ตอนที่ 263 วิวัฒนาการขั้นสุดยอดของทหารถั่วเซียน (1)
หลี่ฉางโซ่วยังคงนึกถึงสิ่งที่เขาเพิ่งทำไป…
มันให้ความรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย
เขายังไม่ทันออกแรง อีกฝ่ายก็ล้มลงไปแล้ว
ไม่เพียงแต่ล้มลงเท่านั้น แต่ยังลากผู้ยิ่งใหญ่อีกคนลงไปในกับดักด้วย…
หลี่ฉางโซ่วได้เรียนรู้มานานแล้วว่า ท่านอาจารย์ลุงจ้าวนั้น ช่างไร้เดียงสาและโง่เขลาเพียงใด เขารู้จักอาจารย์ลุงจ้าวไม่มากก็น้อย
หากไม่เป็นเพราะอาจารย์ลุงจ้าวมีกรรมใหญ่หลวง หลี่ฉางโซ่วย่อมยินดีที่จะผูกไมตรีกับเขา
แต่หวงหลงเจินเหรินผู้นี้…
‘เขาซื่อสัตย์จริงๆ หรือเป็นโจรใหญ่กัน?’
เพราะหัวใจแยกจากท้อง[1] เวลานี้ เขาจึงยังไม่กล้าสรุปเพราะมองตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่าย
ในขณะที่หลี่ฉางโซ่วกำลังนั่งอยู่ในห้องลับใต้ดินของหอโอสถ เขากดหว่างคิ้วบนหน้าผากของเขา แล้วกางกระดาษสองแผ่นออกก่อนจะวาดสัญลักษณ์พิเศษสองสามตัวลงบนกระดาษแผ่นแรก
พวกมันเป็นสัญลักษณ์ของไม้ตีกลอง จอกเรืองแสง ตะกร้าไม้ไผ่ หน้าไม้ และกล้วยไม้
จากนั้น เขาก็วางกระดาษแผ่นนั้นไว้ข้างหน้าและวาด “สิ่งของ” เล็กๆ จำนวนมากลงบนกระดาษแผ่นที่สอง
ต้นอ่อนเล็กๆ เป็นตัวแทนที่แสดงตำแหน่งของปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ของเขาซึ่งอยู่ตรงกลาง
มีรูปวาดโครงร่างคนนั่งอยู่ใต้ต้นอ่อนเล็กๆ นั้น มันเป็นตัวแทนของหลี่ฉางโซ่วที่กำลังอยู่ใต้ต้นไม้เพื่อให้ตัวเองเย็นสบายโดยอาศัยร่มเงาของมัน
ถัดไป ทางด้านซ้ายของต้นไม้เล็กๆ เขาก็วาดปู เพื่อใช้มันเป็นสัญลักษณ์แทนอาจารย์ลุงจ้าวที่มักจะทำทุกอย่างตามต้องการอย่างไร้การยับยั้งชั่งใจ
นอกจากนี้ ยังมีสาหร่ายสามแผ่นอยู่หลังปู ซึ่งเป็นตัวแทนของเทพธิดาซานเซียน เห็นได้ชัดว่า หนึ่งในนั้น ลงหมึกเข้มมาก จึงทำให้ดูสดใส มีชีวิตชีวามาก ส่วนอีกสองสาหร่ายนั้น ถูกวาดออกมาอย่างไม่ตั้งใจในคราวเดียว
หลี่ฉางโซ่วยังวาดภาพเตาหลอมขนาดเล็กที่ไร้ขา มันเป็นตัวแทนของฉินหว่าน และมีจุดเก้าจุดบนเตาหลอม ซึ่งเป็นตัวแทนของสิบจักรพรรดิสวรรค์แห่งเกาะเต่าทอง
ทางด้านขวาของต้นไม้เล็กๆ หลี่ฉางโซ่ววาดตัวอักษร ‘A’ ซึ่งเป็นผู้อาวุโสอวิ๋นจงจื่อ และวาดสัญลักษณ์หน้ายิ้มให้เป็นตัวแทนของหวงหลงเจินเหริน…
พวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของจอมปราชญ์เทพทั้งสามคนที่เขาเคยติดต่อด้วยโดยตรงแล้ว นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่บนกระดาษ ตัวอย่างเช่น ปรมาจารย์เจ้าสำนักแห่งสำนักตู้เซียน นักพรตเต๋าจี้อู๋โหย่ว เขาเป็น ‘ทหารกล้าตายนิรนามเล็กๆ’ ที่ขอบของมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรวมเขาไว้ที่นั่น หลี่ฉางโซ่วได้เพิ่มเห็ดหลินจืออีกชิ้นเพื่อเป็นตัวแทนของหานจื่อ เขาวาดแส้หางม้าเอาไว้ใต้ต้นอ่อนเล็กๆ ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ก่อตั้งสำนักตู้เซียน ตู้เอ้อร์เจินเหริน
แม้จะไม่ได้สัมผัสโดยตรง แต่เขาก็มีกรรมที่ลึกซึ้งกับเจินเหรินผู้นั้น
จากนั้น หลี่ฉางโซ่วก็จดจ่ออยู่กับกระดาษแผ่นนี้เงียบๆ และปล่อยให้อารมณ์ผ่อนคลายลงแล้วค่อยๆ คิดถึงมัน
มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพคือ สงครามกลางเมืองระหว่างสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
แผนของสำนักบำเพ็ญประจิมประสบผลสำเร็จ
ในเวลานั้น ไม่เพียงแต่สิ่งมีชีวิตในดินแดนเทวะทักษิณจะถูกทำลายเท่านั้น แต่บรรดาสำนักเซียนของสามสำนักบำเพ็ญเต๋าในดินแดนเทวะมัชฌิมาและดินแดนเทวะบูรพาก็จะตกอยู่ในอันตรายด้วยเช่นกัน
สำหรับภัยพิบัติเล็กน้อยเช่นนี้ เช่น การที่เผ่ามังกรเข้าสู่ศาลสวรรค์นั้นได้ถูกลิขิตให้คนในเผ่าทะเลและเผ่ามังกรต้องตกตายไปเป็นจำนวนมาก
แต่มันไม่คู่ควรให้กล่าวถึงเลย เมื่อเทียบกับมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพในภายภาคหน้าแล้ว
เผ่าทะเลเป็นเพียงหนึ่งในผู้สนับสนุนในโลกบรรพกาลเท่านั้น
เวลานี้ ตัวเอกในโลกบรรพกาลคือ เผ่าพันธุ์มนุษย์ สามสำนักบำเพ็ญเต๋าและผู้ฝึกบำเพ็ญมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วน…
ยิ่งหลี่ฉางโซ่วรู้ถึงสถานการณ์ในเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งต้องเกี่ยวข้องกับศาลสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น ในขณะนั้น เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าภัยพิบัติที่กำลังจะแผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วทั้งห้าดินแดนเทวะและมหาตรีสหัสโลกธาตุนั้น กำลังก่อตัวขึ้นเงียบๆ
เขาสรุปว่าไม่ควรมีคนบาดเจ็บล้มตายมากเกินไปในช่วงมหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ มันเป็นดั่งการเปลี่ยนแปลงอำนาจตามปกติของราชวงศ์ในดินแดนเทวะทักษิณ
ทว่าการตายของผู้ฝึกบำเพ็ญมากมายจนน่าตกใจยิ่งนั้น อาจเทียบได้กับการตายของสิ่งมีชีวิตในช่วงภัยพิบัติของเผ่าเวท-ปีศาจ
หาไม่แล้ว จะวัดภัยพิบัติกันด้วยอะไร?
