ตอนที่ 393

My Disciples Are All Villains

ยู่ฉางตงยังคงนิ่งสงบไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น คนคนนั้นก็คงจะพิจารณาเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแน่ มันเป็นเรื่องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย ใครจะยอมเสี่ยงชีวิตของตัวเองด้วยความกล้าเช่นนี้?

ในขณะที่ยู่ฉางตงกำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกอันแสนสำคัญ ตัวเขาก็ได้แต่ใช้ความคิดอย่างลึกซึ้ง มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะให้ตัดสินใจเลย ยู่ฉางตงพยายามพิจารณาถึงตัวเลือกที่มีอย่างรอบคอบ ตัวเขาจะต้องทิ้งความเป็นไปได้ที่จะต้องตาย ถ้ามีคนบอกให้ใครก็แล้วแต่ตัดขาข้างหนึ่งเพื่อใช้ชีวิตต่อ จะมีใครกล้าหาญมากพอที่จะทำแบบนั้นได้กัน

ในขณะที่ยู่ฉางตงกำลังเผชิญหน้ากับทางเลือกดังกล่าว แม้ว่ามันจะไม่ได้โหดร้ายเหมือนกับการตัดขาตัวเองจริงๆ แต่การตัดดอกบัวทองคำออกก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับอยู่ดี สำหรับผู้ฝึกยุทธ พลังวรยุทธที่มีเป็นเหมือนกับสิ่งสำคัญของชีวิต ถ้าหากไม่มีพลังวรยุทธอีกต่อไปพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากการที่ได้ตายทั้งเป็น

ตกกลางคืนภายในสุสานเมลิล็อตยังคงมืดมิด

ยู่ฉางตงกำลังถือฝักดาบของตัวเอง บางครั้งตัวเขาก็ได้ยกดาบยืนยาวออกมาด้วยหัวแม่มือ เสียงของดาบยืนยาวที่กำลังถูกชักออกมาส่งเสียงดังกว่าครั้งไหนๆ มันฟังดูคล้ายกับการลับดาบของช่างยอดฝีมือ

เหตุการณ์เช่นนี้ยังคงดำเนินแบบนี้ต่อไปตลอดทั้งคืน

เมื่อแสงสลัวได้ส่องลงมาบนสุสานอีกครั้ง นิ้วหัวแม่มือของยู่ฉางตงก็หยุดนิ่ง

ทุกๆ อย่างล้วนมีจุดจบ บางทีตอนจบอาจจะถูกเขียนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ตั้งแต่ที่ยู่ฉางตงได้ออกจากหุบเขาน้ำกร่อยไปตั้งแต่วัยเยาว์

ความตายนั้นน่ากลัวไหม? ยังไงซะถ้าหากไม่มีพลังลมปราณยู่ฉางตงก็ต้องตายในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี

ชิ๊ง!

ยู่ฉางตงยกดาบยืนยาวขึ้นมาด้วยนิ้วหัวแม่มืออย่างรุนแรง มันเป็นการชักดาบยืนยาวออกมาที่ทรงพลังกว่าครั้งไหนๆ

สีหน้าของยู่ฉางตงเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในขณะที่ถือดาบยืนยาว ในขณะเดียวกันพลังอวตารร้อยวิถีของตัวเขาก็ได้ส่องสว่างไปทั่วทั้งสุสานเมลิล็อต ยู่ฉางตงไม่ได้จ้องมองไปที่มันในขณะที่เหวี่ยงดาบยืนยาว

พรึ๊บ!

นี่ไม่ใช่การกวัดแกว่งดาบอย่างรุนแรงเพื่อสังหารศัตรู

หลังจากที่ยู่ฉางตงเหวี่ยงดาบ ตัวเขาก็ได้มองไปที่พลังอวตารร้อยวิถีของตัวเองอย่างเย็นชา

ดอกบัวทองคำที่แปดเปื้อนไปด้วยจุดสีม่วงถูกแยกออกจากพลังอวตารที่อยู่ด้านบน

อวตารของยู่ฉางตงได้ลอยอยู่ที่กลางอากาศในขณะที่ดอกบัวทองคำของพลังอวตารได้ตกลงมา!

