ตอนที่ 407 นายกเทศมนตรีโอวหยางไม่มีอำนาจ

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 407 นายกเทศมนตรีโอวหยางไม่มีอำนาจ

หลินม่ายตอบเสียงแข็ง “คุณอยากให้ฉันย้ายร้านออก แต่ก็ไม่ควรให้ฉันไปวันนี้นี่คะ ยังไงก็ต้องให้เวลากันสองสามวัน ไม่งั้นจะฉันจะบอกเรื่องนี้ให้สื่อรู้ ให้เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ!”

ผู้จัดการข่งแค่นยิ้มมองเธอ พลางเอ่ยเหยียดหยาม “คุณลองไปหาสื่อดูสิ ดูว่าใครหน้าไหนจะกล้าเผยแพร่เรื่องนี้สู่สาธารณชน!”

หลินม่ายหัวเราะอย่างเย็นชา “ต่อให้พวกคุณปิดกั้นสื่อ ฉันก็ยังมีวิธีอื่นอีก ทำแบบนี้ไปพวกเราก็รังแต่จะเจ็บกันทั้งสองฝั่ง แต่ถ้าไม่ทำก็มีแต่ฉันที่เสียเปรียบ งั้นทำไมฉันจะไม่ลากห้างเจียงเฉิงลงมาด้วยกันล่ะ ใช่ไหมคะ?”

เธอเลิกคิ้ว “คุณใช้สายตาแบบนี้มองฉันเพราะคิดว่าฉันไม่สามารถทำในสิ่งที่ฉันพูดได้ใช่ไหมคะ? คุณไม่เคยเห็นความสามารถในการสร้างปัญหาของฉันใช่ไหม?”

ผู้จัดการข่งตอบอย่างไม่สนใจ “จะสร้างปัญหายังไงก็แล้วแต่คุณเลย แต่คุณต้องเอาร้าน Unique ออกไปก่อนเลิกงานบ่ายวันนี้!”

เขาหยิบเงินห้าหมื่นหยวนออกมาจากลิ้นชัก วางลงบนโต๊ะ “นี่เงินชดเชย คุณแค่ต้องเขียนใบเสร็จรับเงินค่าชดเชยห้าหมื่นหยวน วันนี้ตอนบ่ายก่อนห้าโมงครึ่งให้เอาใบเสร็จมาให้ผมก็พอแล้ว”

หลินม่ายลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วทำตามที่เขาบอก เขียนใบเสร็จรับเงินและนำเงินห้าหมื่นหยวนใส่กระเป๋าแล้วจากไป

ผู้จัดการข่งมองแผ่นหลังของเธอ เจ็บปวดเป็นอย่างมาก

ห้าหมื่นหยวน ห้าหมื่นหยวนเต็มๆ!

แม้ห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิงจะเป็นห้างที่มีชื่อเสียงที่สุดและทำกำไรได้มากที่สุด แต่เงินห้าหมื่นหยวนไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย

ในฐานะผู้จัดการฝ่ายขาย เขาเข้าใจดีกว่าทุกคนว่าการหาเงินเป็นเรื่องยากเพียงใด

เพื่อยอดขายและกำไร เขาต้องใช้สมองคิดอย่างหนักทุกวัน แต่ตอนนี้กลับเสียเงินห้าหมื่นหยวนไปง่ายๆ จะไม่เรียกว่าเจ็บปวดได้อย่าง!

แต่เจ็บปวดไปก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องทำตามคำสั่งจากเบื้องบน

การสูญเสียครั้งใหญ่นี้ไม่เพียงแต่จะต้องเสียเงินค่าชดเชยห้าหมื่นหยวน แต่ยังต้องปล่อยห่านทองคำอย่าง Unique ไปด้วย

ไม่รู้ว่านโยบายนี้มาจากสมองของผู้นำคนไหน จะนำทุนต่างชาติเข้ามา แล้วทำไมต้องถอดร้าน Unique ออกไปด้วย?

ชั้นสองของห้างสรรพสินค้าออกจะใหญ่ขนาดนั้น ให้มุมหนึ่งกับ Unique ก็ไม่ได้!

หลินม่ายไม่รับรู้ถึงคำบ่นมากมายในใจของผู้จัดการข่ง

เธอไปถึงร้านของตัวเอง พูดกับพนักงานขายที่กำลังกังวลใจสองสามคนว่า “มีชีวิตชีวาหน่อย เป็นพระหนึ่งวันก็ต้องทำงานหนึ่งวัน”

พนักงานขายหลายคนต่างเรียกกำลังใจในการบริการลูกค้า

หลินม่ายถือโอกาสที่พวกหล่อนกำลังว่างอยู่ถามขึ้นมาทันที “พวกคุณเคยได้ยินเรื่องซุบซิบเกี่ยวกับสาเหตุที่ห้างให้เราย้ายออกไปบ้างไหม?”

