บทที่ 415 หลังจากคืนนี้ไป คุณอาจจะยิ่งเกลียดฉันมากขึ้น

ปลอบใจฉัน ด้วยรักเธอ

บ่ายวันนั้น ทั้งสองคนบินมาถึงหนิงเฉิงแล้ว

เพราะว่าหันจื่ออี้รู้ว่าจะต้องกลับมา ดังนั้นจึงได้จัดการเตรียมแม่บ้านไว้ล่วงหน้าหนึ่งคน

เมื่อทั้งสองคนมาถึงบ้าน แม่บ้านก็ทำอาหารไว้เสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากทานอาหารเสร็จ ฮั่วชิงชิงก็เอ่ยถามว่า : “จะไปดำเนินการเมื่อไหร่เหรอคะ?”

รูม่านตาของหันจื่ออี้หดลงเล็กน้อย แล้วพูดว่า : “อีกสักครู่ฉันจะออกไปเจอลูกค้าท่านหนึ่ง วันนี้ไม่สามารถดำเนินการได้ ส่วนพรุ่งนี้ก็เป็นวันหยุด คาดว่าเร็วที่สุดน่าจะเป็นอาทิตย์หน้า”

ฮั่วชิงชิงไม่มีทางเลือก นอกจากตอบตกลง จากนั้นก็ทานต่ออีกสองสามคำแล้วก็ไปนอนห้องนอนสำหรับแขก

หันจื่ออี้เห็นเธอไปที่ห้องนั้น อยากจะพูดอะไร แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ได้พูด

คืนนั้นเมื่อหันจื่ออี้กลับมา ห้องของฮั่วชิงชิงปิดไฟไปแล้ว เขาคิดว่าเธอหลับแล้ว จึงไม่อยากไปรบกวนเธอ

แต่สองวันหลังจากนั้น ฮั่วชิงชิงก็อยู่แต่ในห้องของตนเอง ไม่ยอมออกมาเลย

ตอนแรก หันจื่ออี้คิดว่าเป็นเพราะฮั่วชิงชิงไม่อยากเจอเขา ด้วยเหตุนี้ในวันอาทิตย์ที่เขาต้องออกจากบ้านไป ก็ให้แม่บ้านคอยดูฮั่วชิงชิงไว้

แต่ตอนกลางคืนเมื่อเขากลับมา แม่บ้านก็บอกว่า ฮั่วชิงชิงก็ยังคงไม่ออกมาเหมือนเดิม

หัวใจของเขาดังขึ้นมาเหมือนระฆัง

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นว่าห้องของฮั่วชิงชิงมืดไม่มีไฟแล้ว แต่เวลานี้เพิ่งจะสามทุ่ม หันจื่ออี้จึงแอบเปิดประตูเบาๆ

เมื่อเปิดออกเขาก็เห็นว่า เดิมทีฮั่วชิงชิงยังไม่ได้นอน แต่นั่งอยู่ข้างๆเตียงคนเดียว ไม่ขยับเคลื่อนไหว ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก

หัวใจของเขารู้สึกขมขื่นขึ้นมา คิดอยากจะเข้าไป แต่ก็กลัวเธอจะตกใจ ฉะนั้นจึงค่อยๆถอยออกมา

เขาถามแม่บ้านว่า : “คุณผู้หญิงเป็นอย่างนี้ตลอดทั้งวันเลยเหรอ?”

แม่บ้านพยักหน้า : “นอกจากคุณผู้หญิงทานข้าวและไปเข้าห้องน้ำแล้ว ก็จะเป็นอย่างนี้ตลอด ฉันพูดกับเธอ เธอก็ไม่สนใจฉันเลย อีกอย่างเธอทานอาหารน้อยมาก ทานน้อยกว่าแมวที่ฉันเลี้ยงมาก่อนหน้านี้เสียอีก ฉันกลัวจริงๆเลยว่าถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร่างกายของคุณผู้หญิงจะแย่ลงได้”

