บทที่ 408 อนุสาวรีย์เพลิง ลิ่มแห่งชีวิต

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 408 : อนุสาวรีย์เพลิง ลิ่มแห่งชีวิต

บทที่ 408 : อนุสาวรีย์เพลิง ลิ่มแห่งชีวิต

“มลภาวะจากอุตสาหกรรมของนอร์ซินร้ายแรงขึ้นทุกวัน…”

หลินเจี๋ยตื่นแต่เช้ามาเปิดประตูร้านหนังสือเหมือนเช่นเคย มองหมอกหนานอกร้านแล้วรู้สึกปวดหัว

เขาไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มาหลายวันติดต่อกัน แต่หลินเจี๋ยไม่ได้ใส่ใจมากนัก เขาเป็นคนเก็บตัวในศตวรรษที่ 21 มานานกว่ายี่สิบปี หลังจากมายังนอร์ซิน เขาก็แค่ใช้การเก็บตัวจากหมอกหนาเป็นข้ออ้างในการไม่ออกไปข้างนอกเท่านั้น

แต่หมอกในวันนี้หนาเกินไปจริง ๆ มันหนาเสียจนถึงจุดที่หากมีคนยืนอยู่ในระยะสามเมตร เขาจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าชายหรือหญิง และหากไกลกว่าห้าเมตร จะแยกไม่ออกว่าเป็นคนหรือสัตว์

หมอกสีขาวลอยสูงราวกระโปรงลูกไม้สีขาวของผู้หญิง โบกพัดช้า ๆ กับพื้นในลักษณะพิเศษราวมีชีวิต

หลินเจี๋ยมองออกไปนอกประตูร้านหนังสือที่เปิดอยู่ และหมอกหนานี้ก็ชวนให้เขานึกถึง ‘เมืองในสายหมอก’ ที่โลกอย่างอดไม่ได้

ร้านหนังสือเงียบงันไร้แขกมาเยือน มูเอนออกไปตั้งร้านสาขาที่เขตกลางและดูแลธุรกิจที่นั่น ในขณะที่โจเซฟออกไปตลาดเครื่องมือเพื่อช่วยซื้อเครื่องไม้เครื่องมือต่าง ๆ สำหรับร้านสาขา เหลือเพียงหลินเจี๋ยในร้านหนังสืออันว่างเปล่าเพียงลำพัง

หลินเจี๋ยอยากรู้เกี่ยวกับความสามารถที่คาดว่าเหนือมนุษย์ทั่วไปเมื่อครั้งก่อนมาก แต่โชคร้ายที่มูเอนกับโจเซฟยุ่งอยู่ตลอด เขาจึงเชิญทั้งสองมานั่งคงคุยกันไม่ได้

ในขณะที่มูเอนตั้งร้านสาขาอยู่ในเขตกลาง โจเซฟผู้เกษียณอายุงานก็จะกลายเป็นผู้ช่วยคนใหม่ในร้านหนังสือของเรา ดังนั้นเราก็น่าจะมีเวลาถามเขาเยอะเลย…

หลินเจี๋ยคิด จากนั้นก็เลือกหนังสือหนึ่งเล่มจากชั้นมาเปิดอ่านเหมือนก่อน

แต่สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือ เขาเคยอ่านหนังสือเล่มนี้มาก่อนแล้ว

“แปลกจัง…หนังสือที่หยิบสุ่ม ๆ จากชั้นหนังสือไม่น่าซ้ำกันสิ นี่คือห้องสมุดสำหรับหนังสือทุกเล่มบนโลกเลยนะ”

หลินเจี๋ยหยิบหนังสืออีกสองสามเล่มอย่างไม่เชื่อ แต่ก็พบว่าพวกมันยังซ้ำ ๆ กันอยู่

เขาอ่านหนังสือครบทุกเล่มแล้ว และรู้ดีว่าหน้าต่อไปจะมีอะไร…

หลินเจี๋ยจึงสร้างความคิดอันน่ากลัวแต่สมเหตุสมผลออกมา ไม่ใช่เพราะหนังสือถูกสุ่มมาซ้ำ แต่เป็นเพราะเราอ่านหนังสือทุกเล่มหมดแล้ว?

