ตอนที่ 409 ลงทะเบียนเปิดภาคเรียน

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 409 ลงทะเบียนเปิดภาคเรียน

ตอนที่หลินม่ายรีบกลับไปถึงที่โรงงาน ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว

เถาจืออวิ๋นและคนอื่นๆ อีกสองคนเฝ้าอยู่ที่โรงงาน ไม่ได้ออกไปไหน

เมื่อทั้งสามคนเห็นหลินม่าย ก็บอกเธอด้วยความตื่นเต้นว่าตอนประมาณห้าโมงกว่าๆ ทุกห้างโทรศัพท์มาบอกว่าจะไม่ให้ Unique ออกไปแล้ว

เหรินเป่าจูพูดว่า “ตอนที่ฉันไปขอร้องผู้จัดการฝ่ายขายของห้างหวงเห้อโหลวว่าอย่าไล่พวกเราออกไปเลย เขาเย็นชาและไม่ใยดี แถมยังอวดดีอีก แต่ตอนที่ผู้จัดการฝ่ายขายได้รับแจ้งจากเบื้องบนอย่างกะทันหันว่าห้ามให้ Unique ออกไปเด็ดขาด การแสดงออกของเขาก็ดูสับสนมาก ตอนนั้นฉันรู้สึกดีแทบตาย”

พูดจบหล่อนก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

เถาจืออวิ๋นตบแขนหลินม่าย “พูดมาตามตรงนะ เธอขอให้แฟนเธอช่วยแก้ปัญหาหรือเปล่า?”

หลินม่ายเทน้ำต้มสุกให้ตัวเองหนึ่งแก้ว

เธอออกไปตะลอนข้างนอกทั้งบ่าย แม้แต่น้ำสักอึกยังไม่ได้ดื่ม หิวน้ำจะตายแล้ว

เธอจิบน้ำต้มสุกทีละนิด ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่ได้ไปหาแฟนหรอก ฉันไปหาเลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลโดยตรงเพื่อแก้ปัญหาน่ะ”

ทั้งสามคนทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ “เลขาธิการคณะกรรมการพรรคประจำมณฑลยุ่งขนาดนั้น ให้คนตัวเล็กๆ เข้าพบได้ด้วยเหรอ?”

“ได้สิ” หลินม่ายเอาเรื่องที่ท่านเลขาธิการให้เธอไปพบได้อย่างไรเล่าให้พวกเขาฟัง

เถาจืออวิ๋นถอนหายใจและพูดว่า “เธอบอกว่าเสี่ยวหม่านฉลาดจึงให้หล่อนไปแจกใบปลิวที่หน้าที่ทำการเทศบาล แต่หล่อนทำหน้าเศร้าวิ่งกลับมา บอกว่าแจกใบปลิวให้พวกผู้นำไม่ได้เพราะพวกเขานั่งรถเข้าออก ฉันยังคิดอยู่เลยว่าเธอก็คงแจกไม่ได้เหมือนกัน ไม่คิดเลยว่าเธอจะใจกล้าถึงขั้นยัดใบปลิวเข้าไปในรถของเหล่าผู้นำทั้งหลาย”

หลินม่ายหัวเราะตอบ “มีอะไรให้ไม่กล้าด้วยเหรอ ท่านผู้นำไม่ใช่เสือตัวใหญ่สักหน่อย”

เถาจืออวิ๋นรอให้เธอดื่มน้ำจนเสร็จแล้วเอ่ยเร่งเธอ “เธอรีบไปเถอะ ศาสตราจารย์ของเธอโทรศัพท์มาหลายครั้งแล้วว่าเธอกลับมาหรือยัง ถ้ายังไม่กลับไป เขาก็คงโทรมาอีก”

หล่อนพูดยังไม่ทันขาดคำ โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้นมา

ทุกคนหัวเราะออกมา “โทรศัพท์จากศาสตราจารย์เธอมาอีกแล้ว!”

