ตอนที่ 258 ในแขนงนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเอาชนะนักพรตไร้เงินผู้นี้ได้! (2)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

ตอนที่ 258 ในแขนงนี้ ย่อมไม่มีผู้ใดเอาชนะนักพรตไร้เงินผู้นี้ได้! (2)

หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์ทั้งห้าของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็แอบเข้าไปในค่ายกลเขาวงกต ‘นิทรรศการศิลปะ’ หลี่ฉางโซ่วปิดค่ายกลเพื่อปล่อยให้พวกเขาสังเกตสถานการณ์ในภูเขาด้านหลังได้อย่างชัดเจน… ไม่นานหลังจากนั้น จิ่วอูก็ก้มตัวลงเดินมาหาหลี่ฉางโซ่วเงียบๆ

จากนั้น เขาก็ถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ฉางโซ่ว ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”

“ท่านอาจารย์ลุงถามเช่นนี้ มีเรื่องอันใดหรือไม่?”

“ท่านอาจารย์ของข้า และปรมาจารย์ใหญ่ของเจ้า อย่ามาแสร้งทำตีมึน[1]กับอาจารย์ลุงของเจ้านะ!”

จิ่วอูถามผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “พวกเขากลับมาคืนดีกันอีกใช่หรือไม่?”

“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ข้าเป็นเพียงศิษย์น้อยธรรมดา ย่อมไม่กล้าถามถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างผู้อาวุโสเหล่านี้ขอรับ”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มอย่างสงบและถามว่า “ท่านอาจารย์ลุง ท่านและท่านอาจารย์ลุง และอาจารย์ป้าท่านอื่นๆ คิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือขอรับ?”

“พวกเราจะทำอันใดได้อีกเล่า? พวกเราเป็นศิษย์ จะเข้าไปยุ่งเรื่องของอาจารย์ได้หรือเล่า?”

จิ่วอูยิ้มและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงต่อไป

“แน่นอนว่านี่เป็นโอกาสที่น่ายินดี ก่อนหน้านี้ พวกเราได้ยินมาจากศิษย์พี่หญิงคนโตมาหลายครั้งว่า ท่านอาจารย์มีสตรีที่รักอย่างสุดซึ้ง ส่วนใหญ่ ท่านอาจารย์จะจ้องมองภาพเหมือนอย่างเหม่อลอย ภาพเหมือนนั้น ทั้งสีและหมึกทั้งหมดล้วนจางลงมากและดูเลือนรางแล้ว แต่กระนั้น ท่านอาจารย์ก็ยังคงไม่ยอมทิ้งมันไป เมื่อเสี่ยวจิ่วเข้ามาในสำนัก ท่านอาจารย์ก็พานางมาที่นี่สองสามครั้ง มีพวกเราเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าสตรีที่ท่านอาจารย์เอาแต่คิดถึงคือ ท่านอาจารย์อาเจียงผู้นี้”

จิ่วอูหยุดไปครู่หนึ่ง และหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยถามผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “หากพวกเราทำสำเร็จได้จริงๆ แล้วศิษย์หลานจะให้ของขวัญแสดงความยินดีกับท่านปรมาจารย์ใหญ่เช่นไรหรือ?”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าทำได้ดีก็มีเพียงแค่การหลอมโอสถและบ่มสุราขอรับ”

จิ่วอูขยิบตาทันทีและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ของข้ามีฐานพลังปราณสูงส่ง เขาฝึกบำเพ็ญในการละวาง[2]มานานหลายปีแล้ว จะไปต้องการสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรกัน!”

“โอ้?” หลี่ฉางโซ่วกะพริบตา “ฟังจากที่ท่านอาจารย์ลุงกล่าวแล้ว ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ละวางเลยใช่หรือไม่? ท่านอาจารย์ป้าจิ่วซือ โปรดอย่าชักกระบี่ขอรับ!”

“เฮ้!”