เป็นไปไม่ได้!

นี่คือห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือทุกเล่มบนโลก จะใช้เวลาแค่สามปีในการอ่านมันหมดทุกเล่มได้อย่างไร? เจ้าดำต้องทำอะไรผิดพลาดแน่ ๆ

“อืม…ดูเหมือนต้องหาเวลาคุยกับเจ้าดำแล้วสิ ไม่งั้นพรุ่งนี้ได้เบื่อแย่แน่”

หลินเจี๋ยพยักหน้าแล้วเก็บหนังสือให้เข้าที่

จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว พบว่ามันผ่านช่วงเช้ามืดมาแล้ว ดวงอาทิตย์ควรจะขึ้น แต่หมอกกลับหนาขึ้นเรื่อย ๆ และลอยเข้ามาในร้านหนังสือจากทางประตูที่เปิดอ้าราวกับวิญญาณแค้น

ตอนนี้ เมื่อมองออกไปข้างนอกอีกครั้ง หมอกหนาสีเทาได้กลายเป็นเหมือนเขตแดนหนากีดขวางสายตาจนมองไม่เห็นถนนแล้ว

ดูเหมือนวันนี้จะเปิดร้านคงเป็นไปไม่ได้…หลินเจี๋ยวางหนังสือลง เดินไปยังประตูม้วนอลูมิเนียมชั้นที่สองซึ่งเพิ่งติดตั้งใหม่ ยื่นมือออกแรงดึงประตูม้วนลงเสียงดังเคร้ง!

ทันใดนั้น…

มือที่มีขนาดใหญ่กว่ามือคนทั่วไปเล็กน้อย สวมถุงมือสีดำโผล่ออกมาจากหมอกในขณะที่ประตูม้วนกำลังจะปิดลง หยุดไม่ให้ประตูปิด เรี่ยวแรงของเขามากเสียจนหลินเจี๋ยต้องหยุดมือเพื่อเลี่ยงอันตราย

ประตูม้วนถูกม้วนกลับอีกครั้ง…

และหลินเจี๋ยก็เห็นชายร่างกำยำในชุดคลุมดำยืนอยู่หน้าประตู

ใบหน้าทั้งหน้าของเขาซุกซ่อนในความมืด มองไม่เห็นอะไรเลย หมอกชื้น ๆ ควบแน่นเป็นละอองน้ำบนเสื้อคลุมของเขา และในมือของเขาถือกล่องใบหนึ่ง

เขาตัวสูงกว่าหลินเจี๋ยหนึ่งช่วงหัว มัดกล้ามปรากฏใต้ชุดคลุมลาง ๆ มือของเขาหนาผิดปกติ และดูรวม ๆ เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าโจเซฟอีก

แต่มือของเขาสั่นเทาเล็กน้อย ดูเหมือนทั้งประหม่าและพินอบพิเทาโดยไร้เหตุผล

“หมอกหนามากเลยนะครับวันนี้”

หลินเจี๋ยพูดอย่างแปลกใจเล็กน้อย “ผมนึกว่าวันนี้จะไม่มีแขกซะแล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาหาหนังสืออ่านด้วย?”

ชายชุดคลุมดำส่ายหน้า “เป็นความหยาบคายของเราเองที่ทำให้ท่านต้องรอจนวันนี้ครับ”

ชายชุดคลุมดำแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาใช้มือเปล่าขยี้คนเป็น ๆ จนตาย ทว่าตอนนี้เขากลับยืนตรงหน้าหลินเจี๋ยอย่างนอบน้อมราวกับเด็กประถม

หลังจากเขาขึ้นมาจากเมืองเขตล่าง ฆ่าฮัมฟรีย์และรับ ‘นิมิตโกลาหล’ ไป เขาก็กลับสู่เมืองเขตล่างเพื่อถวายมันแก่คนระดับสูงสุดในโบสถ์ ในตอนนั้น พวกเขาคิดว่าตนเฝ้ารอจุดกำเนิดของทุกสิ่งตื่นขึ้นจากนิมิต ทว่านายเหนือแห่งสรรพสิ่ง ต้นแบบแรกเริ่มของทุกความโกลาหลและระเบียบคือเจ้าของหนังสือเล่มนี้

ดังนั้นเขาจึงกลับมาที่นี่ เพื่อตามหาเจ้าของร้านหนังสือ

“โอ้?”