หลินม่ายรับโทรศัพท์พร้อมรอยยิ้ม เนื่องเพราะเป็นฟางจั๋วหรานที่โทรมา

เมื่อฟางจั๋วหรานได้ยินเสียงหลินม่ายผ่านโทรศัพท์ หัวใจที่เคยอยู่สูงก็ร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม บอกให้เธอรออยู่ที่นั่น เขาจะไปรับเธอเอง

หลินม่ายตอบ “ไม่ต้องหรอกค่ะ จักรยานของฉันยังจอดอยู่ที่โรงงาน เดี๋ยวฉันจะปั่นกลับไป”

ฟางจั๋วหรานพูดเสียงต่ำ “ผมให้คุณรอ คุณก็อย่าขัดสิ!”

หลินม่ายวางสาย เห็นทุกคนมองมาที่เธอและยิ้ม รอยยิ้มพวกนั้นก็ทำให้เธอหน้าแดง

ผ่านไปไม่นาน ฟางจั๋วหรานก็มาพร้อมกับขนมปังอันใหญ่

เมื่อมาถึงก็ยื่นขนมปังให้หลินม่ายแบบไม่สนใจใคร พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ไหม? กินขนมปังรองท้องไปก่อน”

หลินม่ายรับขนมปังมา บอกลาเถาจืออวิ๋นและคนอื่นๆ จากนั้นก็เดินตามฟางจั๋วหรานไป

ฟางจั๋วหรานปั่นจักรยานพาเธอกลับบ้าน

หลินม่ายไม่ค่อยชอบกินขนมปัง แต่เมื่อท้องหิว จึงต้องกินมันเข้าไป

ท้องหิวแล้วกินอะไรก็อร่อย แม้ไม่ชอบกินขนมปัง แต่เมื่อเข้าปากแล้วก็รู้สึกว่ามันหวานอร่อยเป็นพิเศษ

ฟางจั๋วหรานรอให้เธอกินขนมปังหมดแล้วจึงเอี้ยวคอถามเธอ “แก้ปัญหาได้แล้วใช่ไหม? อยากให้ผมออกหน้าให้หรือเปล่า”

ตอนที่เขาโทรไปหาหลินม่าย เขาก็ถามจากเถาจืออวิ๋นแล้วว่าตอนบ่ายหลินม่ายไปทำอะไร

หลินม่ายคว้าเอวเขาด้วยมือหนึ่ง เอนศีรษะพิงหลัง “จัดการแล้วเรียบร้อยค่ะ”

ฟางจั๋วหรานตอบ “ถ้ามีปัญหาที่จัดการไม่ได้ คุณมาหาผมก็ได้ ทำให้ตัวเองลำบากขนาดนั้นทำไม? ดีร้ายยังไงผมก็รู้จักผู้นำหลายคน เรื่องนี้ของคุณผมจัดการให้ได้”

“ฉันไม่อยากให้มันกระทบงานของคุณน่ะค่ะ ฉันจัดการด้วยตัวเองได้”

ฟางจั๋วหรานถอนหายใจเงียบๆ ช่างน่ากังวลจริงๆ ที่แฟนสาวของเขามีความสามารถขนาดนี้ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องการเขา

เมื่อพาหลินม่ายกลับถึงบ้าน ฟางจั๋วหรานก็ไม่ได้รีบกลับ ทำบะหมี่ชามใหญ่ใส่มะเขือเทศ แตงกวา และใส่เนื้อไม่ติดมันจำนวนมากมาให้เธอ

หลินม่ายกินอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนลูกหมูน้อย

ฟางจั๋วหรานนั่งอยู่ตรงข้ามมองเธอกิน หยิบปอยผมที่หล่นลงมาขึ้นทัดหูให้

กลับพบว่ารอยแผลเป็นบนหน้าผากของเธอจางจนแทบจะมองไม่เห็นแล้ว

เขาจับหน้าผากเธอเบาๆ “ไม่เป็นแผลเป็นชนิดคีลอยด์ ประหยัดเงินได้จริงๆ เดี๋ยวผมจะซื้อครีมลดรอยแผลเป็นให้คุณอีกสองขวด แผลเป็นพวกนี้จะได้หายไปเลย”

“จริงเหรอ? แผลเป็นใกล้หายแล้ว?!”

