“สวัสดีครับ รบกวนเซ็นรับพัสดุด้วยครับ”

ณ เขตซื่อจี้ในมณฑลเยี่ยน กริ่งประตูบ้านหลังหนึ่งดังขึ้น

ชายขอบตาดำคล้ำคนหนึ่งเดินหาวออกไปเปิดประตูบ้านของตน

หลังจากเซ็นรับพัสดุ เด็กหนุ่มพนักงานขนส่งไม่ได้รีบร้อนกลับไปทันที แต่กลับจ้องมองชายคนนั้นด้วยความสงสัย

“มีอะไรหรือเปล่าครับ”

“ขออนุญาตถามนะครับ ไม่ทราบว่าคุณใช่อาจารย์เทียนจี้ไป๋นักเขียนนิทานชื่อดังหรือเปล่าครับ ผมเคยเห็นภาพของคุณบนอินเทอร์เน็ต…”

“ใช่ครับ”

ชายหนุ่มเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เขาคือเทียนจี้ไป๋ หนึ่งในนักเขียนชาวเยี่ยนซึ่งส่งคำท้าถึงฉู่ขวงในการประชันวรรณกรรมครั้งนี้

หลังจากสู้รบกับฉู่ขวงเมื่อคืนนี้ เทียนจี้ไป๋ก็ตื่นเต้นมากจนนอนไม่หลับ ในสมองเต็มไปด้วยฉากนองเลือดในวันนี้ จนพานให้ขอบตาดำคล้ำ

“นึกไม่ถึงเลยนะครับว่าจะเป็นอาจารย์ตัวจริง! ผมขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมครับ เซ็นบนกระเป๋าผมเลยก็ได้!” พนักงานขนส่งเอ่ยด้วยความคาดหวัง

เทียนจี้ไป๋ยิ้มบาง ทำตามคำขอของอีกฝ่าย

ก่อนจะจากไป จู่ๆ พนักงานขนส่งก็ชูกำปั้นขึ้นมา “อาจารย์เทียนจี้ไป๋สู้เขานะครับ คุณเอาชนะฉู่ขวงในการประชันวรรณกรรมได้แน่นอน คนเยี่ยนอย่างผมสนับสนุนพวกคุณอยู่แล้ว!”

เทียนจี้ไป๋อึ้งไป

ดูท่าเรื่องที่ฉู่ขวงประชันวรรณกรรมกับนักเขียนทั้งเก้าคนจะมาถึงขั้นที่คนรู้กันทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว

“ผมรับรองได้!”

เขาพยักหน้าด้วยความมั่นใจ “อย่างน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับยอดฝีมือชาวเยี่ยนอย่างเรา ฉู่ขวงจะไม่มีโอกาสชนะแม้แต่นิดเดียว!”

“มันต้องอย่างนี้สิครับ!”

พนักงานขนส่งส่งเสียงเชียร์พลางจากไป

มุมปากของเทียนจี้ไป๋ยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย มือแกะห่อพัสดุ

วันนี้เป็นวันที่ผลงานชิ้นใหม่ของตนและฉู่ขวงวางขาย สินค้าในห่อพัสดุก็คือสิ่งที่เขาสั่งซื้อล่วงหน้าจากร้านหนังสือ นั่นก็คือหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง และนิตยสารราชานิทานฉบับที่สองซึ่งคลังหนังสือซิลเวอร์บลูตั้งใจวางแผงล่วงหน้า เนื่องจากสนิทสนมกับเจ้าของร้านหนังสือ วันนี้เขาจึงเป็นนักเขียนนิทานคนแรกซึ่งได้รับหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง

เขากระจ่างในผลงานของตนเองดี ตอนนี้จึงควรอ่านผลงานของฉู่ขวงสักหน่อย

เทียนจี้ไป๋หยิบหนังสือซึ่งมีหน้าปกสีดำขึ้นมา ท่ามกลางกลิ่นหอมของน้ำหมึก หน้าปกเขียนอักษรตัวใหญ่ฉวัดเฉวียนงดงาม