แม้จะอยู่ภายใต้สถานการณ์เสี่ยงตาย ยู่ฉางตงก็ยังไม่คิดที่จะยอมแพ้ ตัวเขารีบสกัดจุดพลังลมปราณบนร่างกายอย่างรวดเร็วก่อนที่จะเริ่มนั่งโคจรพลัง

ทันทีที่ยู่ฉางตงนั่งลง ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีไปอย่างน่ากลัว บนใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ

ครึ่งล่างของร่างอวตารได้ตกลงสู่พื้นก่อนที่จะหายไปโดยการผสานเข้ากับร่างกายของยู่ฉางตง

หลังจากนั้นไม่นานจุดตันเถียนของยู่ฉางตงก็ได้เปลี่ยนแปลงไป ตัวเขารู้สึกราวกับว่าถูกคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเข้าใส่ คนเราจะแข็งแกร่งถึงแค่ไหนกันแน่? ยู่ฉางตงยังคงรักษาท่าทีอันนิ่งสงบแม้ว่าจะใกล้ตายมากแค่ไหนก็ตาม สีหน้าของตัวเขายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป ยู่ฉางตงยังมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ

ตัวเขารู้สึกราวกับกำลังถูกภูเขาไฟแผดเผาอยู่ที่กลางอก พลังลมปราณของตัวเขาพยายามที่จะไหลออกมาจากร่างกาย ยู่ฉางตงยังคงพยายามทุกอย่างเพื่อที่จะกักเก็บพลังลมปราณเอาไว้

เมื่อเวลาผ่านไป

ยู่ฉางตงได้อดทนทุกอย่างจนผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากมาได้ ยู่ฉางตงรู้สึกได้ว่าสติของเขากำลังอยู่ครบถ้วน ตัวเขาได้ลืมตาขึ้นมาอย่างกะทันหัน พลังวรยุทธที่ตัวเขามีถดถอยลงมาก จากพลังอวตารขั้นแปดลดลงเหลือเพียงพลังอวตารขั้นเจ็ด หลังจากพลังอวตารขั้นเจ็ดก็ได้ถดถอยลงจงเหลือเพียงพลังอวตารขั้นหก

พลังลมปราณที่อยู่ในจุดตันเถียนได้รั่วไหลออกมาอย่างช้าๆ

จากพลังขั้นที่หกเหลือเพียงขั้นที่ห้า จากขั้นที่ห้าเหลือเพียงขั้นที่สี่ และท้ายที่สุดแล้วมันก็เหลือพลังอวตารขั้นแรก

เลือดเริ่มไหลออกมาจากริมฝีปากของยู่ฉางตง

แม้ว่าจะเป็นแบบนั้นแต่ยู่ฉางตงก็ไม่ได้รู้สึกสิ้นหวัง ตรงกันข้ามรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของตัวเขาแทน แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัสและสูญเสียกลีบดอกบัวไปก็ตาม อย่างน้อยที่สุดตัวเขาก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้ แม้ว่ามันจะไม่มีดอกบัวทองคำอีกต่อไปแต่ยู่ฉางตงก็ไม่ได้เสียใจอะไร นี่ถือเป็นสิ่งที่ยู่ฉางตงคาดหวังเอาไว้

“มันก็แค่เรื่องที่ผ่านไป สิ่งที่ข้าจะต้องทำก็แค่ผลิกลีบดอกบัวใหม่อีกครั้ง” เสียงของยู่ฉางตงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ มันเป็นเสียงที่ทำให้สุสานเมลิล็อตมีชีวิตชีวาอีกครั้ง

ความรุ่งโรจน์ที่ยู่ฉางตงเคยมีมาจะอยู่ในความทรงจำของตัวเขาต่อไป แต่ความล้มเหลวเองก็ไม่ใช่เรื่องแย่ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ยู่ฉางตงต้องเริ่มต้นใหม่เท่านั้น