หลินม่ายตกใจมาก วางตะเกียบแล้วเข้าไปส่องกระจกในห้องนอน พบว่ารอยแผลเป็นพวกนี้แทบจะมองไม่เห็นแล้ว

เธอไม่ได้แต่งหน้า แค่ดูแลผิวเท่านั้น

ก็คือล้างหน้าให้สะอาดและทาครีมบำรุงผิว จากนั้นก็ทาครีมลดรอยแผลเป็นอย่างต่อเนื่อง

เพราะต้องกังวลกับการทำธุรกิจและยุ่งอยู่กับการเรียนทุกวัน

แม้ว่าเธอจะดูแลผิวและทาครีมลดรอยแผลเป็นทุกวัน แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจสภาพของแผลเป็นมากนัก ไม่คิดเลยว่าแผลเป็นพวกนี้ของเธอจะใกล้หายเร็วขนาดนี้

ส่องกระจกเสร็จแล้วก็กลับมากินบะหมี่ที่ห้องอาหารต่อ ตอบฟางจั๋วหรานอย่างเบิกบานใจ “ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องไว้ผมหน้าม้าอีกต่อไปแล้ว!”

เธอไม่ค่อยชอบไว้หน้าม้า มันทำให้ตัวเองดูเด็กเกินไป เธออยากให้ตัวเองดูโตกว่านี้หน่อย

จริงๆ แล้วฟางจั๋วหรานชอบเห็นเธอมีหน้าม้า ผู้ชายที่ไหนจะไม่ชอบความนุ่มนวล!

แต่หญิงสาวอยากจะดูเป็นผู้ใหญ่ งั้นก็ตามใจเธอเถอะ

หลินม่ายกินบะหมี่เสร็จแล้ว ฟางจั๋วหรานเป็นคนเก็บล้าง ต้มน้ำให้หลินม่ายอาบ รอเธออาบน้ำเสร็จ ซักผ้าให้เธอแล้วจึงจากไป

แม้ว่าจะวิ่งเต้นไปทั่วในตอนบ่าย แต่เมื่อได้แช่น้ำร้อนก็คลายความล้าไปได้มาก

หลินม่ายทำข้อสอบชุดหนึ่งแล้วจึงเข้านอน

เมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นวันสุดท้ายของเดือนสิงหาคมแล้ว

วันนี้เป็นวันลงทะเบียนเรียนภาคเรียนใหม่ หลินม่ายตั้งใจสวมเสื้อเชิ้ตแขนตุ๊กตาสีขาว มีลายดอกไม้สีฟ้าที่แขน ใส่คู่กับเอี๊ยมกระโปรงยีนเรียบๆ

มัดผมหางม้าสูงโดยใช้ริบบิ้นผูกไว้ สะพายกระเป๋านักเรียนสีเหลืองง่ายๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ในยุคนี้แล้วออกจากบ้านไป

เธอปั่นจักรยานจากหลังบ้านไปที่ถนนใหญ่ก็ได้กลิ่นหอมของมันเทศย่างลอยมาทันที

เธอเงยหน้าขึ้นมอง มันเทศย่างเต็มสองข้างทาง ธุรกิจมันเทศย่างของเธอไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

แต่หลินม่ายไม่ได้จริงจังอะไร ก็แค่ขายมันเทศย่างเท่านั้น ไม่ได้หวังเงินมหาศาลจากการขายมันเทศย่างอยู่แล้ว

ขณะปั่นจักรยานไปตามถนน หลินม่ายได้เห็นว่าเด็กหญิงหลายคนสวมกระโปรงยีน ดูก็รู้เลยว่าเป็นแบบของร้านเสื้อผ้า Unique

