บทที่ 381 มิตรภาพของเด็ก ๆ

บทที่ 381 มิตรภาพของเด็ก ๆ

ไป๋หรูปิงไม่ได้เชื่อฟังในคำพูดของมารดา หลังจากที่ได้รับความช่วยเหลือจากอาซือ เด็กหญิงได้แบ่งขนมให้กับเพื่อนใหม่ของนางและรับประทานอย่างมีความสุข

อาซือเห็นหรูปิงเอาใจใส่เป็นอย่างดี แต่กลับรู้สึกว่ารสชาติของว่างนั้นสุดแสนจะธรรมดา เหมือนกับขนมที่มักจะพบเห็นบ่อย ๆ

ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดดรุณีน้อยที่อยู่ด้านตรงข้ามถึงได้มีความสุขเช่นนี้

ใบหน้าของอาซือเต็มไปด้วยความฉงน หากแต่ไม่ได้เอ่ยถามออกไป

ไป๋หรูปิงเห็นใบหน้าที่ครุ่นคิดของสหายตัวน้อย ในมือของนางถือขนมไว้หนึ่งชิ้นแล้วจ้องมองดวงตากลมโตที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย กล่าวขึ้นราวกับเป็นคำพูดของผู้ใหญ่ “ไม่ใช่ว่าข้าชอบกินของพวกนี้หรอกนะ เพียงแต่ข้าอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดของท่านแม่ เมื่อโอกาสมาถึง ข้าก็ไม่อยากปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป”

เมื่ออาซือได้ยินเช่นนั้น เด็กหญิงก็ยกน้ำชาที่วางอยู่ด้านหน้าขึ้นดื่มด้วยใบหน้าที่ยังคงแคลงใจอยู่

เมื่อไป๋หรูปิงเห็นท่าทางเช่นนี้ของอาซือ ก็รับรู้ได้ว่าสหายของตนยังไม่ค่อยกระจ่างนัก จึงถอนหายใจอย่างไร้หนทางและกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่เคยบอกว่าครอบครัวและท่านพ่อท่านแม่ไม่ได้มีความเข้มงวด โดยเฉพาะฮูหยินหลินที่ไม่เคยตีกรอบกับพวกเจ้าเลย อาซือ เจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกที่ต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด เป็นต้นว่าวัน ๆ หนึ่งอาหารสามมื้อต้องกินอะไรบ้าง กินได้เท่าไร ต้องเป็นสหายกับผู้ใด ตำราแบบไหนควรศึกษาแบบไหนไม่ควรศึกษา เวลาไหนต้องทำอะไร และจะต้องจัดวางทุก ๆ อย่างให้ชัดเจน….อาซือสิ่งที่ข้าได้กินลงไปมันไม่ใช่แค่ขนมแต่อย่างใด หากแต่เป็นความอิสรเสรี”

ท่าทางที่จริงจังของสาวน้อยไป๋ โดยเฉพาะประโยคเชิงปรัชญาในตอนท้าย ทำให้อาซือตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จนไม่อาจรับรู้ถึงรสชาติของขนมที่อยู่ในปากได้เลยแม้แต่น้อย

อาซือผลักจานขึ้นไปข้างหน้า “เช่นนั้น ข้ายกชิ้นที่เหลือทั้งหมดให้ท่าน…”

“ฮ่า ๆ” ไป๋หรูปิงหัวเราะออกมา เด็กหญิงขมวดคิ้ว ใบหน้าที่สดใสเป็นประกายราวกับแสงแดดกระทบกับเกลียวคลื่นของทะเลสาบ ใบหน้าของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความสนใจ

เด็กหญิงกล่าวขึ้นมา “อาซือ เจ้าน่ารักจริง ๆ”

อาซือมองไป๋หรูปิงแล้วคลี่ยิ้มตาม

ความรู้สึกไม่คุ้นเคยและระยะห่างระหว่างเด็กหญิงทั้งสองค่อย ๆ หายไปภายใต้รอยยิ้มนั้น ทำให้มิตรภาพและความเข้าใจเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