จิ่วอูตื่นตกใจยิ่ง เขารีบพุ่งตัว และกระโดดลงไปในทะเลสาบในคราวเดียวด้วยความเร็วสูงปานสายฟ้าฟาด

จิ่วอูหันศีรษะไปมองและเห็นหลี่ฉางโซ่วกำลังยืนอยู่ลำพังคนเดียวใต้ต้นหลิว ขณะนี้ คู่บำเพ็ญเต๋าของเขาอยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง ดูเผินๆ แล้ว ดูเหมือนว่า นางมากับศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงของนางเพื่อ “ชื่นชมและประเมิน” ภาพวาด แต่แอบสังเกตการกระทำที่อยู่บนภูเขาด้านหลัง บัดนั้น จิ่วอูก็จ้องมองหลี่ฉางโซ่วด้วยสายตาขุ่นเคือง

นักพรตเต๋าร่างเตี้ยคลานขึ้นมาจากทะเลสาบในลักษณะที่น่ากลัวและสะบัดน้ำออกจากเสื้อคลุมเต๋าของเขาก่อนจะกระทืบเท้าและตวาดเสียงลั่นว่า “มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้วิธีกลั่นแกล้งข้า อาจารย์ลุงของเจ้า!”

หลี่ฉางโซ่วมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างสงบพลางส่งเสียงหัวเราะและกล่าวผ่านการส่งข้อความเสียงว่า “ท่านอาจารย์ลุง ท่านมีเรื่องอะไรปิดบังในใจ[3]อยู่หรือไม่? หรือว่า ท่านกำลังมองหาปีศาจจิ้งจอกที่ถูกกักขังอยู่นอกสำนัก?”

“ไปลงนรกของเจ้าเถิด อย่ามาใส่ความข้า ทำให้ความบริสุทธิ์ของข้าแปดเปื้อน!”

จิ่วอูกอดอก สอดมือของเขาเอาไว้ในแขนเสื้อและก่นด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ข้าไม่คิดเป็นอื่น ข้ารักซือซือ ทั้งสุริยันจันทรา ฟ้าดินล้วนเป็นพยานพิสูจน์ถึงความทุ่มเทของข้าที่มีต่ออาจารย์ป้าของเจ้าได้ ไม่มีนอกใจเด็ดขาด !

แค่กๆ ตอนนี้มาพูดถึงเรื่องสำคัญกันดีกว่า ฉางโซ่ว ศิษย์พี่หญิงคนโตของข้าได้ยินมาว่า ท่านอาจารย์อาเจียงมีสหายสนิทอยู่ภายนอกมากมาย… เจ้าว่าในบรรดาคนเหล่านี้ มีผู้ใดบ้าง… เอ่อ…พูดแบบนี้ก็ไม่ค่อยดีนะ ในฐานะศิษย์ พวกเราก็เพียงแค่กังวลว่าจะมีใครสักกี่คนที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมาเป็นคู่แข่งกับท่านอาจารย์ของเรา เพราะความหึงหวงนั้น ย่อมจะส่งผลต่อสภาพจิตใจของท่านอาจารย์ในการฝึกบำเพ็ญเต๋าอย่างแน่นอน ท่านอาจารย์ใกล้จะต้องข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์แล้ว จึงย่อมเป็นการดีที่สุดที่จะหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนั้น”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ท่านอาจารย์ลุง โปรดอย่ากังวลไป ข้าจะถามเรื่องนี้กับท่านปรมาจารย์ใหญ่ในภายหลัง”

จิ่วอูรีบกล่าวว่า “เช่นนั้นต้องขอบใจเจ้า ข้ารบกวนศิษย์หลานฉางโซ่วแล้ว”

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ท่านอาจารย์ลุง ข้ามีเรื่องจะถามท่านด้วยขอรับ”

“โอ้? พูดมาเลย”

ทันใดนั้น หลี่ฉางโซ่วก็หยิบม้วนกระดาษออกมาแล้วยัดเข้าไปในอ้อมแขนของจิ่วอูทันทีก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “นี่เป็นคำแนะนำเล็กน้อยสำหรับท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง ในท้ายที่สุด ท่านปรมาจารย์ใหญ่ของข้า ก็ยังห่วงใบหน้าบางๆ และคงความหยิ่งทะนงของนางเอาไว้ จึงย่อมดีกว่าที่จะให้ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งเป็นฝ่ายเริ่มเรื่องนี้ก่อน”

ดวงตาของจิ่วอูเปล่งประกาย เขาใส่ม้วนกระดาษเล็กนั้นลงไปในถุงเก็บสมบัติที่เย็บไว้ในแขนเสื้ออย่างไร้ร่องรอย

ทั้งสองมองหน้ากันแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน

“พวกเจ้าสองคนซุบซิบเรื่องใดกัน?”

