บทที่ 371 คุณเคยได้ยินชื่อฉือเก๋อไหม?
บทที่ 371 คุณเคยได้ยินชื่อฉือเก๋อไหม?
ซูเสี่ยวเถียนเข้าใจความไม่สบายใจและความวิตกกังวลของผู้เป็นย่า
ปู่กับย่าอายุเยอะแล้ว แต่พวกท่านกลับต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อมาดูแลหลาน ๆ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
เป็นใครก็ไม่สบายใจหรอก เธอผิดเองที่ไม่คิดให้เยอะแต่แรก ถ้าคิดให้รอบคอบมากกว่านี้ คุณย่าคงไม่กระวนกระวายใจหรอก
“เสี่ยวเถียน ถ้าไปโรงเรียนแล้วมีใครทำให้คับข้องใจอะไรก็กลับมาบอกย่าเลยนะ!”
คุณย่าไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด สิ่งเดียวที่หวาดกลัวก็คือ กลัวว่าหลานสาวจะโดนรังแก
เสี่ยวเถียนไม่ได้คิดอะไรมาก และเอ่ยอย่างมั่นใจ “เราตั้งใจเรียนที่โรงเรียนก็พอค่ะ ใครจะมากล้าแกล้งเรากัน?”
ถึงแม้เสี่ยวเถียนจะเอ่ยมาแบบนั้นก็จริง แต่ในใจไม่ได้คิดเช่นนั้น เธอคิดว่าถ้ามีใครมารังแกเธอจริง ๆ ก็ต่อยไปสักหนึ่งหมัด ถ้ายังไม่เชื่อฟังกันก็ต่อยไปอีกสักหมัด รวมแล้วเป็นสองหมัด
สรุปแล้วนะ ต่อยวันละสามครั้งแล้วกัน ไม่ก็ต่อยจนกว่าจะยอม!
คุณย่าซูไม่รู้ว่าหลานสาวผู้มีจิตใจอ่อนโยนของเธอจะมีด้านที่ใช้ความรุนแรงด้วย
เสี่ยวเถียนมองหญิงชราที่ท่าทางกังวล และไม่รู้จะพูดอะไรดี
ตั้งแต่ที่แกมาถึงเมืองหลวงก็คิดมาเสมอว่าคนที่ทิ้งบ้านเกิดเป็นพวกนอกคอก!
เรื่องราวเล็ก ๆ ในใจขยายออกไปไม่รู้จบ ถ้าขืนยังเป็นแบบนี้คงไม่ไหวจริง ๆ!
“แม่คะ เสี่ยวเถียนพูดถูกนะ เราพึ่งพาความสามารถของตัวเองเพื่อกินข้าวก็พอ ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น!” หม่านซิ่วปลอบมารดา
เธอเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเพราะตอนย้ายไปทางใต้เธอก็เป็นแบบนี้ ต้องใช้เวลาในการปรับตัว ค่อยเป็นค่อยไปเท่านั้น!
คุณย่าซูพูดด้วยแรงอารมณ์ “เพราะบ้านเราใจดีกับคนอื่นไงล่ะ ไม่งั้นตอนนี้ก็โดนเขาข่มเหงตายไปแล้ว!”
คุณปู่ซูพยักหน้า เขาค่อนข้างเห็นด้วยกับคำพูดนี้
“เรื่องนี้ต้องขอบคุณอาจารย์ฉือและอาจารย์เสิ่นแล้วล่ะ!”
เป็นหนี้บุญคุณพวกเขาแล้ว จะไม่มีทางลืมเลย!