อาซือกล่าวขึ้นเบา ๆ “วันหลังพี่ไป๋สามารถไปเล่นที่บ้านของข้าได้ ถึงแม้ว่าบ้านจะไม่ได้ประณีตสวยงามเท่าบ้านของท่าน แต่มีของเล่นให้เล่นมากมาย…ไม่ว่าจะแย่แค่ไหนก็สามารถออกไปเล่นข้างนอกได้ แม่ของข้าเปิดร้านอาหาร ถึงเวลานั้นไม่ว่าจะเป็นขนมหรืออาหารพวกเราล้วนกินได้ตามใจอยาก ไม่มีคนมาคอยควบคุม”

ดวงตาทั้งสองของไป๋หรูปิงเป็นประกาย เด็กหญิงขยับเข้าไปใกล้แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ๆ “จริงหรือไม่?”

อาซือจ้องมองดวงตาคู่ที่เป็นประกาย ดวงตากลมโตก็หยีโค้งเป็นดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว เด็กหญิงยิ้มแล้วกล่าวขึ้น “พี่ไป๋ ข้าไม่โกหกพี่หรอก”

ไป๋หรูปิงถอนหายใจด้วยความโล่งใจ ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยความสุข เด็กหญิงพลางกล่าวขึ้น “ดีมาก วันหลังข้าจะต้องหาหนทางออกจากจวนไปเล่นกับเจ้า!”

เด็กหญิงก็กล่าวขึ้นอีก “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้เรียกหรูปิง ทำไมถึงเรียกว่าพี่เล่า”

อาซือระบายยิ้มเต็มหน้า เด็กหญิงมองขนมบนโต๊ะ แล้วนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของไป๋หรูปิง ‘ที่ข้าได้ทานลงไปมันไม่ใช่แค่ขนมแต่อย่างใด หากแต่เป็นความอิสรเสรี’ เด็กน้อยจึงตอบด้วยความเคร่งขรึม “ท่านแม่ของข้ากล่าวว่า ในใต้หล้ามีคนมากมายที่ควรค่าแก่การเคารพนับถือ ข้านับถือท่าน ดังนั้นข้าจึงเรียกท่านว่าพี่”

“ฮ่า ๆ” ไป๋หรูปิงหัวเราะอย่างมีความสุข เด็กหญิงส่ายหัวพลางเอ่ยขึ้น “ข้ามีอะไรให้เจ้านับถือ! อาซือ เจ้าทั้งน่ารักทั้งน่าสนใจ ไม่น่าแปลกใจเลยที่ศิษย์พี่จะชอบเจ้า”

คำว่า ‘ศิษย์พี่’ ที่เด็กหญิงกล่าวขึ้นนั้นหมายถึงอาจื้อ ทำให้อาซือรู้สึกว่าตนเองและพี่ไป๋เริ่มสนิทสนมกันขึ้นเรื่อย ๆ

อาซือหัวเราะแล้วจับมือไป๋หรูปิงก่อนที่จะเอ่ยขึ้น “ท่านพี่ก็เคยเอ่ยถึงท่านอยู่หลายครั้ง ทั้งยังบอกว่าพี่ไป๋มีบทกวีในหัวมากมาย และยังมีความสามารถด้านวรรณกรรมตั้งแต่ยังเล็ก เลยอยากให้ข้าเรียนรู้จากพี่ไป๋เจ้าค่ะ”

อย่างไรนางก็ยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กอยู่ เมื่อไป๋หรูปิงได้รับรู้ว่าศิษย์พี่ของตนชื่นชมนางแบบนี้ตอนอยู่บ้าน ภายในใจของเด็กหญิงก็เกิดความรู้สึกดีใจขึ้นมา แต่ไป๋หรูปิงปฏิเสธที่จะยอมรับว่านางเป็นคนที่มีความสามารถ เด็กหญิงเม้มปากแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ข้ายังห่างชั้นกับศิษย์พี่นัก บทความที่ศิษย์พี่เขียนอ้างอิงตำราและเขียนได้อย่างโดดเด่น ตัวอักษรเองก็เขียนได้งดงาม ท่านพ่อและท่านปู่ชื่นชอบศิษย์พี่มาก ๆ”