ในขณะเดียวกัน ที่มณฑลเหลียงแห่งดินแดนหยาน ในตอนนี้มันกำลังเจอกับความเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

ภายในศาลาปีศาจลอยฟ้า

หมิงซี่หยินได้นำจดหมายเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่อีกครั้ง มันเป็นจดหมายจากเจียงอาเฉียนนั่นเอง ตัวเขากำลังจ้องมองไปที่ผู้ที่เป็นอาจารย์ที่กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ “ท่านอาจารย์ เจียงอาเฉียนได้เขียนจดหมายมาว่าเหล่าราชวงศ์ได้ส่งกองทัพไปยังมณฑลเหลียง… ดินแดนต่างๆ อย่างลั่วหลาน, รั่วหลี่ ต่างก็ส่งผู้ฝึกยุทธที่ตัวเองมีไปด้วยเช่นกัน ด้วยความเฉลียวฉลาดที่สีวู่หยามี เขาคงไม่พลาดเรื่องนี้แน่ พวกเราคงจะต้องอดทนรอการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากเหตุการณ์นี้ซะก่อน”

ลู่โจวไม่ได้พูดอะไร ตัวเขามองไปยังแต้มบุญที่มีอยู่ในกระดานเมนู ลู่โจวกำลังคิดวิธีที่ดีที่สุดในการใช้แต้มบุญที่มี ถ้าหากตัวเขาจับสีวู่หยาและยู่เฉิงไห่กลับมา แน่นอนว่าตัวเขาจะได้แต้มบุญเพิ่มมากขึ้น

แต้มบุญ: 17,900

บางทีลู่โจวอาจจะคุ้นเคยกับระบบที่ตัวเขามีแล้ว ลู่โจวไม่มีอารมณ์ที่จะคิดเรื่องนี้อีกต่อไป ตัวเขาได้ทำใจให้เย็นมากขึ้น

‘แต้มบุญ 100,000 แต้มเท่านั้น ยังไงซะฉันก็ต้องอดทนรอต่อไปอยู่ดี’

เมื่อเห็นว่าผู้เป็นอาจารย์ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา หมิงซี่หยินจึงได้จากห้องโถงใหญ่ไปด้วยความเคารพ

วันรุ่งขึ้นหมิงซี่หยินได้เดินเข้ามาที่ห้องโถงใหญ่พร้อมกับจดหมายของเจียงอาเฉียนอีกครั้ง ตัวเขาที่เดินเข้ามาเห็นผู้เป็นอาจารย์กำลังวาดภาพอยู่ นั่นหมายความว่าอาจารย์ของเขากำลังอารมณ์ดี หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นรู้สึกกล้าหาญมากยิ่งขึ้น ตัวเขาได้เดินไปหาลู่โจวก่อนที่จะพูดออกมาตรงๆ “ท่านอาจารย์ เจียงอาเฉียนได้เขียนจดหมายมาว่าเหล่าราชวงศ์ยอมทิ้งกำลังพลที่อยู่ในมณฑลยี่ไป พวกเขาได้ส่งองค์ชายสี่หลิวปิงไปปราบปรามความวุ่นวายที่มณฑลเหลียงแทน…แต่ดูเหมือนว่าสีวู่หยาจะคาดการณ์สิ่งนี้เอาไว้แล้ว สำนักอเวจีที่อยู่ทั่วมณฑลทั้งเก้ามีเจตนาที่จะสร้างหายนะอย่างชัดเจน ในตอนนี้ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่กำลังตกอยู่ในความวุ่นวายอย่างสมบูรณ์แบบแล้วครับ”

ลู่โจวหยุดขยับมือ เป็นไปตามที่คาดไว้ ศิษย์ทรยศทั้งสองพยายามสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ก็เพื่อที่จะต่อสู้กับเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์