แดนนิทาน

และทางขวาของตัวอักษรเหล่านี้ มีข้อความเล็กๆ เพิ่มเติมว่า ‘อีกชื่อหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ นิทานฉู่ขวง’

ที่แท้ชื่อจริงของหนังสือก็คือแดนนิทานสินะ

เทียนจี้ไป๋เบ้ปาก นี่เป็นการปรับทั้งภาพประกอบและปรับทั้งชื่อเรื่อง ฉู่ขวงพยายามใช้ลูกเล่นหลากหลาย แต่กลับลืมไปว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของหนังสือก็คือเนื้อหา

“นี่คงจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าหนังห่วยแต่เพลงประกอบขั้นเทพ?”

ถ้าหากอิงจากทฤษฎี ‘หนังห่วยแต่เพลงประกอบขั้นเทพ’ เช่นนั้นนิทานของฉู่ขวงคงจะมีเนื้อหากระจอกงอกง่อย ทว่าภาพประกอบเป็นเลิศ?

ถ้าฉันร่วมงานกับศิลปินวาดภาพประกอบคนนั้นได้คงจะดี

ความคิดเช่นนี้ปรากฏขึ้นในสมอง เทียนจี้ไป๋เปิดแดนนิทานหนังสือเล่มใหม่ของฉู่ขวง

เรื่องแรกคือเรื่องสโนวไวท์ซึ่งฉู่ขวงได้เผยแพร่ออกไปแล้ว

“ต้องยอมรับว่าเรื่องสโนวไวท์เขียนได้ไม่เลวเลย”

เทียนจี้ไป๋พึมพำกับตัวเอง “แต่ในบรรดานิทานที่รวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ สโนวไวท์คงเป็นเรื่องเดียวที่หยิบออกมาใช้ได้”

ถ้าครั้งนี้ฉู่ขวงประชันวรรณกรรมกับตนแบบหนึ่งต่อหนึ่ง และใช้ผลงานระดับเดียวกับสโนวไวท์ออกมาอีก ตนไม่มีทางชนะได้ง่ายๆ ทว่าครั้งนี้ฉู่ขวงดันไปเปิดศึกกับนักเขียนเก้าคนพร้อมกัน

หรือว่าเขายังเขียนผลงานระดับเดียวกับสโนวไวท์ออกมาได้อีก?

นี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การสร้างสรรค์ผลงานเก้าชิ้นออกมาพร้อมกัน รังแต่จะทำให้ฉู่ขวงหมดพลัง

เมื่อคิดเช่นนี้

เทียนจี้ไป๋จึงมองไปยังนิทานเรื่องที่สอง

นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘ซินเดอเรลลา’

เมื่อเห็นชื่อเรื่อง เทียนจี้ไป๋ก็เอ่ยค่อนแคะอย่างอดไม่ได้

“เรื่องก่อนหน้านี้ก็เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ ครั้งนี้ก็ซินเดอเรลลา ฉู่ขวงคิดจะเรียกกระแสให้ตัวเองหรือไง ทำไมไม่ใช้คำว่าสีดำ[1]ไปซะเลยล่ะ”

ไม่ใช่ว่าเทียนจี้ไป๋เป็นคนอารมณ์ร้อน

ปกติแล้วเทียนจี้ไป๋ไม่ใช่คนที่แค้นฝังหุ่นนักเขียนคนอื่นๆ และไม่ใช่คนจิตใจคับแคบ

หลักการของชาวเยี่ยนคือ

ต่อให้อีกฝ่ายเป็นคู่แข่งของตน แต่ทุกคนต้องรักษาบรรยากาศเป็นกันเองในการประชันวรรณกรรม เรียกว่ามิตรภาพผ่านตัวอักษร

แต่ฉู่ขวงคนนี้ยโสโอหังเกินไป!

เขาถึงเลือกสู้แบบหนึ่งต่อเก้าเชียวนะ!

