่มีผู้ใดช่วยพูดให้ข้า หากอนุหร่วนบอกว่าข้าผิด ทุกคนก็ล้วนจะพูดว่าข้าผิด ท่านเองก็จะคิดว่าข้าผิดเช่นกัน”

“หลังจากที่เกือบตายอยู่ในห้องใต้ดิน ข้าก็นับว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว หากไร้อำนาจแล้วยังก่อเรื่องขึ้นอีก ข้าจะตายวันไหนก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ ก่อนท่านแม่จากไปเคยกำชับให้ข้าดูแลน้องสาวดีๆ ดังนั้นข้าถึงจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป หลังจากนั้นข้าจึงแสดงท่าทีอ่อนแอต่อหน้าอนุหร่วน ต้องฝืนทนยอมจำนนต่อหน้าอนุหร่วน พยายามเอาใจนางทุกอย่าง อันที่จริงการจัดการหญิงโง่นางนั้นมิใช่เรื่องยากเลย เพียงแต่ตอนแรกข้าไม่รู้ว่าควรจะวางตัวอย่างไรเท่านั้น กระทั่งสุดท้ายข้ามีอำนาจและมีโอกาสแล้ว ท่านก็ลองเดาสิว่าข้าทำอะไรลงไป?”

“สิ่งที่ข้าทำเป็นอย่างแรกคือตัดเส้นสายกำลังภายนอกที่คอยทำงานช่วยเหลืออนุหร่วนให้สิ้นซาก สมาชิกตระกูลหร่วนทั้งหมดที่อยู่นอกจวนตระกูลเซ่าไม่มีใครเหลือรอดทั้งสิ้น ข้าส่งพวกเขาทั้งหมดไปขังไว้ในคุกใต้ดินที่ตั้งใจสร้างขึ้นสำหรับพวกเขา จากนั้นก็ปล่อยหนูหิวโซจำนวนนับไม่ถ้วนเข้าไป ปล่อยให้พวกหนูกัดแทะพวกเขาจนเหลือแต่กระดูก จากนั้นก็แสร้งทำเป็นสืบพบสถานที่เกิดเหตุแล้วปล่อยให้อนุหร่วนไปยืนยันแล้วรับกระดูกของคนในครอบครัวกลับมา แต่ความจริงทันทีที่อนุหร่วนเห็นก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือข้า แต่เหตุผลที่นางไม่กล้าบอกว่าสงสัยข้า ก็เพราะว่านางไม่กล้าพูดถึงเรื่องที่ในอดีตเคยปฏิบัติต่อพวกเราสองพี่น้องในทำนองเดียวกัน”

“นับจากวันนั้น ข้ามองเห็นความหวาดกลัวในตัวข้าจากแววตาของอนุหร่วน ท่าทีที่มีต่อพวกเราสองพี่น้องก็เริ่มเปลี่ยนไป แต่ข้าไม่ได้ปล่อยนางไป ข้าไม่มีทางให้โอกาสนางได้ย้อนกลับมาเล่นงานข้าอีก ข้าจึงชิงกวาดล้างผู้ช่วยเหลือด้านนอกของนางทิ้งก่อน เมื่อไม่มีความช่วยเหลือจากภายนอก อนุหร่วนก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น จากนั้นก็ดำเนินการชำระสะสางภายในตระกูลเซ่าทันที คนกลุ่มหนึ่งเสียชีวิตระหว่างที่ออกไปปฏิบัติภารกิจด้านนอก โดยจัดฉากให้เป็นคดีปล้นจี้ที่ขยายตัวเป็นวงกว้างแล้วก็จัดการอีกกลุ่มหนึ่งต่อ ส่วนที่เหลืออีกไม่กี่คนแล้วค่อยๆ ไล่จัดการไปทีละคนๆ”

“หลังจากนั้น พวกเขาสามแม่ลูกก็ตกอยู่ในกำมือของข้าอย่างสมบูรณ์ จะทำอะไรก็ต้องคอยมองสีหน้าข้า เดิมทีเห็นแก่หน้าท่านพ่อ ข้าจึงคิดจะปล่อยให้พวกเขาได้รับความทรมาน แต่ไม่คิดจะสังหารพวกเขา ผู้ใดจะทราบว่าพวกเขากลับลงมือกับข้าก่อน ข้าไม่มีทางเลือก จึงทำได้เพียงต้องจัดการพวกเขาทั้งหมดให้สิ้นซาก!”