พนักงานขายทั้งหลายส่ายหน้า “ไม่เคยได้ยินเลยค่ะ รู้แค่ว่าจะมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาก็เลยไล่พวกเราไป”

หลินม่ายพยักหน้ารับ ให้พวกเขาไปทำงานครั้งสุดท้ายอย่างวางใจ

พนักงานขายคนหนึ่งถามหลินม่ายอย่างระมัดระวัง “ผู้อำนวยการหลิน ถ้าร้าน Unique ออกไปจากห้างเจียงเฉิงแล้ว พวกเราจะตกงานไหมคะ?”

หลินม่ายยิ้มแล้วตอบว่า “จะเป็นอย่างงั้นได้ยังไงล่ะ! โรงงานฝึกพวกคุณมายากจะตาย พวกคุณไม่ถูกไล่ออกไปง่ายๆ หรอกค่ะ”

เธอกำหมัดแน่น “ก็แค่ต้องคิดต่อไปไม่หยุด วิกฤตครั้งนี้ย่อมมีทางออกอยู่แล้ว ถึงพวกเราจะต้องออกไปจากห้างก็ยังมีวิธีซื้อขายต่อ วางใจเถอะ ฉันไม่ทิ้งพวกคุณแน่”

พนักงานขายจึงมีกำลังใจขึ้นมา

หลินม่ายออกมาจากห้าง ตรงไปที่ว่าการเขต อยากขอให้นายกเทศมนตรีโอวหยางช่วย

นายกเทศมนตรีโอวหยางฟังเรื่องจบก็ตกใจมาก “ยังมีเรื่องแบบนี้อีกเหรอ? เพื่อให้นายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนจึงขัดขวางธุรกิจท้องถิ่น ผมจะช่วยโทรไปถามให้แล้วกันว่าผู้นำคนไหนเป็นคนสั่ง”

หลินม่ายกล่าวขอบคุณ นั่งรออยู่บนโซฟา ฟังนายกเทศมนตรีโอวหยางคุยโทรศัพท์

หลังจากคุยโทรศัพท์ไม่นาน นายกเทศมนตรีโอวหยางก็ตอบหลินม่ายอย่างลำบากใจ “เบื้องบนคือผู้อำนวยการหูของคณะกรรมการปฏิรูปและการพัฒนาแห่งชาติจีนสั่งลงมา ผมคงเข้าไปแทรกแซงไม่ได้”

หลินม่ายยิ้มอย่างเข้าใจ “เท่านี้ก็ขอบคุณมากแล้วค่ะ”

แค่รู้ว่าเป็นใครเป็นเบื้องบนที่สั่งการลงมาก็พอแล้ว เธอสามารถรายงานไปถึงผู้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการหูถึงสถานการณ์เช่นนี้ได้โดยตรง

เห็นได้ชัดว่าคำสั่งของผู้อำนวยการหูนั้นไร้สาระมาก ผู้บังคับบัญชาของเขาอาจจะไม่เห็นด้วย เป็นไปได้ถึงแปดในสิบว่าคำสั่งของผู้อำนวยการหูอาจจะทำลับหลังผู้บังคับบัญชา

ตราบใดที่เธอแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาของผู้อำนวยการหูทราบได้ เธอก็อาจจะพลิกสถานการณ์ได้

หลังออกมาจากที่ว่าการเขต หลินม่ายก็มองนาฬิกา พบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงครึ่งแล้ว

โชคดีที่มีจักรยานช่วยประหยัดเวลาที่ใช้บนถนน ไม่งั้นเธอคงยุ่งวุ่นวายกว่านี้

เธอสัญญากับฟู่เฉียงไว้ว่าต้องเข้าไปคุยเรื่องการผ่าตัดของแม่เขากับคุณหมอ พูดไปแล้วก็ต้องรักษาคำพูด

หลินม่ายวางงานของตัวเองลงชั่วคราว ปั่นจักรยานไปที่วิลล่า ฟู่เฉียงพาแม่เสียสติมานั่งรอเธออย่างใจจดใจจ่อ

ทั้งสามคนมาถึงโรงพยาบาล ตรงไปหาหมอที่วินิจฉัยแม่ของฟู่เฉียงครั้งก่อน

หมอแนะนำว่าแม่ของฟู่เฉียงควรเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด ตรวจร่างกายอย่างละเอียด เชิญผู้เชี่ยวชาญมาเพื่อดูว่าจะผ่าเอาเนื้องอกในสมองออกไปอย่างไร