สำหรับนักเขียนผู้ทรงคุณวุฒิทั้งเก้าท่านนี้ ไม่ว่าจะเป็นท่านใดก็รับไม่ได้ หากใช้ประโยคฮิตมาอธิบายก็คือ

รู้สึกว่าถูกหมิ่นประมาท

ดังเช่นที่ชาวเน็ตบางคนสัพยอก ครั้งนี้ฉู่ขวงบอกกับนักเขียนทั้งเก้าคนว่า ‘พวกคุณมาพร้อมกันเลย’ ใช่ไหมล่ะ?

ใครจะไปรับได้?

สิ่งที่ทำให้นักเขียนชื่อดังเหล่านี้ยิ่งเดือดดาลขึ้นไปอีก ก็คือสู้แบบหนึ่งต่อเก้าแล้วฉู่ขวงยังไม่หนำใจ ต้องมายั่วยุบนปู้ลั่วอย่างหน้าตาเฉย

‘ยังมีใครอีกไหมครับ’

แค่เก้าคนยังไม่พออีกหรือ?

ประโยคนี้กลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายซึ่งจุดชนวนความโกรธแค้นของชาวเยี่ยน เชื่อว่าไม่เพียงชาวเยี่ยน แต่ทั้งจินซานและฉีฉีซึ่งเคยพ่ายแพ้ให้ฉู่ขวงมาก่อนก็คงเข้าใจความรู้สึกในตอนนี้ของเทียนจี้ไป๋เช่นกัน

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลเหล่านี้ เทียนจี้ไป๋จะใจเต้นไม่เป็นส่ำจนนอนไม่หลับทั้งคืนได้อย่างไร

“ถึงเวลาชดใช้ในความหยิ่งยโสของคุณเองแล้ว”

เทียนจี้ไป๋เริ่มต้นอ่านเรื่องซินเดอเรลลาเพื่อระงับความขุ่นเคืองต่อฉู่ขวง เพียงแต่บนใบหน้ายังคงหลงเหลือความดูแคลนอยู่บ้าง

ห้านาทีผ่านไป

เมื่อเทียนจี้ไป๋อ่านเรื่องซินเตอเรลลาจบ สีหน้าเหยียดหยามบนใบหน้าของเขาก็อันตรธานไปจนหมดสิ้น

แทนที่ด้วยความจริงจังและการขบคิด

“อืม…”

เทียนจี้ไป๋ไม่ได้ด่วนสรุป เขาอ่านเรื่องต่อไป นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่า ‘หนูน้อยหมวกแดง’

“นี่มัน…”

หลังจากอ่านเรื่องหนูน้อยหมวกแดงจบ แววตาที่ขึงขังก็ฉายแววบนใบหน้าอันจริงจังของเทียนจี้ไป๋

เขาเม้มปาก

เทียนจี้ไป๋พลิกเปิดเรื่องที่สาม เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘ฉลองพระองค์ใหม่ของพระราชา’ เรื่องราวค่อยๆ ปรากฏสู่สายตาอันขึงขังเขา

“เฮือก”

ทันทีที่อ่านเรื่องที่สามจบ เทียนจี้ไป๋ก็พลันสูดลมหายใจเข้าลึก เพียงแค่เปิดอ่านเรื่องต่อไปอย่างเงียบขรึม

“ลูกเป็ดขี้เหร่…”

เรื่องที่สี่จบลงเช่นกัน เมื่อพบว่าสุดท้ายแล้วเจ้าลูกเป็ดขี้เหร่กลายเป็นหงส์ขาวงามสง่า เขาก็พรูลมหายใจออกมาเต็มแรง

ราวกับกำลังทอดถอนใจ

จิตใจของเขากำลังปั่นป่วน มิหนำซ้ำความรู้สึกเช่นนี้ยิ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วยามเปิดอ่านเรื่องที่ห้า

“เจ้าหญิงนิทรา…”

เมื่ออ่านจนถึงตอนจบของเรื่อง มือข้างขวาซึ่งใช้พลิกหน้ากระดาษแลดูประหนึ่งฉากสโลว์โมชันในภาพยนตร์ ผิวหนังของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