คืนนี้สองสามีภรรยาซูเชิญฉือเก๋อและเสิ่นจื่อเจินมากินอาหารดี ๆ ด้วยกันสักมื้อเพื่อแสดงความขอบคุณ
เช้าวันที่สอง อากาศดีมาก แสงแดดยามเช้าเป็นแสงสีทองสาดส่องลงมา เด็ก ๆ บ้านซูสะพายกระเป๋าที่คุณย่าเป็นคนทำให้ไว้บนหลัง
ส่วนเฉินจื่ออันทำหน้าที่ไปส่งพวกเขาที่ประตูโรงเรียนก่อนจะจากไป
เสี่ยวเถียนมองประตูโรงเรียนด้วยรอยยิ้มสดใส ชาตินี้เธอมีโอกาสได้ร่ำเรียนในเมืองหลวงอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
และวันนี้ก็กำลังจะเข้าโรงเรียนที่เคยให้กำเนิดอัจฉริยะไม่นับถ้วนออกมา
พูดถึงโรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดขึ้นมาแล้ว โรงเรียนแห่งนี้ไม่เป็นสองรองใคร
ว่ากันว่านักเรียนที่ทางโรงเรียนสอนมาไม่มีใครย่ำแย่เลย แต่ก็พูดไม่ได้ว่าทุกคนจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยชื่อดัง
“เสี่ยวเถียน มองอะไรอยู่น่ะ?” เสี่ยวจิ่วสงสัย
ประตูโรงเรียนแห่งนี้ดูสูงและสง่างามกว่าที่อำเภอนิดหน่อย แต่มันก็ไม่ได้ต่างกันมาก
“พี่เก้า พวกเราเข้าไปกันเถอะ!” เสี่ยวเถียนค่อย ๆ เดินเข้ารั้วโรงเรียนไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนที่ออดคาบเรียนแรกจะดังขึ้น เสี่ยวเถียนตัดสินใจไปหาครูใหญ่กู้ก่อน
ทันทีที่เขาพบเสี่ยวเถียน ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความสุข
สาวน้อยคนนี้เรียนเก่ง มีครูสอนที่ดี ไม่มีอะไรต้องขุ่นเคืองใจเลย
เพราะคิดเช่นนี้ครูใหญ่กู้จึงไม่ได้ไม่พอใจอะไรเมื่อได้ยินคำขอของเธอว่าจะไม่พักที่โรงเรียน
อันที่จริงเขาก็พบเหตุผลดี ๆ ที่เหมาะสำหรับเสี่ยวเถียนด้วย
“เพราะเธอมีครูดี เลยต้องมีเรียนตอนค่ำด้วยใช่ไหมล่ะ?” อันที่จริงคำพูดนี้มีความประจบประแจงอยู่เล็กน้อย
เขาอยากจะถามว่าถ้าเชิญคุณฉือมาสอนที่โรงเรียนจะพอเป็นไปได้ไหมด้วยซ้ำ หากแต่เขาไม่ได้ถามออกไป
ส่วนเสี่ยวเถียนรู้สึกงุนงง
ที่แท้ก็คิดแบบนี้อยู่หรือ?
“ใช่ค่ะครูใหญ่กู้!” เธอพยักหน้าหงึกหงัก เพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องเป็นเช่นนี้แหละ
ครูใหญ่แย้มยิ้ม ในเมื่อมีผู้อาวุโสฉือสอนเป็นการส่วนตัว เด็กคนนี้จะต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน!
“ได้สิ งั้นก็ไม่ต้องพักที่โรงเรียนหรอก เรื่องนี้เดี๋ยวครูจัดการให้นะ!”ครูใหญ่มีทีท่าที่ดีมากจนไม่ต้องพูดอะไร
เด็กสาวไม่คิดเลยว่าเรื่องราวต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างราบรื่น ขณะที่คิดจะกล่าวขอบคุณ ครูใหญ่กู้ก็เอ่ยถามอีกครั้ง
“เสี่ยวเถียนเอ้ย พี่ชายเธอก็ต้องไปฟังคุณฉือสอนด้วยใช่ไหม?”
เดิมทีเธอไม่ตั้งใจจะพูดเรื่องพี่ ๆ อยู่แล้ว
แต่ในเมื่อครูใหญ่เอ่ยขึ้นมา ก็ได้แต่ตอบไปอย่างไม่เกรงใจ “ใช่แล้วค่ะ พี่ ๆ ของหนูก็ต้องไปเหมือนกัน!”
เรียนอะไรล่ะ เธอไม่เรียนหรอก พี่ ๆ ก็ด้วย! แต่การอยู่หอที่โรงเรียนเหมือนไม่ดีเท่าไร ไม่สู้กลับบ้านเสียดีกว่าหรือ! เสี่ยวเถียบรรลุเป้าหมายแล้ว ก่อนจะกลับไปห้องเรียน
ห้องเรียนพิเศษที่เธอกำลังเรียนคือห้อง 18
ภาพรวมของห้องมีลักษณะพิเศษคือ เด็ก ๆ อายุน้อยกว่าห้องปกติโดยเฉลี่ยสี่ถึงห้าปี และครูประจำชั้นของห้องนี้คือ ฮวางเหวินป่าย ชายหนุ่มวัยสามสิบ
ในไม่ช้าอีกฝ่ายก็ได้ยินว่าเด็ก ๆ บ้านซูไม่ต้องนอนที่โรงเรียน
ปฏิกิริยาแรกเมื่อทราบข่าวคือไม่เชื่อ ก่อนหน้านี้พูดกันแล้วนี่ว่าทุกคนจะต้องอยู่ที่โรงเรียน แต่ตอนนี้กลับมีกรณีพิเศษ ครูใหญ่กู้คงไม่ทำหรอกใช่ไหม?