ในใจของอาซือตื่นเต้นยิ่งนัก

เมื่อพี่ชายของตนได้รับการชื่นชม อาซือก็พอใจเป็นอย่างมาก เด็กหญิงพยักหน้า “อื้ม พี่ชายของข้ายอดเยี่ยมที่สุด”

เด็กหญิงทั้งสองคนบรรลุข้อตกลงกันว่าทั้งคู่คือคนสนิทกัน เวลานี้ทั้งคู่จึงพูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อน ราวกับได้เจอกันสายเกินไป

อาซือพูดคุยเรื่องราวของพี่ชายตั้งแต่เล็กจนโต ไป๋หรูปิงก็เล่าเรื่องของอาจื้อว่าได้รับคำชื่นชมเวลาที่เขาเรียนหนังสือในจวนตระกูลไป๋ ทั้งสองได้ผลัดกันเล่าเรื่องราวของศิษย์พี่ในมุมที่ตนรู้จัก ซึ่งทุกเรื่องล้วนน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก

“แต่ก่อนศิษย์พี่ยังสามารถทะเลาะกับคนอื่นได้ สุดยอดจริง ๆ”

“แน่นอน! พี่ชายของข้าชกต่อยได้สุดยอดมาก เมื่อก่อนเจ้าอ้วนหวังเคยรังแกพวกเรา แต่หลังจากโดนท่านพี่สั่งสอนจนเข็ดหลาบไป ทุกครั้งที่เขาเจอข้าก็จะเอาแต่ก้มหน้าและไม่กล้าด่าหรือรังแกข้าอีกเลย พี่ไป๋ ถ้าเกิดวันข้างหน้าท่านโดนคนรังแก ท่านพี่สามารถออกหน้าแทนท่านได้”

ไป๋หรูปิงเม้มปากและยิ้มขึ้นเพื่อแสดงว่าตนนั้นเห็นด้วย “อื้ม ศิษย์พี่สามารถปกป้องข้าได้ ครั้งก่อนข้าโดนท่านพ่อตำหนิ ก็เป็นศิษย์พี่นี่แหละที่เข้ามาช่วยข้า ศิษย์พี่ยังช่วยข้าคัดตัวอักษรที่ข้าถูกท่านปู่สั่งให้คัดอีกด้วย…”

อาซือพยักหน้าราวกับไก่จิกเมล็ดข้าว “ใช่ไหม ใช่ไหม พี่ชายข้าดีที่สุดเลยใช่ไหม!”

ไป๋หรูปิงหัวเราะและพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ศิษย์พี่ทำ

เมื่อเห็นไป๋หรูปิงชื่นชมอาจื้อไม่หยุดหย่อน อาซือจึงรู้สึกชอบเด็กหญิงคนนี้มาก ๆ และรู้สึกจริงใจกับนางขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อรอให้อาจื้อพาพี่ชายทั้งสองมาถึงบริเวณท้ายลานบ้าน เด็กหญิงตัวเล็กทั้งสองต่างก็จับมือกันอย่างแน่นเหนียว

อาจื้อพาสองพี่น้องตระกูลเหยาเดินเข้าไป เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็อดที่จะหัวเราะหยอกล้อไม่ได้ “ดูเหมือนว่าข้าไม่จำเป็นต้องแนะนำ พวกเจ้าก็ได้เป็นสหายกันแล้ว มิตรภาพของเด็กผู้หญิงช่างน่าสนใจจริง ๆ”