ก้อนเนื้องอกของหล่อนเติบโตนอกตำแหน่ง กดทับเส้นประสาทที่สำคัญ การผ่าตัดนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงมาก

ฟู่เฉียงฟังแล้วก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

หลินม่ายขอให้คุณหมอเขียนคำขอเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและพาสองแม่ลูกเข้าพักรอผ่าตัด

ในขณะที่กำลังต่อแถวจ่ายเงิน จู่ๆ ฟู่เฉียงก็ร้องไห้ออกมา

แม่เสียสติของเขาเห็นลูกชายร้องไห้ก็สับสน ยื่นมือหยาบกร้านออกมาเช็ดน้ำตาให้เขา “ฉัน ฉันจะไม่วิ่งไปทั่วแล้ว ฉันจะเชื่อฟัง เชื่อฟังที่พูด” พูดจบก็ร้องไห้ออกมา

หลินม่ายเห็นแล้วก็สีหน้าเปลี่ยนนิดหน่อย

แม่ของฟู่เฉียงมีอาการผิดปกติทางจิตเพราะมีเนื้องอกในสมอง ทำให้บางครั้งหล่อนก็จำลูกตัวเองไม่ได้

แต่ตอนที่ลูกถูกรังแก หล่อนจะเข้าไปต่อสู้กับคนที่รังแกลูกของตนโดยไม่รู้ตัว

เมื่อลูกปวดใจ หล่อนเองก็ปวดใจด้วย

นี่เป็นความรักบริสุทธิ์และแท้จริงที่สุดของคนเป็นแม่ แม้ว่าจะไม่มีสติ แต่ในใจก็ยังมีลูกของตนเองอยู่

ฟู่เฉียงเห็นแม่ร้องไห้ จึงอดทนไม่ร้องออกมา เช็ดน้ำตาให้แม่

หลินม่ายถาม “เธอกังวลว่าแม่จะไม่ฟื้นขึ้นมาหลังจากการผ่าตัดใช่ไหม? แต่ถ้าแม่ของเธอไม่ผ่าตัด มันก็อาจจะอันตรายถึงชีวิตได้ทุกเมื่อ ให้ความมั่นใจกับแม่ของเธอเถอะ หล่อนจะต้องหายดีจากการผ่าตัดแน่นอน”

ฟู่เฉียงสะอื้นและพยักหน้ารับ

จ่ายเงินเสร็จ ทั้งสองคนก็พาแม่ของฟู่เฉียงไปที่แผนกผู้ป่วยใน

ฟางจั๋วหรานเพิ่งสอนนักเรียนเสร็จ และกลับมาที่แผนกผู้ป่วยในเพื่อตรวจอาการผู้ป่วยสาหัสที่ผ่าตัดไป

ทันใดนั้นก็เห็นหลังหลินม่ายอยู่ไกลๆ

แม้เขาจะเรียกชื่อเธอหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่ตอบรับ

ฟู่เฉียงที่อยู่ข้างๆ เธอเป็นคนเตือนว่ามีคนเรียกเธอ เธอจึงหันกลับไปดูและเห็นฟางจั๋วหราน

หลินม่ายประหลาดใจเล็กน้อย “ในที่สุดก็เจอคุณแล้ว!”

ฟางจั๋วหรานเดินไปอยู่ข้างเธอ ลูบศีรษะเธอเบาๆ “คิดอะไรอยู่ ผมเรียกคุณตั้งหลายครั้ง แต่คุณก็ไม่ได้ยิน”

หลินม่ายกำลังคิดว่า หลังจากพาแม่ของฟู่เฉียงเข้าไปที่แผนกผู้ป่วยในแล้ว เธอควรจะไปพบผู้บัญชาการท่านไหนเพื่อรายงานการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้อำนวยการหู

เมื่อเห็นฟางจั๋วหราน เธอก็ตื่นเต้นขึ้นมาแวบหนึ่ง อยากให้เขาหาคนมาช่วยเธอในเรื่องนี้ ด้วยเส้นสายของเขาแล้ว เขาต้องทำได้แน่

แต่คิดไปคิดมา ก็กลืนคำพูดในปากกลับลงไป

ให้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านศัลยกรรมต้องแบ่งพลังชีวิตมาสนใจกับเรื่องวุ่นๆ ของเธอเนี่ยนะ คงโดนสวรรค์ลงโทษตาย

เธอหัวเราะ “ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่กังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ฟู่เฉียงน่ะค่ะ”