มันไร้ทางเลือก นี่เป็นธรรมเนียมแห่งโลกบรรพกาล
ทุกครั้งที่ปรมาจารย์เต๋าสวรรค์รู้สึกว่าสิ่งมีชีวิตมีพลังแข็งแกร่งมากเกินไปจนโลกแบกรับไม่ไหวอีกต่อไปและกำลังจะถล่มทลายลง เขาก็จะสร้างสร้างภัยพิบัติครั้งใหญ่ขึ้นมาเพื่อระงับพวกมัน…
“ในยามนี้ คิดถึงเรื่องนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ น่าจะยังพอมีเวลาเหลืออยู่บ้าง” ภัยพิบัติครั้งใหญ่จะไม่มาถึงโดยปราศจากการเตือนล่วงหน้า อย่างน้อยที่สุด ก็ควรมีสัญญาณบอกเหตุบางอย่างล่วงหน้าสองสามพันปี
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญถึงแผนต่างๆ และแผนล่าสุดเกี่ยวกับสำนักเทพทะเลทักษิณและเผ่ามังกรเพื่อดูว่ายังมีอันตรายที่ซ่อนอยู่อีกหรือไม่
ข้าต้องใคร่ครวญวันละสามครั้ง ข้ามั่นคงและปลอดภัยในวันนี้ แล้วพรุ่งนี้ สิ่งต่างๆ จะยังมั่นคงหรือไม่?
เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ลุกขึ้นยืนและแปะกระดาษทั้งสองแผ่นนั้นเอาไว้บนผนังด้านหนึ่งและใช้พลังเซียนปิดผนึกเอาไว้ ไม่รู้ว่างานอภิเษกของรองเจ้าสำนักจะราบรื่นหรือไม่…
หลี่ฉางโซ่วไม่ชอบผูกมิตรกับผู้คน แต่ในเมื่อเขาสนิทกับอ๋าวอี่แล้ว เขาย่อมจะช่วยอ๋าวอี่อย่างแน่นอน หากทำได้โดยที่ไม่เป็นภัยต่อตัวเขาเอง
ส่วนอาจารย์ลุงจ้าว…
ช่างเถิด ช่างมันเถิด เพราะต่อให้มีข้าถึงสิบคน ก็ยังไม่อาจช่วยเขาไว้ได้
เมื่อหลี่ฉางโซ่วมุ่งความสนใจไปที่สถานการณ์ของยอดเขาหยกน้อย ในเวลานั้น จิ่วอูและคนอื่นๆ อีกสองคนก็จากไปเงียบๆ แล้ว
จิ่วอู และคนอื่นๆ ได้กินแตง[2]กันไปบ้าง และยืนยันว่า อาจารย์ของพวกเขากำลังเพลิดเพลินกันตามแบบของคู่บำเพ็ญเต๋า และในฐานะศิษย์ พวกเขาทำได้เพียงให้การสนับสนุนอย่างลับๆ เท่านั้น
ในบรรดาศิษย์ทั้งเก้าคนของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง มีคู่บำเพ็ญเต๋าอยู่ห้าคู่ แล้วเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า เมื่อมีคนนอกช่วยเหลือ ก็จะทำให้สถานการณ์วุ่นวายและยิ่งวุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ? เขาจึงทำได้เพียงรอให้เรื่องต่างๆ พัฒนาขึ้นเองเท่านั้น…
แม้เขาอยากร่ำรวย แต่ก็ยังต้องใส่ใจในศักดิ์ศรีของตัวเองด้วย
หลี่ฉางโซ่วไม่ได้ทำอันใดอื่นเพิ่มเติมในเรื่องการครองคู่ระหว่างปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่ง และปรมาจารย์ใหญ่ของเขา เขาช่วยพวกเขาเท่าที่จะทำได้แล้ว
เขาได้เตรียมเสื้อผ้าชุดพิเศษเอาไว้ให้ท่านปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขา และยังคิดแผนให้คำชี้แนะแก่ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งอีกด้วย…
แล้วเขาจะทำอันใดนอกเหนือจากนี้ได้อีกเล่า?
เขาไม่อาจปล่อยให้พวกเขาทั้งสองกล้ากระโดดเข้าสู่ความรักลุ่มหลงโดยไม่ยั้งคิดได้
เอ๋?