หลินเจี๋ยเลิกคิ้ว “แปลว่าคุณเคยได้ยินเกี่ยวกับผม? มาหาผมเหรอครับ?”

จากนั้น เขาก็พูดล้อเล่นว่า “ที่จริงมันก็ไม่ได้นานขนาดนั้นหรอกครับ เวลามักเดินไวเสมอเวลาผมอ่านหนังสือ เข้ามาสิครับ”

…จริงสินะ สำหรับคน ๆ นี้ บางทีการเปลี่ยนของเวลาคงง่ายดายเหมือนพลิกหน้าหนังสือ

โชคดี นับตั้งแต่ยุคแรกเมื่อมนุษย์ยังคงไม่รู้ตาสีตาสา ผ่านมาหลายพันปี ในที่สุดพวกเขาก็ได้พบพระเจ้าที่พวกเขารอคอย ผู้ซึ่งพวกเขาควรรับใช้

แน่นอนว่าชายชุดคลุมสีดำย่อมไม่กล้าขัดคำสั่งของหลินเจี๋ย เขารีบร้อนเดินเข้าไปในร้านหนังสือ แม้ว่าเขาจะตัวสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่เขาดูอ่านยากมาก

หลินเจี๋ยปิดประตูม้วน สังเกตรายละเอียดของชายชุดคลุมดำ…

เขาสวมหน้ากากสีเทา มีตราพฤกษาแห้งเหี่ยวและดาบยาวไขว้สองเล่ม

“โบสถ์แห่งโรคระบาดเหรอครับ?”

ชายชุดคลุมดำพยักหน้าอย่างนอบน้อม “ใช่ครับ”

หลินเจี๋ยกลับมาที่หลังเคาน์เตอร์ ใช้ศอกเท้าโต๊ะ เอนตัวมาข้างหน้าด้วยสีหน้าพิลึก “ดูเหมือนคุณจะมาหาผมอย่างมุ่งมั่นน่าดูเลยนะเนี่ย”

เมืองเขตล่างและโบสถ์แห่งโรคระบาด สองสิ่งนี้คือสิ่งที่เขาพยายามตรวจสอบมาตลอด แต่ไม่เคยได้ข้อมูลที่แม่นยำเท่าไรเลย…

เหตุผลเป็นเพราะว่าเมืองเขตบนและล่างนั้นถูกแยกจากกันโดยสมบูรณ์ และการเดินทางขึ้นลงถูกสั่งห้าม

ทว่าชายชุดคลุมดำลึกลับตรงหน้าเขากลับมาจากโบสถ์แห่งโรคระบาด

ดังนั้นจึงบอกได้ว่า เขาข้ามสิ่งกีดขวางระหว่างเมืองเขตบนและล่างมาที่นี่! ต้องบอกว่าสุดยอดไปเลย…และในลักษณะนี้ การสวมชุดคลุมดำเพื่อปกปิดตัวตนเป็นเรื่องเข้าใจได้อย่างแน่นอน…

ชายชุดคลุมดำตัวสั่นอย่างตื่นเต้นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ใช่แล้ว เพราะเขาได้รับคำชี้นำของพระผู้เป็นเจ้า เดินทางขึ้นลงระหว่างเมืองเขตล่างและบนสองรอบ มันอันตรายมากจริง ๆ มากเสียจนเขาต้องใช้เวลาหลายวันภายใต้ความช่วยเหลือของตระกูลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของโบสถ์ ร่ายคาถาจากทางเชื่อมเดิม สิ้นเปลืองอีเธอร์มากมายเพื่อสร้างหมอกนี้ซึ่งใช้ขัดขวางการสำรวจทางของผู้มีพลังพิเศษ ทั้งหมดเพียงเพื่อมายังร้านหนังสือของเจ้าของร้านหลินโดยสวัสดิภาพ

ตอนนี้ เขาอยากจะบอกทุกคนในโบสถ์ที่นอร์ซินเขตล่างเหลือเกิน ว่าความพยายามของทุกคนไม่เสียเปล่า…

เจ้าของร้านหลินรู้ทุกอย่าง!