พวกเขาจะทำได้อย่างงั้นหรอ? ไม่มีใครรู้คำตอบได้เลย

ถ้าหากยู่เฉิงไห่ลงมือทำคนเดียว งานใหญ่แบบนี้คงจะไม่อาจเป็นไปได้แน่ แต่ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากสีวู่หยา ผลลัพธ์ที่จะออกมาก็ยังไม่แน่ไม่นอน สำนักแห่งความมืดของสีวู่หยาทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ แม้แต่เจียงอาเฉียนเองก็ยังต้องระวังเรื่องนี้ให้ดี นี่ไม่จำเป็นจะต้องพูดถึงชาวยุทธคนอื่นๆ เลย

หลังจากที่ใช้ความคิดกับตัวเองสักพักลู่โจวก็ได้พูดขึ้น “เจียงอาเฉียนได้พูดถึงงานค้นคว้าของเหล่าราชวงศ์เกี่ยวกับเรื่องพลังอวตารขั้นที่เก้าบ้างรึเปล่า?”

“เขาไม่ได้พูดถึง”

“เตือนเขาซะ”

“ครับ”

ลู่โจวไม่ได้สนใจเรื่องความวุ่นวายอะไรในมณฑลยี่และมณฑลเหลียง แม้ว่าโลกทั้งใบกำลังตกอยู่ในความสับสนวุ่นวายก็ตาม แต่มันก็ไม่มีอะไรเลยนอกซะจากเป็นฝีมือของสำนักอเวจี ถ้าหากไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนมากพอลู่โจวก็ไม่อยากที่จะเคลื่อนไหวง่ายๆ

สิ่งที่ลู่โจวต้องทำต่อไปนั่นคือความอดทน และความอดทนเองก็เป็นสิ่งที่จีเทียนเด๋าขาดมากที่สุดแล้ว

ก่อนที่จะทำการเคลื่อนไหวอะไรมันคงจะดีกว่าถ้าตัวเขาหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพลังอวตารดอกบัวเก้ากลีบได้ซะก่อน

ในวันที่สาม…

หมิงซี่หยินได้เดินเข้ามาที่ห้องโถงเช่นเดิม ตัวเขาดูรีบร้อนมากกว่าเดิมมากเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ แม้แต่หยวนเอ๋อและต้วนมู่เฉิงเองก็ยังเดินมาที่ห้องโถงใหญ่ด้วย

“ท่านอาจารย์ มีจดหมายของเจียงอาเฉียน”

“สรุปมาซะ”

“เจียงอาเฉียนได้บอกว่าองค์หญิงหยงหนิงจะมุ่งหน้าไปที่มณฑลเหลียงพร้อมๆ กับองค์ชายสี่…สำนักอเวจีกำลังถูกศัตรูทั้งสองฝ่ายหมายหัวเอาไว้ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะหนีไม่พ้นแน่” น้ำเสียงของหมิงซี่หยินที่ได้พูดออกมาเต็มไปด้วยความรู้สึกขัดใจ ลู่โจวสามารถสัมผัสได้ถึงเสียงที่เปลี่ยนแปลงไปได้

ลู่โจวผงะเล็กน้อย ตัวเขาได้หยุดเขียนตัวอักษรไป ลู่โจวได้โบกแขนของตัวเองก่อนที่จดหมายในมือของหมิงซี่หยินจะถูกลู่โจวดึงกลับมา

ลู่โจวรีบอ่านเนื้อหาที่มีภายในจดหมายก่อนที่จะขมวดคิ้ว “ด้วยทักษะที่สีวู่หยามี เขาคงไม่ถูกล้อมง่ายๆ แน่…องค์หญิงหยงหนิงอย่างงั้นหรอ?”

“องค์หญิงหยงหนิงเป็นหญิงสาว ทำไมนางถึงต้องไปมณฑลเหลียงพร้อมกับหลิวปิงด้วยล่ะ?” หมิงซี่หยินไม่เข้าใจอะไรเลย

ในตอนนั้นเองเสียงของซู่ฮ่องกงก็ได้ดังขึ้นมาจากด้านนอก “ท่านอาจารย์!”