นี่เป็นความคิดที่ดีและข้าก็สามารถใช้ศิษย์คนหนึ่งของปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งให้จัดการได้อย่างชำนาญ…
ยังไม่สายเกินไปที่จะรอดูสถานการณ์ก่อน
สามวันหลังจาก “นิทรรศการศิลปะแห่งยอดเขาหยกน้อย” ท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งก็สวมเสื้อคลุม เต๋าชุดใหม่ที่จิ่วจิ่วทำขึ้นมา และก้าวตรงไปที่ยอดเขาพิชิตสวรรค์
ส่วนปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขา เจียงหลินเอ๋อร์ ในครั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วยังใช้เวลาในการสร้าง “เกราะเงินเกล็ดวาว” สำหรับนางเพื่อให้อำพรางบางส่วนและใช้ของปลอมปะปนของจริง[3]…
ทั้งสองยังคงพูดคุยและเดินต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งได้เตรียมการมาในคราวนี้ เขาหยิบขลุ่ยออกมาและเป่าเพลงสองสามเพลงใต้ต้นไม้ เสียงขลุ่ยดังไกลด้วยท่วงทำนองต่อเนื่อง และเต็มไปด้วยอักขระเต๋า หากเขาไปเปิดการแสดงในเมือง ผู้คนจะต้องจ่ายศิลาวิญญาณให้อย่างน้อยๆ สี่ก้อนเพื่อจะฟังดนตรีได้สักพักหนึ่ง…
น่าเสียดายที่ปรมาจารย์ใหญ่ตัวน้อยของเขารู้เพียงวิธีการชูกระบี่ใหญ่และทำร้ายผู้อื่นอย่างเดียวเท่านั้น หากนางร่ายรำที่ด้านข้างได้ คงจะมีภาพที่งดงามกว่านี้มากนัก
หลี่ฉางโซ่วเฝ้าสังเกตอยู่เป็นเวลาครึ่งวัน…
เมื่อท่านปรมาจารย์หว่างฉิงผู้สูงส่งจากไป ร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วก็ออกมาจากห้องลับใต้ดิน เขานำจานอาหารที่ปรุงสดใหม่ของหลิงเอ๋อร์และไหสุรา แล้วพาหลิงเอ๋อร์ไปเยี่ยมเยียนผู้อาวุโสว่านหลินหยุน
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ฉางโซ่วพาศิษย์น้องหญิงของเขาไปที่ยอดเขาตันติ่ง
เพื่อเป็นการให้หลิงเอ๋อร์ค่อยๆ ติดต่อกับผู้ทรงพลังยิ่งใหญ่ในสำนักและได้รับการคุ้มครองจากผู้อาวุโสว่านหลินหยุน ซึ่งเทียบเท่ากับการได้รับการสนับสนุนในสำนักอีกชั้นหนึ่ง
หากเขาได้รับการสนับสนุนมากขึ้น เขาก็ย่อมจะเตรียมพร้อมได้เสมอ
ต่อหน้าศิษย์พี่ของนาง หลิงเอ๋อร์จะละทิ้ง “ความฉลาด” เพียงทำตัวดี เชื่อฟัง และพากเพียรอย่างหนัก…
………………………………………………………………….
[1] ความสนิทสนมกลมเกลียวกันที่เห็นได้จากท่าทางแสดงออกภายนอกเท่านั้น แต่ภายในจิตใจอาจแยกห่างกันไปคนละทาง
[2] หมายถึง กินแตงโมรอเสพหรือวุ่นเรื่องราวของผู้อื่น คล้าย ”ปูเสื่อ” รอเผือก
[3] เป็นชุดที่เสริมหน้าอกสตรีให้ดูใหญ่ซึ่งหลี่ฉางโซ่วคิดค้นขึ้นและให้หลิงเอ๋อร์ตัดเย็บให้ ในที่นี้ก็คือ หน้าอกที่ใหญ่ขึ้นก็คือหน้าอกเสริมกับหน้าอกจริง