“ผมมาที่นี่ภายใต้คำชี้นำของท่านครับ” ชายชุดคลุมดำพูดอย่างประหม่า จากนั้นก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชุดคลุมดำของเขาอย่างลุกลี้ลุกลน

หลินเจี๋ยเหลือบมอง…

และพบว่าบนหน้าปกระบุชื่อ ‘เรื่องเล่าและตำนาน’ ไว้อย่างงดงาม

“อะไรเนี่ย?”

ไม่ใช่ว่านี่คือหนังสือที่เราให้จี้ป๋อหนงไปเหรอ?

หลินเจี๋ยมอบหนังสือให้จี้ป๋อหนงทั้งหมดห้าเล่ม และในหมู่พวกมัน ‘เรื่องเล่าและตำนาน’ คืองานของหลินเจี๋ยเอง

กระดากใจที่จะพูดว่าเรารู้สึกเขินหน่อย ๆ เหมือนกันพอคิดว่าตัวเองปนสินค้าของตัวเองที่ไม่มีใครสนใจลงไปด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อยอดขายของจี้ป๋อหนง

แต่เขาไม่เคยคาดฝันว่าจะมีผู้อ่านได้รับหนังสือ และปรี่มาหาเขาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับมัน

เนื้อหาหลักของ ‘เรื่องเล่าและตำนาน’ คือการหารืออันน่าเบื่อโดยมีพื้นฐานมาจากตำนานโบราณและอารยธรรมมนุษย์ มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ?

ชายชุดคลุมดำลูบหนังสืออย่างแผ่วเบา จากเงามืดอับสายตาหลินเจี๋ย เส้นหนวดเหมือนปลาหมึกยักษ์ที่กรามล่างของเขาเผยรอยยิ้มบ้าคลั่งเล็กน้อยเหมือนกำลังฝันละเมอ

หลินเจี๋ยอดยิ้มไม่ได้ “คุณได้หนังสือเล่มนี้มาจากงานประมูลของจี้ป๋อหนงสินะครับ ดูเหมือนคุณจะชอบหนังสือเล่มนี้มาก และมีความเห็นที่พิเศษเฉพาะมากเลย”

“มากกว่าแค่ชอบ…นี่คือหนังสือที่มีเพียงพระเจ้าอันแท้จริงเท่านั้นที่จะเขียนได้ครับ!”

ชายชุดคลุมดำกอดหนังสือแน่นแนบอก เสียงแหบ ๆ ของเขาเจือความกระตือรือร้น

“ฮ่า ๆๆ ชมกันเกินไปแล้วครับ”

…แต่ผมมีประโยชน์มากนะ อวดอีกสักหน่อยดีกว่า

ถึงปกติแล้วเขาจะขายงานของคนอื่น นี่คือครั้งแรกที่มีคนมาปรึกษางานของเขากับเขาเอง ถือได้ว่าเป็นคำชมสำหรับคนในสายงานเดียวกัน นี่มีค่ายิ่งกว่าสิ่งใด

“ว่าไปแล้ว ผมสนใจความเห็นของคนอื่น ๆ เสมอเลยนะครับ คุณคิดอย่างไรกับหนังสือเล่มนี้เหรอครับ?”

หลินเจี๋ยกอดอกถามยิ้ม ๆ

ชายชุดคลุมดำตัวสั่น “งดงาม เหมือนฝัน ยิ่งใหญ่ เหลือเชื่อ เนื้อหาของมันเกินความเข้าใจแต่ชวนให้ลุ่มหลง มันดูราวก้าวข้ามขีดจำกัดแห่งมิติและเวลา เผยให้เราเห็นโลกอันน่าเหลือเชื่ออีกโลกหนึ่งครับ!”