พอฟังมาถึงตรงนี้ เซ่าเติงอวิ๋นน้ำตาร่วงริน เขาเข้าใจแล้ว ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าความวุ่นวายในตระกูลเซ่าเมื่อปีนั้นเกิดขึ้นเพราะอะไร

“ท่านพ่อ ตอนนั้นหลิ่วเอ๋อร์เยาว์วัยไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อย่าได้เล่าเรื่องในห้องใต้ดินให้นางฟังอีก อย่าให้นางรู้ว่าตัวเองเคยต้องกินสิ่งใดตอนอยู่ในห้องใต้ดิน ลูกขอตัวก่อน!” เซ่าผิงปอเอ่ยทิ้งท้ายไว้แล้วเดินออกไป ยามที่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ เขาหันหลังอยู่ตลอดไม่ได้หันกลับมาเลย

เซ่าเติงอวิ๋นสะอื้น “ฮือๆ” พิงร่างลงกับเสาแล้วโขกศีรษะซ้ำๆ “หยางซวง ปีนั้นเจ้าไม่รู้เรื่องพวกนี้สักนิดเลยหรือ?”ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หยางซวงก็หลั่งน้ำตาเช่นกัน “นายท่าน พอจะรู้มาบ้างขอรับ แต่นายท่านมอบอำนาจปกครองในเรือนให้ฮูหยินไปแล้ว ในบ้านล้วนถูกควบคุมโดยนายหญิง บ่าวไพร่ที่เห็นต่างล้วนถูกฮูหยินไล่ออก ไม่มีผู้ใดบอกความจริงต่อบ่าวเลย ฮูหยินเป็นนายหญิง บ่าวเป็นข้ารับใช้ ไม่มีหลักฐานยืนยันแล้วบ่าวจะกล้าพูดได้อย่างไรขอรับ? บ่าวทำได้เพียงพยายามปกป้องคุณชายใหญ่และคุณหนูไว้บ้าง ป้องกันไม่ให้คนอื่นทำกันเกินไปนัก หากมิใช่เพราะเช่นนี้ คาดว่าตอนที่คุณชายใหญ่กวาดล้างภายในตระกูลเซ่าครานั้นคงไม่ปล่อยบ่าวไว้เช่นกัน ส่วนเรื่องห้องใต้ดิน บ่าวไม่ทราบเรื่องจริงๆ ขอรับ ปีนั้นนายท่านติดตามหนิงอ๋องไปออกศึก บ่าวก็พาคนในตระกูลที่ใช้การได้ติดตามไปเช่นกัน นายท่านก็ทราบดีว่าช่วงนั้นบ่าวไม่ได้อยู่ที่บ้าน หากอยู่ที่บ้านคาดว่าฮูหยินคงไม่กล้าทำเกินเลยขอรับ”

“สวรรค์! นี่ข้าทำบาปใดลงไป!” เซ่าเติงอวิ๋นคร่ำครวญเอาหัวโขกเสาซ้ำๆ

ด้านนอกเรือน เซ่าผิงปอพบกับจงหยางซวี่ที่เดินเข้ามา จึงคารวะทันที

จงหยางซวี่เอ่ยว่า “ได้ยินว่าเมื่อครู่เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ถูกลากออกไป พวกเขาสองพ่อลูกทะเลาะกับเจ้าเรื่องออกเรือนกระมัง?” เขาได้ข่าวจึงรีบมา เตรียมจะช่วยเกลี้ยกล่อมเซ่าเติงอวิ๋น เพราะถึงอย่างไรวิธีการของเซ่าผิงปอก็สอดคล้องกับผลประโยชน์ที่สำนักเขามหายานจะได้รับ

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ พวกเขาย่อมต้องคิดคำนึงถึงส่วนรวม แต่ระยะนี้คงต้องรบกวนให้สำนักเขามหายานช่วยใส่ใจความปลอดภัยของหลิ่วเอ๋อร์ด้วย ข้ากังวลว่าทางแคว้นเยี่ยนหรือแคว้นหานจะมาทำลายการวิวาห์เชื่อมสัมพันธ์นี้”

จงหยางซวี่กล่าวว่า “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ พอได้รับข่าวจากเจ้า สำนักเขามหายานก็ส่งกำลังคนไปเพิ่มแล้ว ไม่มีทางปล่อยให้เกิดเหตุขึ้นกับน้องสาวเจ้าแน่นอน”

….

ณ จังหวัดชิงซาน วิหคยักษ์ตัวหนึ่งโฉบเข้ามา บินวนกลางอากาศเหนือเรือนในกระท่อมฟาง เป็นเหตุให้ผู้บำเพ็ญเพียรในแถบนี้ตั้งท่าระแวดระวังในระดับสูงทันที

หนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ก็ตื่นตัวขึ้นมาเช่นกัน ต่างปรากฏตัวขึ้นแล้วเงยหน้าจ้องมอง

วิหคยักษ์ที่บินวนอยู่ก็ลดระดับลงมา พออยู่ห่างจากพื้นไม่กี่จั้งก็มีคนกระโดดลงมา ส่วนวิหคยักษ์กระพือปีกทะยานขึ้นไป บินจากไปอย่างรวดเร็ว