หันจื่ออี้พยักหน้าให้แม่บ้าน บอกใบ้ให้เธอออกไป หลังจากนั้นก็ไปที่ห้องหนังสือ

ตอนนี้เขายังคงจำได้ทั้งหมด ว่าวันนั้นฮั่วชิงชิงตัดสินใจกระโดดลงมาอย่างไร

จนกระทั่งทุกๆครั้งที่นึกถึง ก็รู้สึกใจหายทุกที

ตอนนี้เธอก็ไม่ทำอะไรเลย ไม่มีความสุขแบบนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี จึงจะสามารถเปลี่ยนเธอกลับไปเป็นฮั่วชิงชิงคนเดิมคนนั้นได้?

ในตอนแรก จริงๆแล้วเขายังคิดจะปล่อยให้เธอไปเป็นอิสระ แต่เมื่อเห็นท่าทีของเธอที่เป็นอย่างนี้แล้ว เขาก็เปลี่ยนใจ

เขาไม่สามารถหย่ากับเธอได้ ถ้าเขาปล่อยเธอไป เธอตัวคนเดียว ยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง!

แต่เรื่องราวระหว่างพวกเขามันล้มเหลวไปแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้ เช่นนั้น เขาควรจะทำอย่างไรดี?

หันจื่ออี้รู้สึกว้าวุ่นใจ คิดอยู่นานก็หาทางออกไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงหยิบมือถือขึ้นมา แล้วเลื่อนดูเพื่อนในกลุ่ม

เพื่อนของเขา จำนวนไม่น้อยที่แต่งงานแล้ว มีลูกจนเรียนชั้นอนุบาลแล้ว

เขาเห็นว่า เพื่อนตอนมัธยมปลายของเขากำลังอวดลูกสาวที่ไปเข้าร่วมการวาดภาพ ซึ่งได้วาดรูปรูปหนึ่งให้พ่อของเธอด้วย

จู่ๆหัวใจของหันจื่ออี้ก็สั่นหวั่นไหว!

จำได้ว่าฮั่วชิงชิงเคยบอกว่า ก่อนหน้านี้เธอชอบวาดภาพ ตอนเด็กๆก็เคยเรียนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่ง เคยได้รับใบประกาศตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย และยังเคยคิดว่าจะเรียนวิชาโทเป็นศิลปะการออกแบบอีกด้วย

ตอนนี้สภาพจิตใจเธอย่ำแย่อย่างมาก สถานการณ์เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถ้าเขาไปซื้อสีมาให้เธอ ตอนที่เธออยู่บ้านคนเดียว การวาดภาพจะทำให้เธอมีความสุขขึ้นมาบ้างไหมนะ?

นึกถึงตรงนี้แล้ว เขาจึงสั่งซื้อชุดภาพวาดสีน้ำมันบนอินเทอร์เน็ตทันที

วันจันทร์ หลังจากทานข้าวเสร็จแล้ว ในที่สุดฮั่วชิงชิงก็เอ่ยพูดกับหันจื่ออี้ : “จะไปเมื่อไหร่เหรอคะ?”

หันจื่ออี้มองเธอ แล้วกล่าวขอโทษ : “ชิงชิง ขอโทษด้วยนะ วันนี้จู่ๆฉันก็ได้รับโทรศัพท์ของสำนักงานใหญ่จากประเทศอังกฤษทางด้านนั้น มีเรื่องด่วนต้องไปอีกสองวัน คุณรอฉันกลับมานะ”

ฮั่วชิงชิงฟังจบ ก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นก็เงียบไปเลย

หันจื่ออี้เก็บเสื้อผ้าในห้องเพื่อเอาไว้เปลี่ยนและซักเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แล้วเก็บใส่กระเป๋าเดินทาง หลังจากที่ออกไปแล้ว ก็ตรงไปที่บริษัท และให้ผู้ช่วยจัดการหาโรงแรมข้างๆบริษัท เพื่อดำเนินการให้ตนเองเข้าพัก

และเช้าวันต่อมา ของที่หันจื่ออี้สั่งทางอินเทอร์เน็ต เขาก็ได้รับข้อความแล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงโทรไปหาแม่บ้าน และให้แม่บ้านนำมือถือไปให้ฮั่วชิงชิง