ฟางจั๋วหรานถามเกี่ยวกับอาการป่วยของแม่ฟู่เฉียงและดูภาพเอ็กซเรย์ของหล่อน

“ถึงการผ่าตัดแบบนี้จะเสี่ยงมาก แต่ในโรงพยาบาลมีศาสตราจารย์หลายคนที่เคยผ่าตัดแบบนี้มาก่อน อัตราความสำเร็จสูง การผ่าตัดที่มีความเสี่ยงสูงเป็นการทดสอบประสบการณ์และทักษะของผู้ผ่าตัด ตราบใดที่ทักษะการผ่าตัดและประสบการณ์สูงพอ ความเสี่ยงก็จะลดลงมาก”

หลินม่ายพูดกับฟู่เฉียง “ได้ฟังคุณลุงฟางพูดแล้วสบายใจขึ้นบ้างไหม?”

ฟู่เฉียงถามอย่างตะกุกตะกัก “คุณลุงฟาง คุณผ่าตัดให้แม่ผมได้ไหมครับ?”

ช่วงนี้เขามักจะมาที่โรงพยาบาล ได้ยินหลายคนพูดถึงข่าวลือของฟางจั๋วหราน

แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงรองศาสตราจารย์ แต่ทักษะทางการแพทย์ของเขาไม่ได้น้อยไปกว่าศาสตราจารย์อาวุโส

เขายังมีข้อได้เปรียบที่ศาสตราจารย์อาวุโสอยู่ นั่นก็คือพละกำลัง

ตอนนี้ที่โรงพยาบาลมีคนไข้สาหัสต้องผ่าตัดอยู่มาก ศาสตราจารย์อาวุโสหลายคนมีข้อจำกัดด้านพลังกาย ไม่กล้าทำ เขาจึงทำทั้งหมด

เป็นศัลยแพทย์ ยิ่งผ่าตัดมากเท่าไร ประสบการณ์ก็จะยิ่งมากเท่านั้น ทักษะทางการแพทย์ยิ่งดี

นั่นทำให้ทักษะทางการแพทย์ของฟางจั๋วหรานโดดเด่นมากขึ้น คนสำคัญหลายคนต่างเสนอชื่อเขาให้เป็นหัวหน้า

ฟู่เฉียงจึงอยากให้อีกฝ่ายผ่าตัดให้แม่ของเขา

จริงๆ ฟางจั๋วหรานไม่ชอบเปิดประตูหลัง

ตอนที่พ่อแม่ของฟู่เฉียงมาที่โรงพยาบาลที่เขาทำงานอยู่ เขาก็ไม่ได้ไปช่วยเรื่องลงทะเบียน เพราะคนที่มารักษาที่โรงพยาบาลผู่จี้ส่วนใหญ่เป็นคนไข้สาหัสทั้งสิ้น

ผู้คนลำบากกันมากมายเพื่อมาต่อแถวลงทะเบียนเพราะอยากได้รับการรักษาเร็วขึ้น แต่ถ้าคนรู้จักของเจ้าหน้าที่ลัดคิว ทุกคนก็ต้องไปต่อข้างหลังอีก ไม่เป็นธรรมกับผู้ป่วยสาหัสและญาติของผู้ป่วย

แต่อาการของแม่ฟู่เฉียงไม่ดี ดังนั้นก็พอจะเปิดประตูหลังให้ได้ เพราะชีวิตมนุษย์ถือเป็นเรื่องสำคัญ

ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ผมจะลองคุยกับผู้บังคับบัญชาของผม หวังว่าจะได้เป็นคนผ่าตัดให้แม่เธอนะ”

ศัลยแพทย์ที่ยอดเยี่ยมเช่นเขามีตารางการผ่าตัดแน่นทุกวัน

หากต้องการผ่าตัดเคสหนึ่งก็ต้องคุยกับผู้บังคับบัญชาก่อน ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้

ฟู่เฉียงกล่าวขอบคุณไม่หยุด

เมื่อมาถึงแผนกผู้ป่วยใน จัดที่ที่เหมาะสมให้แม่ของฟู่เฉียงแล้ว หลินม่ายก็บอกให้ฟู่เฉียงดูแลแม่ให้ดี

เธอคิดหาวิธีที่ดีในการจัดการกับวิกฤติของ Unique ได้แล้ว

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ให้ใครไปคุยกับผู้อำนวยการหูดี? ต้องเป็นคนใหญ่คนโตที่มีอำนาจพอๆ กันด้วยนี่สิ

ลุ้นเลยว่าพี่หมอจะได้ผ่าตัดให้แม่ฟู่เฉียงไหม

ไหหม่า(海馬)