ก่วนฟางอี๋ไม่ทราบว่าผู้ที่มาเป็นใคร เห็นเพียงว่าหนิวโหย่วเต้ายิ้มออกมาแล้วเดินเข้าไปหา พวกต้วนหู่ก็เดินเข้าไปหาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้นางจึงตามเข้าไปดูว่าเป็นใครกันแน่

ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น เป็นหยวนกังนั่นเอง

ตอนที่หนิวโหย่วเดินเข้าไปหาหยวนกัง เงยหน้ามองตามวิหคยักษ์ตัวนั้นที่บินจากไปไกลแล้ว

“หยวนเยี่ย!” พวกต้วนหู้พากันเข้าไปทักทายหยวนกัง

พอได้ยินคำเรียก ก่วนฟางอี๋พลันกระจ่างขึ้นมา พอจะรู้แล้วว่าเป็นใคร เคยได้ยินทางนี้พูดถึงจึงทราบถึงการมีอยู่ของหยวนกังผู้นี้ แต่ยังไม่เคยพบกันมาก่อน

กลับเป็นสวี่เหล่าลิ่วที่กระตุกแขนเสื้อนางเล็กน้อย กระซิบบอกว่า “พี่ใหญ่ เขาคืออันไท่ผิง เถ้าแก่ร้านเต้าหู้ในเมืองหลวงแคว้นฉี ข้าเคยพบมาก่อนขอรับ”

สวนไม้เลื้อยทำการค้า การทำความรู้จักผู้คนก็เป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง หลังจากร้านเต้าหู้มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาสวนไม้เลื้อยก็ไปสอดส่องทันที การที่สวี่เหล่าลิ่วเคยเห็นหยวนกังจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด

“….” ก่วนฟางอี๋ตกตะลึง มองไปที่หยวนกังอย่างรวดเร็ว อันไท่ผิงก็คือหยวนกังของที่นี่งั้นหรือ? อีกทั้งอันไท่ผิงก็ได้รับความสำคัญจากตระกูลฮูเหยียน ที่แท้เป็นสายลับที่หนิวโหย่วเต้าจัดวางไว้อย่างนั้นหรือ?艾琳小說

ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากนางก็เดาออกได้ เรื่องที่ว่าถูกปรักปรำอันใดจากทางกองทัพชายแดนแล้วฮูเหยียนอู๋เฮิ่นช่วยให้พ้นข้อครหามาได้ย่อมเป็นเรื่องเท็จแน่นอน

หยวนกังพยักหน้าให้พวกต้วนหู่เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองเต้าเหยี่ยแล้วเอ่ยเรียก “เต้าเหยี่ย!”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืม พยักเพยิดพลางเอ่ยถาม “ใครมาส่งเจ้า?”

หยวนกังเองก็เหลือบมองขึ้นไปบนท้องฟ้าเล็กน้อย “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร”

หนิวโหย่วเต้าค่อยๆ หันกลับมามองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความฉงน “เจ้าอย่าบอกข้าเชียวนะว่าคนที่ควบคุมวิหคระดับนี้ได้อยู่ว่างจนไปรับคนข้างทางมาส่งได้ เจ้ามีเสน่ห์ขนาดนี้เชียวหรือ?”

หยวนกังตอบว่า “เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ยพาข้าไปส่งที่หอไร้ขอบเขต ไม่รู้ว่าไปจัดหาวิคยักษ์จากไหนให้ส่งข้ากลับมา”

ตอนที่เสวียนเวยเชิญเขาไปเยือนแคว้นเว่ย หยวนกังไม่รู้ว่าจะไปไนดี จึงเกิดหวั่นไหวขึ้นมาพอสมควร

ทว่าเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายคือมหาเสนาบดีแห่งแคว้นหนึ่ง ไม่มีทางเชื้อเชิญอย่างไร้สาเหตุ ย่อมต้องมีจุดประสงค์แน่นอน หากเกิดเรื่องใดขึ้นแล้วต้องเผชิญหน้ากับคนที่พัวพันกันด้วยผลประโยชน์ ตนก็ไม่แน่ว่าจะรับมือได้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะนำพาปัญหาเดือดร้อนมาให้เต้าเหยี่ย

หลังจากตระหนักได้ถึงข้อนี้ เขาก็เอ่ยปฏิเสธไป

อันที่จริงเสวียนเวยไม่เพียงแต่ชื่นชมหยวนกังเท่านั้น แต่นางยังคิดจะหลอกใช้หยวนกังในการชักจูงหนิวโหย่วเต้าไปยังแคว้นเว่ยด้วย