“ชิงชิง คุณชอบวาดภาพใช่ไหม? ฉันซื้อของวาดภาพสีน้ำมันมาให้ ตอนกลางวันคุณอยู่บ้านไม่มีอะไรทำ ก็ลองวาดภาพดูก็ได้นะ”

ฮั่วชิงชิงได้ฟังน้ำเสียงที่อ่อนโยนดังออกมา แต่บนใบหน้ากลับไม่แสดงออกใดๆ ได้แค่ตอบไปเรียบๆว่า ‘อืม’

หลายวันมานี้ หันจื่ออี้ต้องโทรหาแม่บ้านสี่ห้าครั้งต่อวัน เพื่อถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของฮั่วชิงชิง

แต่แม่บ้านบอกว่า ฮั่วชิงชิงเปิดพัสดุแล้ว ก็มองสิ่งของเหล่านั้นเป็นเวลานาน ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวใดๆ แล้วก็เดินจากไป

ในทุกๆวันเธอยังคงไม่พูดไม่จา ยืนอยู่ตรงหน้าต่างคนเดียว ข้าวก็ไม่กิน ดูเหมือนว่าจะสามารถจากไปได้ทุกเมื่อ

เวลานี้หันจื่ออี้รู้สึกทุกข์ใจอย่างมาก เขาไม่ได้อยากทำร้ายเธอ แต่กลับทำให้ผู้หญิงที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาคนหนึ่งกลายเป็นคนอย่างนี้ไปได้

เดิมทีตอนบ่ายเขายังมีเรื่องอีกมากมาย แต่ทุกๆอย่างกลับเลื่อนออกไป

เขาเดินไปตามถนนเพียงลำพัง แต่คาดไม่ถึงว่า จะบังเอิญเจอเข้ากับสือมูเฉินกับหลานเสี่ยวถาง

ดูเหมือนว่าพวกเขาจะอุ้มหวันหว่านไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของ ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินเข้าห้างสรรพสินค้าไป จึงไม่ได้เห็นเขา

เขาเห็นว่าหลานเสี่ยวถางพูดหัวเราะต่อกระซิกกับสือมูเฉิน และสือมูเฉินก็ยิ้มตอบกลับให้เธอ จากนั้นก็ก้มหน้าลงไป แล้วจูบเจ้าตัวน้อยในอ้อมแขนทีหนึ่ง

จู่ๆหันจื่ออี้ก็รู้สึกว่าลมที่หนาวเหน็บอย่างมากในฤดูหนาวนั้น ราวกับเข็มที่ทิ่มแทง จนรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย

เขามองภาพด้านหลังของพวกเขาตลอดการเดินเข้าไปด้านใน จนกระทั่งมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังคงมองทางนั้นอยู่อย่างเหม่อลอย

เป็นเวลานาน เขาจึงดึงสายตากลับ แล้วไปเรียกแท็กซี่คันหนึ่ง

รถขับผ่านทางลดเลี้ยวเคี้ยวคด ในที่สุดก็มาถึงสุสานแห่งหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมืองหนิงเฉิง

หันจื่ออี้ซื้อดอกเบญจมาศที่หน้าทางเข้าสุสาน แล้วเดินมายังหน้าสุสานของแม่

ในปีนั้น เขาไม่สนใจสายตาที่ผิดปกติของคนรอบข้าง ยืนกรานที่จะแยกฝังศพพ่อกับแม่ ภายหลังสุสานของพ่อ เขาเคยไปเพียงแค่ครั้งเดียว

แต่ของแม่ เขาจะมาในทุกๆปี

เขาคุกเข่าลงที่หน้าสุสานของแม่ ปล่อยให้ความหนาวเย็นค่อยๆแทรกซึมผ่านขากางเกง แล้วทะลุเข้าสู่กระดูก

เขาพูดด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย : “แม่ ฉันกลับมาเยี่ยมคุณแล้วนะ!”