เด็กผู้หญิงพวกนี้ บางคนเป็นเด็กมัธยมปลาย และบางคนก็เป็นหญิงสาวที่อยู่ในวัยกำลังเข้าสังคม

มุมปากหลินม่ายยกยิ้มอย่างอดไม่ได้ เสื้อผ้าของ Unique ยังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร

ตอนที่ใกล้จะถึงโรงเรียน ก็บังเอิญพบกับเหยียนเหวินเล่อและเพื่อนๆ ที่สมัครสอบเข้าโรงเรียนในเครือมหาวิทยาลัยผู่จี้

เหยียนเหวินเล่อทักทายหลินม่ายด้วยความตื่นเต้นจากที่ไกลๆ “หลินม่าย ฉันเห็นเธอบนซินเหวินเหลียนปัวของมณฑลด้วยล่ะ เธอเก่งมากเลย!”

เขายกนิ้วโป้งให้เธอด้วยความชื่นชม

เพื่อนของเขาบางคนก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว “พวกเราก็เห็นเหมือนกัน ในโทรทัศน์เธอสวยมาก!”

หลินม่ายลงจากจักรยาน ยิ้มรับอย่างสุภาพ “ที่ไหนกันล่ะ!”

ทุกคนเข้ามาล้อมเธอและเดินไปโรงเรียนด้วยกัน

เดินไปพลาง ชื่นชมความสามารถของเธอไปพลาง ในเรื่องที่ทำตลาดและจัดการโรงงานได้ตั้งแต่อายุยังน้อย

หลินม่ายยิ้มบางเบาและพูดว่า “มันเป็นแค่สถานที่เล็กๆ ที่มีคนประมาณสิบคน ยังไม่ใช่โรงงานใหญ่หรอก”

เหยียนเหวินเล่อตอบ “เท่านั้นก็ดีแล้ว พวกเรายังต้องใช้เงินพ่อแม่อยู่เลย”

เพื่อนคนอื่นก็ตอบรับ “ใช่แล้ว ใช่แล้ว!”

หลินม่ายยิ้มและตอบว่า “พวกนายจะเก็บเงินได้มากมายและกลายเป็นเสาหลักของประเทศในอนาคตแน่นอน”

พวกเพื่อนๆ ฟังที่เธอพูดแล้วก็มีความสุข “เพื่อพิสูจน์คำพูดของเธอ พวกเราต้องทำงานหนักเสียแล้ว”

ทุกคนเดินพูดคุยกันไปตลอดทางจนกระทั่งถึงประตูโรงเรียน

หลินม่ายเห็นว่าที่ประตูโรงเรียนมีคนคุณป้าขายเครื่องประดับผมสองคน

เธอหยุดเดินด้วยความสนใจ

เห็นว่าเครื่องประดับผมส่วนใหญ่ของคุณป้าสองคนนั้นเป็นของแบรนด์ไป๋เหอโถวซื่อ

เครื่องประดับไป๋เหอโถวซื่อของป้าสองคนนี้ไม่ได้ราคาถูก แม้แต่ริบบิ้นที่ดูเรียบง่ายยังมีราคาตั้งสามเหมา

ไม่ต้องพูดถึงโบและเครื่องประดับผมดอกไม้แบบอื่นๆ เลย ราคาสูงขึ้นไปถึงห้าเหมา ในยุคสมัยนี้ถือว่าแพง

แต่เด็กผู้หญิงที่นั่งยองๆ อยู่หน้าร้านกลับจ่ายเงินซื้อเครื่องประดับผมได้ไม่สนใจความแพง ส่วนใหญ่ที่ซื้อไปก็เป็นเครื่องประดับผมไป๋เหอโถวซื่อ