จิ่วซือเอ่ยทัก แล้วร้องเรียกมาจากทางด้านหลัง “อูอูมานี่สิ มาดูว่าภาพวาดนี้เป็นอย่างไร? ข้าอยากใช้ศิลาวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับมันแล้วนำกลับไปตกแต่งในห้องของเรา”

จิ่วอูตกลงและรีบถอยกลับทันที

หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงดังชัดเจนว่า “ภาพวาดที่นี่ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของศิษย์ที่วาดขึ้นมาเป็นการฝึกใช้พู่กันในยามที่รู้สึกเบื่อ หากท่านอาจารย์ป้าชื่นชอบ ก็เอาไปได้เลยขอรับ”

จิ่วฉี ศิษย์คนที่เจ็ดของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งยิ้มและกล่าวมาจากทางด้านข้างว่า “เจ้าเรียกภาพวาดในระดับนี้ว่าเป็นเพียงงานพู่กันธรรมดาของเจ้า ศิษย์หลาน เจ้ายังมีภาพวาดที่ถึงขั้นน่าทึ่งมากหรือไม่? เอามันออกมาให้พวกเราได้เปิดหูเปิดตากันสักหน่อยเถิด”

หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางส่ายศีรษะทันที

จิ่วอูที่อยู่ข้างๆ จึงแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเจ็ด อย่าถามเรื่องนั้นมากเกินไป เจ้าต้องไม่เคยเห็นภาพวาดผลงานชิ้นเอกของศิษย์หลานฉางโซ่ว!”

จิ่วฉีเริ่มสนใจและรีบตามไปไต่ถามจิ่วอูทันที

ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วซึ่งอยู่ด้านข้างไม่เอ่ยวาจาใดๆ

อันที่จริง ภาพวาดชิ้นเอกที่อาจารย์ลุงจิ่วอูรู้นั้น ก็คือ ภาพวาด ‘จักรพรรดินีชราไป่เหมย’ ซึ่งเป็นเพียงผลงานชิ้นเอกชิ้นเล็กๆ ไม่ใช่ผลงานชิ้นที่ดีที่สุดที่เขาสร้างขึ้นมาจริงๆ

บัดนี้ เขามีผลงานชิ้นเอกที่ดีกว่าแล้ว!

หลี่ฉางโซ่วส่งเสียงร้องแผ่วเบาออกมาจากใจทันที…

เทพแห่งท้องทะเลอยู่ที่นี่หรือไม่… เทพแห่งท้องทะเล… สหายเต๋า… ท่านได้ยินข้าหรือไม่…

หือ?

เสียงร้องตะโกนดังขึ้นเป็นระยะๆ และมี ‘สัญญาณ’ อ่อนมาก

หลี่ฉางโซ่วสอดมือซ้ายของเขาเข้าไปในแขนเสื้อ และทำมุทราหยั่งรู้ทันทีเพื่อดูว่าเจตจำนงวิญญาณของเขาไปตามเสียงและตกลงไปบนรูปปั้นเทพที่เขาถูกเรียกให้ไป

หลี่ฉางโซ่วตื่นตกใจเช่นกันเมื่อมาถึงรูปปั้น

นั่นไม่ใช่รูปปั้นเทพแห่งท้องทะเลจริงๆ

ที่แห่งนั้นเป็นหมู่บ้านชาวประมงริมชายฝั่งทะเล ซึ่งประดิษฐานรูปปั้นดินเหนียวที่ระบุตัวอักษรใหญ่ว่า เทพแห่งท้องทะเล…