พอหยวนกังปฏิเสธ ถึงแม้เสวียนเวยจะรู้สึกเสียดาย แต่ในเมื่อเลือกให้ความช่วยเหลือแล้วก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด นางจึงย้อนกลับไปยังหอไร้ขอบเขตอีกครั้ง พาหยวนกังไปส่งที่หอไร้ขอบเขต ทั้งยังจัดหาวิหคยักษ์ตัวหนึ่งให้ส่งหยวนกังกลับมา เพราะตัวเสวียนเวยเองก็ไม่มีทางที่จะเดินทางไกลเพื่อพาหยวนกังกลับมาส่งที่จังหวัดชิงซานด้วยตัวเองได้ นางคือมหาเสนาบดีแห่งแคว้นหนึ่ง ยังมีภาระงานอีกมากมายที่ต้องสะสางจัดการ เวลาถูกวางแผนเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว

ยามที่ทั้งสองแยกจากกันที่หอไร้ขอบเขต ต่างฝ่ายต่างเอ่ยเชื้อเชิญกันไว้ หากอีกฝ่ายมีเวลาว่างก็ให้ไปเยือนถิ่นของอีกฝ่ายเพื่อให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสรับรอง

เสวียนเวยตั้งใจเอ่ยกับหยวนกังโดยเฉพาะว่าให้ชวนหนิวโหย่วเต้าไปด้วยกัน

“เสวียนเวยแห่งแคว้นเว่ยหรือ?” หนิวโหย่วเต้าผงะไปเล็กน้อย นามนี้ทั้งคุ้นหู แล้วก็รู้สึกแปลกหูเช่นกัน จึงเอ่ยถามด้วยความสงสัย “คนที่เจ้าพูดถึง อย่าบอกนะว่าเป็นมหาเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเว่ยคนนั้น?”

หยวนกังตอบว่า “นางนั่นแหละ บังเอิญพบกันเข้า ข้างกายนางยังมีซีเหมินชิงคง ยอดฝีมืออันดับหนึ่งแห่งทำเนียบโอสถด้วย”

ทั้งหมดได้ฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจ ต่างมองหน้ากันไปมา คนระดับเสวียนเวย คนปกติทั่วไปถึงอยากพบก็ไม่มีทางได้พบ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องบังเอิญพบกันเลย

หนิวโหย่วเต้าก็แปลกใจเช่นกัน “เจ้าบังเอิญพบนางได้อย่างไร?”

หยวนกังกล่าวว่า “เรื่องนี้เล่าแล้วยาว” บางเรื่องเขาก็ไม่อยากจะเอ่ยถึงต่อหน้าคนจำนวนมาก

“หากยาวก็กลับไปแล้วค่อยๆ คุยกันเถอะ” หนิวโหย่วเต้าพินิจเขาหัวจรดเท้า จากนั้นเอ่ยถาม “เหตุใดถึงหน้าแดง?”

หยวนกังเลิกแขนเสื้อขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนที่แดงก่ำเช่นเดียวกัน “แดงไปทั้งตัวแล้ว เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

หนิวโหย่วเต้าตอบอืม ไม่ได้ซักถามอะไรมากอีก โบกมือเอ่ยไปว่า “ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนเถอะ”

หยวนกังหันหลังเดินออกไป

ก่วนฟางอี๋กลับยื่นพัดกลมในมือออกไปขวางหยวนกังไว้เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาจะถามไถ่ทักทาย “ไม่เคยพบกันมาก่อน สมควรต้องเรียกขานอย่างไร?”

หยวนกังปรายตามองอย่างเย็นชา ยกมือดันแขนของนางออกไป คร้านจะสนใจด้วยซ้ำ ไม่พูดอะไรเลยสักประโยค สะพายดาบเล่มใหญ่ เดินอาดๆ จากไป

ก่วนฟางอี๋ค่อนข้างมึนงง จากนั้นก็เอ่ยด้วยความโมโหทันที “นี่มันคนประเภทใดกัน ยังมีมารยาทอยู่หรือเปล่า?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มอย่างเข้าใจ หยวนกังกลับมาแล้ว เขาเรียกได้ว่าเสมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกโล่งใจ กลับมาก็ดีแล้ว

พวกต้วนหู่ก็หัวเราะฮ่าๆ เช่นกัน ก่วนฟางอี๋ยังไม่รู้จักนิสัยของหยวนกัง แต่พวกเขากลับรู้กันดี ลูกเล่นมารยาหญิงใช้ไม่ได้ผลกับหยวนกัง หยวนกังไม่ติดกับลูกไม้นี้

จากนั้นไม่นาน หยวนฟางที่ได้ข่าวก็รีบวิ่งมาเช่นกัน ไปพบหยวนกังโดยเฉพาะ หลังจากนั้นก็วิ่งออกจากเรือนไป สั่งการให้คนจัดเตรียมสุราอาหาร

……………………………………………………………….