เมื่อหมิงซี่หยินได้ยินเสียงของศิษย์น้องคนนี้ ตัวเขาก็รู้สึกรำคาญด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตัวเขาได้พูดข่มขู่กับศิษย์น้องไป “ศิษย์น้องแปด เจ้าเก็บน้ำลายในปากที่มีเอาไว้เถอะ เร็วๆ นี้ดูเหมือนพวกเราจะได้ใช้แน่”

ซู่ฮ่องกงหัวเราะออกมาก่อนจะพูดขึ้น “ท่านอาจารย์ ข้ารู้เรื่องเกี่ยวกับองค์หญิงหยงหนิงคนนี้”

“พูดต่อซะ”

“องค์หญิงหยงหนิงเป็นคนที่ปรารถนาในตัวของศิษย์พี่เจ็ด…ข้าเคยได้ยินเรื่องนี้จากศิษย์พี่เจ็ดมา เขาพูดถึงเรื่องนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ข้าก็ไม่รู้อะไรอีกเลย” ซู่ฮ่องกงตอบกลับมา

สหายเก่าอย่างงั้นหรอ? ดวงตาของหมิงซี่หยินเบิกกว้าง “ไม่น่าแปลกใจที่ตัวเขาสามารถหลบหนีมาจากองค์รักษ์ฮั่นยู่หยวนได้ สาเหตุทั้งหมดก็คือสีวู่หยารู้เรื่องที่จะเกิดขึ้นภายในพระราชวังอยู่ก่อนแล้ว นั่นเป็นวิธีที่ตัวเขาใช้บังคับให้เจียงอาเฉียนเข้ามาหลบอยู่ที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้…ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าเขามีองค์หญิงคอยสนับสนุนอยู่ตลอดเวลานี่เอง! ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าศิษย์น้องเจ็ดจะถูกเลี้ยงดูมาให้กลายเป็นสัตว์ร้ายเช่นนี้!”

“…”

ทุกๆ คนที่ได้ฟังคำพูดของหมิงซี่หยินต่างก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกอิจฉาที่หมิงซี่หยินมี มันฟังเหมือนกับเสียงสะอื้นจากหนุ่มโสดที่ไม่มีใครชื่นชอบ

ต้วนมู่เฉิงมองไปที่หมิงซี่หยิน หลังจากนั้นตัวเขาก็ได้เป่าหอกราชันย์ ก่อนที่จะเริ่มเช็ดมันด้วยแขนเสื้อ

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวหยงหนิงนางสวยไหม?”

“ข้าเองก็ไม่เคยเห็นนางมาก่อน” ซู่ฮ่องกงตอบกลับไป

หมิงซี่หยินพูดต่อ “ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าเพิ่งขัดพวกเราซะสิ อย่างที่คิด…นี่จะต้องเป็นกับดักของศิษย์น้องเจ็ด”

หยวนเอ๋อพยักหน้ารั่วๆ ราวกับนางเป็นลูกเจี๊ยบที่กำลังจิกกินธัญพืช

ลู่โจวลูบเคราของตัวเองก่อนที่จะพยักหน้าและพิจารณา ตัวเขามีการ์ดกรงผนึกกักขังโฉมใหม่เหลืออีก 2 ใบ, การ์ดการโจมตีของเพชฌฆาต 1 ใบ และพลังวิเศษที่มาจากเคล็ดวิชาอักษรสวรรค์ก็มากพอแล้ว ถ้าหากตัวเขาไปจับสีวู่หยาและยู่เฉิงไห่โอกาสสำเร็จจะต้องมีสูงแน่ ปัญหามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น…ศิษย์ทรยศทั้ง 2 จะแสดงตัวที่ไหนกัน?

หลังจากที่คิดได้แบบนั้นลู่โจวก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ตัวเขาได้มองไปที่หมิงซี่หยินก่อนที่จะพูดมา “ถ้าหากเจ้าเป็นหมิงซี่หยิน เจ้าจะทำยังไงกัน?”