บทที่ 407 เพลงอกหัก
บทที่ 407 เพลงอกหัก
ใบหน้าที่เรียบเนียนของเซี่ยเต๋าอวิ๋นกลายเป็นสีแดง “เจ้าช่างพูดจาปากหวานจริง ๆ เจ้ามีทักษะดี ๆ มากมายที่ได้รับจากการหลอกลวงผู้หญิง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เด็กสาวที่โดดเด่นเหล่านั้นต้องทนทุกข์ทรมานกับเจ้าเป็นอย่างมาก”
เซี่ยซิวเปล่งเสียงความอยุติธรรมของเขาทันที “พี่สาว ข้าพยายามพูดให้กำลังใจท่าน!”
“เงียบ! นางเตรียมที่จะดีดพิณแล้ว” เซี่ยเต๋าอวิ๋นนั่งลงเพื่อสังเกตการแสดงอย่างตั้งใจ
นางถูกรู้จักในฐานะที่เป็นผู้ยอดเยี่ยมในด้านศิลปะ ดังนั้นทักษะในการดีดพิณของเซี่ยเต๋าอวิ๋นจึงย่อมไร้ที่ติ สาเหตุที่นางมาที่นี่ก็เพื่อประเมินการแสดงเพลงพิณของคณิกาอันดับหนึ่งซึ่งโด่งดังด้านพิณเช่นกัน แต่ด้วยท่าทีที่จริงจังของนาง มันก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของนางดูเปล่งปลั่งและน่าหลงใหลมากขึ้นไปอีก
เซี่ยซิวมองไปที่พี่สาวของตัวเองก่อนจะถอนหายใจยาว “ช่างงดงามยิ่งนัก น่าเสียดายจริง ๆ น่าเสียดายเหลือเกิน”
แม้ว่าเซี่ยเต๋าอวิ๋นจะกำลังเตรียมตั้งใจประเมินทักษะพิณของชิวฮัวเล่ยอย่างจริงจัง แต่ด้วยคำพูดที่กำกวมของน้องชายตัวเอง มันก็ทำให้นางไม่สามารถตั้งสมาธิได้ “น่าเสียดาย?”
เซี่ยซิวขยิบตาและพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “น่าเสียดายที่ท่านเป็นพี่สาวที่รักของข้า! ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่มีวันออกไปหาผู้หญิงคนอื่นแน่นอน!”
หลังจากพูดจบ เขาก็รีบกระโดดออกห่างจากพี่สาวของตัวเองทันที
แน่นอนว่าเซี่ยเต๋าอวิ๋นรู้สึกทั้งอับอายและรำคาญ “เจ้าหนู เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าแกล้งข้างั้นเหรอ!?”
นางกระโดดขึ้นและเริ่มวิ่งไล่เขา เมื่อนางจับเขาได้ นางก็บิดหูของเขาทันที
“พี่สาว โปรดเมตตาด้วย…” ในขณะที่เซี่ยซิวกำลังอ้อนวอน เสียงเพลงอันไพเราะก็ดังขึ้น ชิวฮัวเล่ยเริ่มบรรเลงแล้ว
ทุกคนเงี่ยหูฟัง และให้ความสนใจเป็นพิเศษราวกับเสียงเพลงนี้ดังลงมาจากสวรรค์ เนื่องจากมีข่าวลือว่าชิวฮัวเล่ยจะเลือกให้ความบันเทิงกับใครสักคนเป็นการส่วนตัวในวันนี้ แต่ไม่มีใครรู้ว่านางจะใช้วิธีใดในการเลือกแขกของนาง นั่นเป็นเหตุผลที่ไม่มีใครเต็มใจที่จะปล่อยโอกาสทิ้งไป นางอาจถามความคิดเห็นจากทุกคนหลังจากที่เล่นเสร็จแล้ว
ขณะที่ฝูงชนสนใจชิวฮัวเล่ย ผู้ดูแลหอคณิกา ฮัวเว่ยเหมียนได้ออกจากมุมของห้องโถงและพูดกับเฉินเซวียนว่า “เราผิดพลาดไปจริง ๆ ที่ไม่ได้เตรียมบัตรเชิญสำหรับคนที่โดดเด่นเช่นท่าน เพื่อเป็นการไถ่โทษ หอสุขนิรันดร์ของเราได้จัดเตรียมโต๊ะพิเศษส่วนตัวให้ท่านและพวกของท่านเรียบร้อยแล้ว”