เจ้าหญิงนิทราตื่นขึ้นแล้ว

ทว่าในใจของเทียนจี้ไป๋กลับพรั่งพรูความขืนขัดไม่ยอมจำนน ท่ามกลางความรู้สึกนี้ เขาเปิดอ่านเรื่องที่หก

ซึ่งมีชื่อเรื่องว่า ‘เจ้าชายกบ’

เป็นชื่อเรื่องที่ธรรมดา แต่กระนั้นเทียนจี้ไป๋กลับไม่กล้าปริปากบ่น โดยเฉพาะหลังจากที่อ่านเรื่องนี้จบแล้ว ฝ่ามือของเขาชุ่มเหงื่อ จนเมื่อพลิกอ่านเรื่องต่อไป มุมด้านขวาล่างของหน้าหนังสือจึงเกิดรอยยับ เนื่องจากออกแรงมากเกินไป

เรื่องที่เจ็ด

เรื่องนี้มีชื่อว่า ‘เงือกน้อยผจญภัย’ ตัวเอกเป็นเพียงเจ้าชายทั่วไป ทว่าเมื่อเทียนจี้ไป๋อ่านถึงตอนจบ ความรู้สึกกลับพังทลายอย่างไม่อาจอธิบายได้ ไม่รู้ว่านี่เขาปวดใจกับการเสียสละของนางเงือก หรือเป็นเพราะเหตุผลอื่น

กร็อบแกร็บ!

ท้ายที่สุดเรี่ยวแรงในการพลิกหน้ากระดาษเกินกว่าขีดจำกัดที่กระดาษจะรองรับได้ เสียงดังขึ้นชัดเจน มุมล่างของหน้ากระดาษยับยู่ยี่

ขอบตาของเขาแดงระเรื่อ

เทียนจี้ไป๋แทบต้องบีบบังคับให้ตนเองอ่านเรื่องที่แปด อีกทั้งยามที่เรื่องราวดำเนินไป เขารู้สึกประหนึ่งตนยืนอยู่ท่ามกลางค่ำคืนอันหนาวเหน็บ ไอเย็นปกคลุมทั่วร่างซึมลึกเข้ากรีดกระดูก เบื้องหน้าของเขาคือเด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ กำลังจุดไม้ขีดไฟ

“เด็กหญิงขายไม้ขีดไฟ…”

จู่ๆ หน้ากระดาษก็เปียกชื้น ยามที่เทียนจี้ไป๋ตั้งสติได้ หน้ากระดาษก็เปียกชุ่มเป็นดวงเพราะน้ำตา เสียงเล็กของเด็กราวกับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา “คุณผู้ชายต้องการซื้อไม้ขีดไฟไหมคะ”

“ได้สิ”

เทียนจี้ไป๋พึมพำกับตัวเอง แม้แต่ตัวเขาเองยังลืมตัว ว่าน้ำเสียงของเขาในตอนนี้อ่อนโยนมากแค่ไหน เช่นเดียวกับเขาซึ่งกำลังคลี่หน้ากระดาษยับย่นอย่างเบามือ ท่าทางระมัดระวังมากทีเดียว

ในที่สุด…

เทียนจี้ไป๋อ่านนิทานเรื่องสุดท้ายจบแล้ว เขาปิดเล่มหนังสือลง สายตาจับจ้องไปยังตัวอักษรฉวัดเฉวียนบนหน้าปกหนังสือ

“แดนนิทาน!”

ท้ายที่สุดสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่คำว่า ‘แดน’ ในห้วงสำนึกปรากฏความคิดพิลึกขึ้นมา คำว่า ‘แดน’ ในแดนนิทาน ควรเปลี่ยนคำด้านหลังให้เป็น…

‘แดนประหาร’ ดีกว่าไหม?

……………………………………………..

[1] สีดำ เป็นการเล่นคำจากชื่อเรื่องในภาษาจีน เนื่องจากชื่อเรื่องเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ในภาษาจีนคือ ‘เจ้าหญิงหิมะขาว’ และชื่อเรื่องซินเดอเรลลาในภาษาจีนคือ ‘ดรุณีสีเทา’