อาจื้อและไป๋หรูปิงเห็นทั้งสามคนเดินเข้ามา

ไป๋หรูปิงในฐานะเจ้าบ้านจึงลุกขึ้นยืนด้วยความรวดเร็วและกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่”

ใบหน้าขาวสะอาดของเด็กหญิงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้น ตรงกันข้ามกับสองพี่น้องตระกูลเหยาที่ยืนกะพริบตาอยู่ครู่ใหญ่

อาจื้อกล่าวแนะนำ “ศิษย์น้อง นี่คือลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนของข้าที่เคยเล่าให้ฟัง”

แล้วหันกลับมาเอ่ยกับต้าหลางและเอ้อหลาง “นี่คือบุตรีตระกูลไป๋”

ไป๋หรูปิงเคยได้ยินอาจื้อเคยพูดมาก่อน พี่น้องทั้งสองคนของตระกูลเหยา ต้าหลางที่เงียบสงบ เอ้อหลางที่ร่าเริง ง่ายมากที่จะแยกแยะว่าผู้ใดเป็นใคร เด็กหญิงจึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่ พี่รอง”

ต้าหลางและเอ้อหลางคาดไม่ถึงว่าบุตรีแห่งตระกูลไป๋จะเข้าถึงง่ายเพียงนี้

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ กับภาพลักษณ์ที่สดใส ไร้ซึ่งความเย่อหยิ่ง ทำให้คนที่พบเห็นรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก

พวกเขาทักทายไป๋หรูปิงอย่างเกรงใจ เด็กชายทั้งสามคนได้นั่งลงในศาลาแล้วปรึกษากันว่าจะเล่นอะไรกันดี

ไป๋หรูปิงยิ้มแล้วกล่าวออกมา “วันนี้ไม่ได้บอกว่าจะไปพายเรือกันหรือ ข้าบอกกับท่านพ่อท่านแม่ไว้แล้ว คนรับใช้ก็ได้เตรียมเรือเอาไว้แล้ว พวกเราควรไปกันนะ”

ใบหน้าของเด็ก ๆ เผยความตื่นเต้นออกมา โดยเฉพาะอาซือ เด็กหญิงดึงมือของหรูปิงแล้วเอ่ยถามขึ้น “พี่ไป๋ เราจะพายเรือกันที่ทะเลสาบแห่งนี้จริงหรือ แล้วเรือใหญ่ไหม”

ไป๋หรูปิงส่ายหน้า แล้วชี้ไปอีกทางพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่ที่นี่ เดินไปทางนั้นจะมีสระบัวอยู่ ช่วงนี้เป็นช่วงฤดูที่บัวงอกงาม พวกเรามาเก็บฝักบัวไปกินกันเถอะ”

ดวงตากลมโตของอาซือเบิกโพลงขึ้น หญิงสาวกล่าวขึ้นอย่างตื่นเต้น “ดอกบัว! กินฝักบัวได้ด้วยหรือ”

ไป๋หรูปิงยิ้มแล้วกล่าวว่า “แน่นอน ตอนนี้เม็ดบัวทั้งหวานทั้งหอม ข้าจะเลือกฝักบัวอันใหญ่ ๆ ให้เจ้า แล้วแกะออกมากินกัน”

ดอกบัวของทางเหนือมีน้อยกว่าทางใต้ และเวลาเก็บฝักบัวก็มีน้อยด้วยเช่นกัน

ทุกคนโห่ร้องด้วยความยินดีอย่างลืมเนื้อลืมตัว หลัวจากนั้นจึงเดินตามไป๋หรูปิงไปยังสระบัวที่นางกล่าว

……………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เห็นชีวิตประจำวันของน้องไป๋แล้วก็รู้สึกกดดันเหมือนกันนะคะ เด็กตัวเล็ก ๆ แค่นี้แต่ไม่มีอิสระเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เลย

เด็ก ๆ ลงไปเก็บเม็ดบัวนี่มันต้องสนุกมากแน่ ๆ เลยค่ะ

ไหหม่า(海馬)