แต่พูดไปแค่คำเดียว ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ กลืนน้ำลายเล็กน้อย เป็นเวลานาน จึงมีกำลังที่จะพูดต่อไป

“แม่ ในที่สุดฉันก็แก้แค้นแทนพวกคุณได้แล้ว!” หันจื่ออี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า : “แต่ฉันกลับพบว่า ตัวเองไม่มีความสุขเลย เพราะฉันทำเพื่อแก้แค้น จึงได้ทำร้ายผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย…..”

“แม่ ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉัน แต่ในขณะเดียวกันก็เกลียดฉันจนเข้ากระดูก คุณว่า ฉันควรจะทำอย่างไรดี?”

“เมื่อก่อนคุณมักจะบอกกับฉันเสมอว่า ถึงแม้ทั้งโลกจะทำให้ตนเองต้องเสียใจ ก็ไม่ควรไปเคียดแค้นโลกใบนี้ และก็ไม่ควรไปแก้แค้นคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วย ฉันไม่อยากทำร้ายเธอจริงๆ แต่……..”

น้ำตาไหลรินลงมาจากดวงตาของเขา เวลานี้ ผู้ชายที่ดูเข้มแข็งมาโดยตลอด ร้องไห้เหมือนกับเด็กน้อยที่หลงทาง

จนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง หันจื่ออี้จึงออกจากสุสาน

ขณะเดินทางกลับบ้าน เขาก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลานเสี่ยวถางและสือมูเฉินอุ้มลูกขึ้นมาอีก

ภาพที่อบอุ่นแบบนั้น คือความฝันอันแสนไกลที่ไม่มีทางจะไปถึง สำหรับคนอย่างเขาที่มีชีวิตอยู่ในความมืดมิดมาโดยตลอด…..

ถ้า ถ้าหาก…..

เขาไม่กล้าคิดอีกต่อไป

เพียงแต่ จู่ๆความคิดนี้ก็ปรากฏขึ้นมา

ตอนนี้เขากับฮั่วชิงชิงแต่งงานกันแล้ว ถ้าเธอท้องลูกของเขา ความรักที่แม่มีต่อลูกยิ่งใหญ่ขนาดนั้น สามารถทำให้แม่ของเขามุ่งมั่นเลี้ยงเขามาจนโต เช่นนั้น จะสามารถทำให้ฮั่วชิงชิงมีความกล้าหาญที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไปไหม?

ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา หันจื่ออี้ก็พบว่าหัวใจของตนเองเต้นเร็วอย่างมาก

กระทั่งเขาเริ่มคิดว่า ถ้าเขาและฮั่วชิงชิงมีลูกของตัวเอง นั่นควรจะเป็นภาพยังไงกันนะ?

ในความรู้สึกอบอุ่นแบบนี้ เขาจะสามารถกอบกู้สภาพจิตใจกลับคืนมาได้ไหม?

เลือดที่เดิมทีเย็นเยือก ก็เริ่มอุ่นขึ้นมา จู่ๆเขาก็พบว่า ที่แท้ตนเองก็สามารถมีความหวังได้!

ที่แท้ หลังจากแก้แค้น เขาที่ไม่มีความมั่นใจและศรัทธาอีกต่อไปแล้ว กลับสามารถมีความสุขในอนาคตได้!

ฮั่วชิงชิงมีจิตใจที่ดีงามแบบนั้น จะให้อภัยเขาเพราะลูกได้หรือไม่? อีกอย่างเขาก็คิดว่า ช่วงเวลาที่เขาและเธอมีร่วมกันก่อนหน้านี้ หวนกลับไปคิดถึงแล้ว ก็รู้สึกอบอุ่นและหวานชื่นมากจริงๆ

เช่นนั้น——

ขณะที่หันจื่ออี้เดินทางกลับบ้าน ก็ได้เข้าอินเทอร์เน็ตหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่ทำให้ผู้หญิงตั้งครรภ์ หลังจากถึงบ้านแล้ว เขาก็เหลือบมองไปที่ห้องของฮั่วชิงชิงก่อน ห้องมืดตึ๊ดตื๋อจริงๆ