หลังจากพบว่าชายผมแดงผู้นี้เป็นผู้บ่มเพาะระดับที่หก หอสุขนิรันดร์ จึงได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว
นี่คือโลกที่เคารพความแข็งแกร่งเหนือสิ่งอื่นใด ภายในเขตแดนของ เมืองจันทร์กระจ่าง ผู้บ่มเพาะระดับหกจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้บ่มเพาะชั้นยอด
ผู้สูงส่งดังกล่าวควรค่าแก่การประจบประแจงและเสนอข้อตกลงที่ดีด้วย
เฉินเซวียนขมวดคิ้ว เขายังคงต้องการที่จะชำระแค้นของเขากับซูอัน แต่เนื่องจากชิวฮัวเล่ยเริ่มเล่นพิณของนาง ถ้าเขาทำให้เกิดความวุ่นวายต่อไปอาจทำให้ทุกคนหันมาโกรธเคืองเขาแทน
นอกจากนี้ เขายังสนใจในความงามอันเลิศล้ำของชิวฮัวเล่ย และต้องการตั้งใจฟังเพลงที่นางเล่น เพื่อที่เขาจะได้เตรียมคำตอบเมื่อถูกถาม
ในเมื่อไม่ต้องการสร้างปัญหาอีกต่อไป ชายผมแดงจึงพยักหน้าให้กับผู้ดูแลหอคณิกา โดยมีพนักงานของหอสุขนิรันดร์เป็นผู้นำทาง พวกเขาจึงถูกพาไปที่โต๊ะอีกด้านหนึ่งของห้องโถง
ฮัวเว่ยเหมียนโค้งตัวให้ซูอันและคนอื่น ๆ และกล่าวขอโทษต่อหวางหยวนหลงและพี่น้องตระกูลฉู่ นางจัดอาหารชุดใหม่ให้ และให้คำรับรองกับพวกเขาว่าค่าใช้จ่ายสำหรับวันนี้จะได้รับการดูแลโดยหอสุขนิรันดร์
ด้วยข้อเสนอที่เอื้อเฟื้อเช่นนี้ พวกเขาจึงพร้อมใจกันไม่คัดค้านเลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาวิตกกังวลว่าจะพลาดเพลงของชิวฮัวเล่ยไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ใส่อะไรกับฮัวเว่ยเหมียนมากนัก
ฉู่ฮงไฉเองก็หมกมุ่นอยู่กับการดื่มด่ำความงามของบทเพลง เขาจะมีเวลาไปสนใจพี่ฮัวได้ยังไง?
ซูอันถอนหายใจ ชิวฮัวเล่ยคนนี้เป็นผู้หญิงที่น่าเกรงขามจริง ๆ ความเข้าใจในการใช้จังหวะเวลาของนางนั้นถือว่าไร้ที่ติ
ดูเหมือนว่านางจะหายตัวไปในตอนที่พวกเขากำลังจะต่อสู้จนตัวตาย แต่เมื่อชิวฮัวเล่ยเริ่มเล่นพิณ นางก็ปรากฏตัวขึ้นเพื่อไกล่เกลี่ยสิ่งต่าง ๆ จนวิกฤตครั้งใหญ่คลี่คลายได้อย่างเงียบ ๆ โดยไม่มีความยุ่งยากใด ๆ
จากนั้นเขาก็ปล่อยให้ตัวเองดื่มด่ำไปกับเสียงเพลงจากพิณ
ดนตรีมีพลังเวทมนตร์ที่พิเศษ แม้ว่าจะไม่มีเนื้อร้อง แต่เสียงอันไพเราะก็ยังคงสามารถสร้างภาพให้ปรากฏในมโนสำนึกได้
สายลมเย็นพัดผ่านมา
ดอกไม้ที่ร่วงหล่นสวยงามและหลากหลาย
ชายคนหนึ่งดื่มเพียงลำพังข้างศาลาริมทะเลสาบ
เหมือนผู้เป็นอมตะที่ถูกเนรเทศจากสวรรค์
หัวใจของหญิงสาวสั่นไหว เรียกความกล้าหาญขณะที่นางก้าวออกไป
ทั้งสองเผชิญหน้ากันต่อหน้าดอกไม้และใต้แสงจันทร์ แสดงความเคารพต่อกันด้วยความรัก
วันหนึ่งชายคนนั้นจากไปโดยไม่มีการอำลา