แต่ข่าวที่เผยแพร่ออกมามันทำให้เขาไม่เชื่อ หรือมันจะเป็นเรื่องจริงกัน?
เขาต้องไปหาครูใหญ่กู้ด้วยตัวเองแล้ว
“ครูใหญ่ครับ แบบนี้ไม่ได้นะ ถ้ามีคนได้สิทธิพิเศษ มันจะมีผลกระทบที่เลวร้ายแน่นอนครับ!”
เขามีความคาดหวังสูงต่อชั้นเรียนนี้มาก และไม่อยากให้มันพังเพราะคนใช้สิทธิพิเศษ!
“ถ้างั้นบอกฉันทีว่าต้องทำยังไง? จะให้ทิ้งครูที่เก่งกาจแบบนั้นไว้เสียเปล่าหรือ?” ครูใหญ่จ้องมองมาที่เขา
“ครูที่เก่งกาจ? ครูใหญ่ ท่านดูเมืองหลวงของเราสิ โรงเรียนมัธยมอันดับเจ็ดของเรามีครูดี ๆ เยอะแยะเลย คนบ้านซูจะยังมีครูที่เก่งกว่านี้อีกหรือ?” ฮวางเหวินป่ายเอ่ยอย่างดูถูก
ครูใหญ่กู้มองอีกฝ่ายแล้วถอนหายใจ “ครูฮวาง คุณยังเด็กอยู่นะ คงไม่รู้สินะว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าน่ะ!”
โรงเรียนเรามีครูที่เก่งก็จริง แต่มันก็แค่เก่งไม่ใช่หรือ สำหรับนักวิชาการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่รุ่นเก่าอย่างฉือเก๋อแล้ว ความต่างมันไม่ใช่เล็ก ๆ เลยนะ
ถ้าโชคดีได้ฟังการสอนเขาของเมื่อไร ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง! แต่ปัญหาในตอนนี้คือเด็ก ๆ บ้านนั้นได้ฟังการระดับปรมาจารย์ที่แท้จริงได้ทุกเมื่อที่พวกเขาต้องการน่ะสิ
ฮวางเหวินป่ายไม่เข้าใจความหมายนั้น
“ครูใหญ่ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ไม่มีทางเป็นคนบ้านซูหรอกนะครับ”
เขารู้อยู่แล้วว่าเด็กบ้านนี้เรียนเก่ง แต่พวกเขามาจากฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือนะ ในสถานที่แบบนั้นมันเป็นไม่ได้อยู่แล้วที่จะเปรียบเทียบกับเมืองหลวงในแง่ของระดับการศึกษาใช่ไหมล่ะ?
“ครูฮวางเคยได้ยินชื่อฉือเก๋อไหม?” ครูใหญ่กู้มองด้วยสายตาว่างเปล่า
เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานในโรงเรียน แล้วทำไมฮวางเหวินป่ายถึงไม่รู้ล่ะ?
ชั่วขณะหนึ่งที่เขาจำไม่ได้ว่าใครคือฉือเก๋อ
“ครูหวาง ดูเหมือนว่าคุณยังต้องปรับปรุงตัวเองขึ้นอีกนะ!”
ครูใหญ่กู้เห็นอีกฝ่ายจำตัวตนของฉือเก๋อไม่ได้ก็หุบยิ้ม
ทันใดนั้นเองที่เจ้าตัวนึกอะไรได้ขึ้นมา
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ปรับปรุงตัวเองเสียหน่อย แต่คนที่ชื่อฉือเก๋ออะไรเนี่ย หายไปตั้งหลายปีแล้ว แถมจู่ ๆ ครูใหญ่ก็เอ่ยขึ้นมา เขาจะไปจำได้ได้อย่างไรล่ะ?
“ครูใหญ่ ความสัมพันธ์ของฉือเก๋อกับเด็ก ๆ บ้านซูคืออะไรครับ?”
“คุณรู้ใช่ไหมว่าสภาพการเรียนการสอนของที่นั่นมันไม่ดี แล้วทำไมเด็กบ้านนี้ถึงสอบได้คะแนนดีแบบนี้เสียล่ะ?” ครูใหญ่กู้ไม่ตอบ แต่เป็นฝ่าถามแทน