ดวงตาเร่าร้อนของเขาฉายประกายจากใต้เสื้อคลุม “ไม่ใช่แค่ผม ทุกคนจากโบสถ์แห่งโรคระบาดต่างรอคอยการมาของคุณอยู่ครับ!”

หลินเจี๋ยพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ดูเหมือนเขาจะได้เดินทางด้วยกันจริง ๆ “โบสถ์ของคุณ? ดูเหมือนคุณจะเผยแพร่หนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดีเลยนะครับ”

“ใช่…ใช่ครับ มันมีความหมายมากสำหรับเรา”

ชายชุดคลุมดำพยักหน้าซ้ำ ๆ กล่าวว่า “ดังนั้นสมาชิกของโบสถ์จึงขอให้ผมนำของกำนัลมาเยี่ยมเพื่อแสดงความขอบคุณ”

พูดจบ ชายในชุดคลุมดำก็ค่อย ๆ ผลักกล่องในมือให้กับหลินเจี๋ย

“เฮ้ ทำไมไม่มานี่ล่ะครับ? คุณสุภาพมากเลย! การหารือทางวิชาการจะเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร…”

หลินเจี๋ยพูดอย่างถ่อมตัว แต่ที่จริงเขาเปิดกล่องออกแล้ว สิ่งที่อยู่ในนั้นทำให้แววตาและสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป มาดเปลี่ยนจากโหมดธุรกิจมาเป็นโหมดทำงานทันที

มันไม่ใช่เพชรนิลจินดา แต่เป็นเศษแผ่นศิลา

นี่เป็นแผ่นศิลาที่หลินเจี๋ยคุ้นเคยมาก เพราะเขามีอีกอันที่เหมือนกันเป๊ะ

ในตอนที่จี้จือซู่มาขอความร่วมมือจากเขา ก็มีเศษแผ่นศิลาแบบนี้อยู่ในกองของขวัญ ซึ่งเป็นวัตถุโบราณที่ขุดออกมาจากในเมืองเขตล่าง

และชายชุดคลุมดำตรงหน้าเขาก็นำชิ้นที่สองมาให้!

โบสถ์แห่งโรคระบาดไม่เพียงสนใจในตำนานและเรื่องเล่า แต่ยังเชี่ยวชาญในโบราณคดีเมืองเขตล่างอีกด้วย…ชายชุดคลุมดำตรงหน้าเขาคนนี้น่าจะทำงานสายโบราณคดี

เขาได้ยินว่าหลินเจี๋ยก็สนใจศึกษาเรื่องพวกนี้ จึงมาหารือกัน?

“คุณรู้จักที่มาของเศษแผ่นศิลานี้ไหมครับ?”

หลินเจี๋ยขมวดคิ้วถาม ในขณะเดียวกันก็หยิบเศษแผ่นศิลาอีกชิ้นออกมาประกอบกัน

อักขระที่ไม่สามารถถอดรหัสได้ ในที่สุดก็พออ่านได้นิดหน่อย…

ชายชุดคลุมดำโค้งหัวลงพูดอย่างนอบน้อมถ่อมตนทันที “มันไม่ชัดเจนมาก เราไม่เข้าใจเนื้อหาบนนั้น แต่เศษแผ่นศิลานี้บรรจุวิญญาณโบราณไว้ดวงหนึ่งครับ”

“วิญญาณโบราณ? จริง ๆ ด้วยนะครับ เวลาจะทำให้วัตถุโบราณทุกชิ้นมีวิญญาณ วัตถุโบราณย่อมมีบรรยากาศแห่งโบราณกาล”

หลินเจี๋ยเล่นกับเศษแผ่นศิลา หยิบมันขึ้นมาพลางกล่าวว่า “ข้อความที่สลักไว้หมายความว่า ‘อนุสาวรีย์เพลิง ลิ่มแห่งชีวิต’ ครับ”

เขาหรี่ตาลง “บางทีคุณอาจไม่เข้าใจ แต่ถ้าพูดอีกอย่าง นี่คือแผ่นศิลาของแม่มดตนหนึ่งชื่อ ‘ไลฟ์’ ครับ”