ทว่าสถานที่นั้นก็ถือได้ว่าเป็นสถานที่รวมบุญเครื่องสักการะด้วย สภาพรูปปั้นดินเหนียวนี้ ก็ย่อมเกี่ยวข้องกับตัวเขาเองด้วยเช่นกัน

รูปปั้นดินเหนียวธรรมดาเช่นนี้ ไม่ถือว่ารวมอยู่ในรายการรูปปั้นเทพมากกว่าสองหมื่นสามพันหกร้อยรูปปั้นที่เขามีอยู่ในเวลานี้

แต่เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เขาก็สามารถเตือนเทพแห่งท้องทะเลในสถานที่แห่งนั้นได้โดยตรง และยังส่งเสียงร้องเข้าไปถึงในใจของเขาผ่านการส่งข้อความเสียงได้อีกด้วย…

ผู้ที่กำลังตะโกนเรียกนั้น เป็นคนสำคัญ

หลี่ฉางโซ่วใช้เจตจำนงวิญญาณของเขาสังเกตดูผ่านรูปปั้นดินเหนียว ซึ่งพบว่ารู้สึกคุ้นเคยกับนักพรตเต๋าผู้นั้น แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นเขาที่ใด จึงยิ่งจับตาดูเขาอย่างระมัดระวังมากขึ้น

คนผู้นั้นสูงผอม แต่งกายด้วยเสื้อคลุมเต๋าหลวมๆ สีเหลืองอ่อน เขาติดที่ติดผมนักพรตเต๋าธรรมดาทั่วไป และมีฝ่ามือทั้งสองข้างที่ดูเหมือนพัด กิริยาท่าทางโดยรวมของเขาให้ความรู้สึกอิสระไร้กังวลและสง่างาม

เขามีใบหน้าคมและดูแปลกประหลาด หน้าผากกว้างและยาว ดวงตาเรียวยาว ดูคล้ายกับดวงตาของรองเจ้าสำนักของเขา อ๋าวอี่ …

ยิ่งกว่านั้น คนผู้นั้นได้แผ่พลังสะกดข่มออกมาเล็กน้อยและมีอักขระเต๋าลึกลับแห่งการกลับคืนสู่ธรรมชาติพื้นฐาน

ในด้านของฐานพลังปราณแล้ว เขาต้องเป็นระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน

นักพรตเต๋าชราประสานมือคารวะและร้องตะโกนออกมาอีกครั้งว่า “ท่านเทพแห่งท้องทะเล ท่านได้ยินข้าหรือไม่? เทพแห่งท้องทะเลอยู่ที่นี่หรือไม่?”

ในขณะนั้น มีมนุษย์หญิงวัยกลางคนที่ถือตะกร้าไม้ไผ่บังเอิญเดินผ่านมา จึงอดจะเอ่ยเตือนเขาไม่ได้ว่า “ชายชราผู้นี้แปลกจริงๆ เหตุใดถึงตะโกนใส่รูปปั้นเทพแห่งท้องทะเล? เรามีแค่รูปปั้นเทพเล็กๆ ที่เรานำกลับมา หากประสงค์จะบูชาเทพแห่งท้องทะเลจริงๆ ก็ไปที่วิหารหลักในเมืองเถิด!”

“ขอบคุณที่เตือน ขอบคุณที่เตือน”

นักพรตชราผู้นั้นปาดเหงื่อออกจากหน้าผากก่อนจะหันหลังกลับแล้วขี่เมฆบินตรงไปยังเมืองใหญ่ที่ใกล้ที่สุด

หญิงวัยกลางคนที่ผ่านมา อดจะตกใจไม่ได้ ตะกร้าไม้ไผ่ที่ข้อมือของนางตกลงไปที่พื้น และสิ่งของที่อยู่ในนั้นก็ร่วงหล่นกระจายออกไปทั่วพื้น…

พวกมันเป็นปลาเค็มเก่าๆ

………………………………………………………….

[1] ทำเป็นไม่รู้

[2] รักษาความบริสุทธ์หรือพรหมจรรย์

[3] ทำเรื่องไม่ดีไว้กลัวคนจะรู้