ผู้หญิงรอที่ริมทะเลสาบทุกวัน
ถึงแม้ว่าชายคนนั้นจะไม่กลับมาอีก…
…
เมื่อจังหวะดนตรีเริ่มเศร้าโศก ผู้ชายทุกคนที่มาเพื่อแสวงหาความสุขต่างก็เริ่มร้องไห้
เพ่ยเหมียนหมานควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ก่อนใคร และถอนหายใจยาว “จริง ๆ แล้วผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่อ่อนโยนภายใต้รูปลักษณ์ภายนอกที่เจ้าชู้ของนาง ไม่มีใครอยากเป็นศัตรูกับคนแบบนี้…”
ในห้องส่วนตัวอื่น เซี่ยเต๋าอวิ๋นซับน้ำที่หางตาของตัวเองเบา ๆ เมื่อนางมองดูร่างที่งดงามหลังม่านมุกก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน “ถ้าจะให้พูดถึงทักษะของนางเรื่องพิณอย่างเดียว ข้าอาจจะสูงกว่านางเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ในแง่ของอารมณ์ในการเล่นของนาง และขับเคลื่อนจิตวิญญาณด้วยดนตรี ข้าด้อยกว่าจริง ๆ”
เซี่ยซิวคล้อยตามพี่สาวของเขา “ข้าเคยได้ยินคณิกาหลายคนเล่นพิณมาก่อน ในอดีตข้ามักจะซาบซึ้งกับการเล่นของพวกนางเสมอ แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า เมื่อเทียบกับชิวฮัวเล่ย คนอื่น ๆ เปรียบไม่ได้แม้แต่กับรองเท้าของนาง”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนบทสนทนาอย่างราบรื่นเพื่อปลอบใจพี่สาวของเขา “แต่พี่สาว ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องนี้ ท่านใช้ชีวิตอย่างหรูหราฟุ่มเฟือยอยู่เสมอ เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นและมีความสุข ประสบการณ์ทางอารมณ์ของท่านจึงเหมือนกับผืนผ้าใบที่ว่างเปล่า ดังนั้นมันจึงไม่น่าละอายเลยที่จะด้อยกว่าแม่นางชิวในด้านนี้ ในสถานที่แบบนี้ นางมีประสบการณ์มากกว่าที่ท่านมี แม้ว่านางจะดูเป็นหญิงสาวที่อ่อนหวานและไร้เดียงสา แต่หัวใจของนางต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดอย่างแน่นอน”
น้ำเสียงของเขาไม่ได้ส่อไปในทางดูถูกเหยียดหยามแม้แต่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยความชื่นชม “เฉพาะคนที่มีบาดแผลลึกเท่านั้นที่จะสามารถแสดงอารมณ์ผ่านการเล่นออกมาได้มากมายเช่นนี้”
เซี่ยเต๋าอวิ๋นมองดูน้องชายของนางอย่างพินิจพิเคราะห์ นางไม่คิดว่าน้องชายของตัวเองจะมีประสบการณ์ความรู้มากขนาดนี้ ท่านพ่อมักจะก่นด่าสาปแช่งเขาเสมอเพราะขาดความรับผิดชอบ แต่ดูเหมือนว่าคำสาปของพ่อจะไม่มีผลอะไรกับเขา
เมื่อเพลงจบลง ผู้ฟังก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง พวกเขาไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้าของตนเองเปียกโชกไปด้วยน้ำตา
“ยอดเยี่ยม!”