เขาไม่ได้เข้าไป แต่ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน จากนั้น ก็ถือนมอุ่นแก้วหนึ่ง แล้วเปิดประตูห้องของฮั่วชิงชิง

เธอได้ยินการเคลื่อนไหว แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่หันตัวกลับมา กระทั่ง หันจื่ออี้เดินมาถึงข้างๆตัวเธอ

เพราะเข้ามาใกล้ หันจื่ออี้จึงรู้สึกได้ชัดเจนว่า ตัวของฮั่วชิงชิงแข็งทื่อเล็กน้อย ชัดเจนว่า ปฏิเสธการเข้าใกล้ของเขา

เขาไม่สนใจความรู้สึกอึดอัดที่อยู่ในใจ และยืนกรานที่จะนั่งลงข้างๆเธอ

เขายื่นมือไป โอบเอวของเธอเอาไว้ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่อ่อนโยนว่า : “ชิงชิง ดื่มนมก่อนนอนสักแก้วนะ จะได้ช่วยให้หลับสบาย”

ฮั่วชิงชิงไม่ได้รับ และไม่ได้ขยับเขยื้อน

หันจื่ออี้ถือแก้วนมเอาไว้ แล้วพูดซ้ำคำเดิมอีกครั้งอย่างอดทน

แต่ฮั่วชิงชิงก็ยังคงไม่ขยับ เขามองเธออยู่สองสามวินาที จึงเอ่ยปากว่า : “ถ้าคุณไม่ยอมดื่ม ฉันจะใช้ปากป้อนคุณ”

ฮั่วชิงชิงตื่นตกใจ หันหน้าไปมองหยานชิงเจ๋อ เห็นเหมือนกับว่าเขาเอาจริง ด้วยเหตุนี้ จึงรับแก้วนมมา จากนั้น ก็เงยหน้าขึ้นดื่มอึกใหญ่

หันจื่ออี้วางแก้วนมลงแล้ว ไม่ได้ออกไป แต่กลับโอบกอดฮั่วชิงชิง : “เรานอนกันเถอะ!”

ฮั่วชิงชิงพยายามต่อสู้ดิ้นรน แต่เขาโอบกอดเธอเอาไว้แน่น แล้วพาเธอไปยังที่นอนโดยตรง

“ปล่อยฉันนะ! คุณไม่ได้ไปทำงานที่ต่างประเทศหรอกเหรอ?!” ฮั่วชิงชิงถูกวางลงบนเตียง ในดวงตาเต็มไปด้วยการปฏิเสธ

“กลับมาแล้ว เพิ่งกลับมา” จู่ๆหันจื่ออี้ก็นึกขึ้นได้ว่า กระเป๋าเดินทางยังอยู่ที่โรงแรม พรุ่งนี้ควรจะไปเช็คเอ้าท์

เขากักกันฮั่วชิงชิงเอาไว้ เอนตัวลงนอนข้างๆเธอ แล้วโอบกอดเธอเอาไว้แน่น : “พวกเรายังไม่ได้ทำขั้นตอนการหย่า ดังนั้น พวกเรายังเป็นสามีภรรยากันอยู่”

“คุณออกไปเลยนะ ฉันรังเกียจคุณ!” ฮั่วชิงชิงรู้สึกได้ถึง กลิ่นอายของผู้ชายที่โอบล้อมเธอเอาไว้ในทันที เดิมทีกลิ่นนั้นที่ทำให้เธอรู้สึกสบายใจ เวลานี้ เต็มไปด้วยการรุกราน ทำให้เธอกระวนกระวายใจ และหวาดกลัว

“ชิงชิง ฉันรู้ว่าหลังจากคืนนี้ไป คุณอาจจะยิ่งเกลียดฉันมากขึ้น แต่ฉันไม่มีทางเลือก” หันจื่ออี้พูดพลาง มองฮั่วชิงชิงนิ่งๆอยู่สองสามวินาที จากนั้น ก็ก้มลงไปจูบเธอ