ก่อนหน้านี้หลินม่ายยังกังวลว่าเครื่องประดับผมไป๋เหอโถวซื่อราคาแพงขนาดนี้ คงรับรองได้แค่ลูกค้าผู้หญิงกลุ่มเล็กๆ ที่มีฐานะค่อนข้างดี ดังนั้นจึงรับคนงานมาแค่สิบเอ็ดคน

แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่าตัวเองน่าจะคิดผิดไปเอง แม้ว่าเครื่องประดับผมไป๋เหอโถวซื่อจะราคาแพง แต่ตลาดของมันก็ไม่เล็ก

เธอคิดว่าจะลองดูอีกครั้ง ถ้ายอดขายของเครื่องประดับผมไป๋เหอโถวซื่อยังคงดี เธอก็จะขยายการผลิตเอง

นักเรียนหญิงที่เดินมาพร้อมหลินม่ายเองก็หยุดดูเช่นกัน มองไปที่เครื่องประดับพวกนั้น

นักเรียนหญิงคนหนึ่งชี้ไปที่คาดผมรูปโบและพูดว่า “อ๊ะ! นี่ไม่ใช่ที่คาดผมที่เหมือนกับนางแบบบนโปสเตอร์ Unique ใส่เหรอ?”

พูดถึงตรงนี้ เธอก็หันมามองหลินม่าย “เธอคือนางแบบบนโปสเตอร์ Unique นี่?”

ทุกคนที่ได้ยินหล่อนพูดล้วนมองมายังหลินม่ายอย่างพร้อมเพรียงกัน

ตอนที่พวกเขาไปเดินซื้อของ ก็มักจะเห็นโปสเตอร์พวกนั้นที่หลินม่ายถ่าย

แม้ทุกคนจะจำเธอได้ แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้

ไม่ใช่ว่าเธอไม่สวยพอหรืออารมณ์ไม่ได้

แต่ในยุคนี้ คนธรรมดาจะไปถ่ายโปสเตอร์นั้นเป็นเรื่องที่จินตนาการแทบไม่ออก

หลินม่ายเม้มปากและพยักหน้ารับ

ผู้หญิงคนนั้นถามด้วยความแปลกใจ “Unique ชวนเธอไปถ่ายโปสเตอร์ได้ไง?”

หลินม่ายตอบแบบครึ่งๆ กลางๆ ว่า “อาจจะเพราะฉันดูหน้าตาพอใช้ได้ละมั้ง”

หญิงสาวคนนั้นถูกโจมตีจนลุกไม่ขึ้น ร้องคร่ำครวญออกมา ใช้เงินห้าเหมาซื้อที่คาดผมรูปโบเพื่อปลอบโยนหัวใจที่บาดเจ็บ

ทุกคนเอาแต่พูดคุยเล่นกัน ไม่มีใครสังเกตว่าด้านหลังมีสายตาคู่หนึ่งต้องมาที่พวกเขาอย่างรุนแรง

เจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นว่านฮุ่ย

เมื่อเห็นเพื่อนๆ ล้อมรอบหลินม่ายราวกับดวงดาวล้อมรอบดวงจันทร์ พูดคุยและหัวเราะกันอย่างมีความสุข ว่านฮุ่ยก็ยิ่งอิจฉามากกว่าเดิม

เมื่อก่อนหล่อนเองก็เป็นที่ต้องการของเพื่อนๆ เช่นเดียวกัน

แต่เมื่อหลินม่ายปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงแต่บดขยี้หล่อนในเรื่องเรียน เธอยังทำลายชื่อเสียงของหล่อนด้วย ตอนนี้ไม่มีใครอยากคุยกับหล่อนแล้ว แต่หลินม่ายกลับมีเพื่อนมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ว่านฮุ่ยก็มองหลินม่ายด้วยสายตาเหี้ยมเกรียมขึ้นเรื่อยๆ

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

อิจฉาอะไรเขาอีกล่ะ มีอะไรพอจะสู้เขาได้หรือเปล่าเถอะ แพ้แล้วพาลนะยัยว่านฮุ่ย

ไหหม่า(海馬)