ผู้ฟังหลายคนลุกขึ้นยืนพร้อมปรบมือและส่งเสียงชื่นชมในทันที พวกเขาทั้งหมดพยายามส่งเสียงให้ดังเพื่อเอาชนะกันและกัน ราวกับกลัวว่าเทพธิดาที่บรรเลงเพลงพิณเมื่อครู่จะมองข้ามไป หากพวกเขาเงียบเกิน
ชิวฮัวเล่ยก็ยืนขึ้นเช่นกัน นางวางพิณไว้ข้างหลังแล้วเดินก้าวออกไปอย่างสง่างาม และเมื่อนางเดินเข้าใกล้ระเบียง สาวสวยสองคนก็ช่วยกันดึงม่านมุกให้แหวกออกเพื่อให้นางเดินผ่านออกไปที่ด้านนอกระเบียง
ใบหน้าที่งดงามปานล่มเมืองได้ปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน นางโค้งคำนับเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าผู้น้อย ชิวฮัวเล่ย ขอทักทายแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน”
เฉพาะตอนนี้ เมื่อนางยืนอยู่ที่ริมระเบียง ทุกคนสังเกตเห็นว่าแขนของนางขาวราวกับหิมะ มันเนียนละเอียดราวกับหยก ซึ่งมองเห็นได้เลือนรางภายใต้ผ้าโปร่งบางสีขาวบริสุทธิ์
ผู้หญิงคนนี้เก่งเรื่องการใช้ทรัพย์ทางกายของนางจริง ๆ เพ่ยเหมียนหมานที่เป็นผู้หญิงด้วยกัน สามารถมองเห็นอุบายของนางได้อย่างชัดเจน
น่าเสียดายที่สายตาของผู้ชายข้างล่างไม่เฉียบแหลมเท่านาง เมื่อพวกเขาเห็นภาพนี้ จังหวะหายใจของพวกเขาก็เริ่มถี่รัว และปากของพวกเขาก็แห้งผาก ถ้าเพียงแต่พวกเขาสามารถคว้าชิวฮัวเล่ยเข้ามาในอ้อมกอดของพวกเขาได้ พวกเขาก็คงไม่ลังเลที่จะฉีกชุดของนางเป็นชิ้น ๆ และย่ำยีร่างกายอันวิจิตรงดงามของนาง…
น่าเสียดายที่เรื่องนี้ยังคงเป็นจินตนาการต่อไป ในเมื่อคนทั้งห้องโถงจับตามอง ใครกันจะกล้ายั่วยุความโกรธของฝูงชนโดยการทำสิ่งที่ป่าเถื่อนเช่นนั้น?
ในทางกลับกัน ซูอันกลับรู้สึกเย้ยหยัน ลกซุนพูดถูกจริง ๆ ความสามารถของจิตใจมนุษย์ในการจินตนาการนั้นเกินไปจริง ๆ มันสามารถคิดภาพของร่างกายที่เปลือยเปล่าได้เพียงแค่เห็นท่อนแขนลาง ๆ เห็นได้ชัดว่าจิตใจมนุษย์ไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน มันก็ทำงานแบบเดียวกัน
ในขณะเดียวกัน เฉินเซวียนตะโกนขึ้นอย่างกล้าหาญและมั่นใจ “น้องหญิง ข้าชื่อเซวียนเฉิน เป็นเกียรติที่ได้พบเจ้า!”
เขาใช้ชีวิตอย่างโลดโผนมาโดยตลอด ดังนั้นจึงกล้าได้กล้าเสียกว่าคนอื่น ๆ โดยขณะที่พูด เขาก็มองประเมินนางอย่างไม่ลดละ
ใบหน้านั้น หน้าอกนั้น เอวนั้น ก้นนั้น…แม้ว่าจะรวมผู้หญิงทั้งหมดที่ข้าจับมา นางพวกนั้นเทียบไม่ได้เลยแม้แต่กับนิ้วเท้าของหญิงสาวคนนี้เพียงนิ้วเดียว!
ข้าต้องได้ผู้หญิงคนนี้! เขาท่องประโยคนี้ในใจอย่างต่อเนื่องด้วยความเชื่อมั่นในตัวเองว่าสามารถไขว่คว้าทุกอย่างได้เท่าที่ตัวเองต้องการ