ตอนที่ 391 ตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 391 ตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้

ในเวลานี้บัณฑิตน้อยที่อยู่ข้างกายก็ใช้เสียงคมชัดอันเป็นเอกลักษณ์ซึ่งดูเหมือนจะเจือไปด้วยดอกเหมยกลางหิมะเอ่ยขึ้นว่า “ดอกเหมยยาวหมื่นลี้ หิมะนี้สุดแผ่นดิน” กวีของตู้ฝู่ยังเป็นที่นิยมเสมอ

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเขาด้วยความสงสัย นางหลงเข้าใจผิดว่าบัณฑิตน้อยจะใช้โอกาสนี้ทำให้ผู้คนประหลาดใจจนมีชื่อเสียงโด่งดังกระจายไปไกล คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นเหมือนบัณฑิตส่วนใหญ่คือต่อกวีด้วยการหยิบยกบทกวีของปราชญ์สมัยราชวงศ์ถังและซ่งขึ้นมา นางคิดว่าบทกวีที่อยู่ในภาพวาดดอกเหมยของบัณฑิตน้อยยังดีกว่า…

ช่างเถิด การที่บัณฑิตน้อยทำแบบนี้ย่อมมีเหตุผล ลมหนาวพัดเข้ามา หลินเว่ยเว่ยเอนกายไปข้างหน้าเพื่อรินชากลิ่นหอมให้คู่หมั้นหนุ่ม ส่วนตัวเองก็จิบชาด้วยเช่นกัน ความอุ่นซึมซาบเข้าสู่ก้นบึ้งหัวใจ…

หืม ? เหตุใดทุกคนมองมาที่นาง ? หลินเว่ยเว่ยมีดวงตาเบิกกว้าง นางหันไปมองผู้คนรอบข้างด้วยความสงสัย ท้ายที่สุดนางก็ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปยังบัณฑิตน้อย…ที่มันอะไรกัน ?

เจียงโม่หานมีความรู้สึกอยากเอามือปิดหน้าตัวเอง…แต่เขาก็เป็นคนเลือกคู่หมั้นเอง…เขาจึงเอ่ยเตือนเบา ๆ ว่า “ถึงคราวต่อบทกวีของเจ้าแล้ว”

“ข้า ? ” หลินเว่ยเว่ยชี้มาที่จมูกตนเอง ก่อนจะหันไปยิ้มให้ทุกคนอย่างขัดเขิน “เอ่อคือ…พวกท่านคิดดูสิ ข้ามากับบัณฑิตหนุ่ม เราสองคนประลองด้วยกันก็ถือว่าเป็นหนึ่งคนได้หรือไม่ ? ”

เสียนหยุนจูฉือคลี่ยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “แน่นอน หากบัณฑิตท่านอื่นมีสหายสนิทก็สามารถรวมกันสองคนหรือมากกว่านั้นก็ได้”

“ไม่…ไม่ใช่ ! ข้าหมายความว่าบัณฑิตเจียงตอบคำถาม ส่วนข้าคอยฟัง ข้าแอบอู้เท่านั้น ไม่ใช่ร่วมมือกัน…” หลินเว่ยเว่ยอธิบายอย่างหดหู่ ดูเหมือนนางจะ…ไม่มีใจคิดทำเรื่องไม่ดี…

เดิมทีบัณฑิตคนอื่นก็มาร่วมงานแข่งขันกวีเพราะต้องการแสดงความสามารถของตน แล้วจะยอมร่วมมือกับคนอื่นได้อย่างไร ?

ทว่าหลังผ่านไปประมาณสองสามรอบ บัณฑิตก็เริ่มต่อบทกวีไม่ได้และเริ่มถอนตัวออกไป ต่อจากนั้นไม่นานบัณฑิตบางคนก็เริ่มละทิ้งความทะนงและตามหาคนมาร่วมมือ

เมื่อมาถึงรอบที่สามและสี่ เมิ่งจิ่งหง หลิ่วจงเทียนและหยางยี่หรานก็ถูกคัดออก เผิงหยูเหยี่ยนยังไปต่อได้อีกรอบ ก่อนจะตกรอบเหมือนกัน หลินจื่อเหยียนถูกคัดออกในรอบที่หก เวลานี้ในสนามประลองจึงเหลือคนอยู่ไม่เท่าไรแล้ว

บัณฑิตบางคนนำบทกวีในหัวออกมาใช้จนหมดแล้วจึงเริ่มระดมสมองกับคนอื่นเพื่อแต่งบทกวีเกี่ยวกับดอกเหมยและสามารถต่อกวีได้อีกหลายบทเหมือนกัน ทว่ากวีที่คิดได้เองกลับไม่มีความแปลกใหม่สักเท่าไร พวกเขาจึงพ่ายแพ้กันไปทีละคน

ในขณะที่เจียงโม่หานคิดว่าเวลาผ่านไปนานพอสมควรแล้ว เขาก็คิดว่าควรถอนตัวออกมาเสียที หลินเว่ยเว่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นเขาเงียบไม่พูดไม่จาจึงรีบกระซิบข้างหู “กลิ่นเหมยพัดโชยรื่น กิ่งหลิวยื่นรับน้ำค้าง…”

เจียงโม่หานมองนางแต่ถึงอย่างไรก็ไม่ส่งเสียงออกมา หลินเว่ยเว่ยมีดวงตาเบิกกว้างและถามเขาด้วยความสงสัย “เจ้าไม่อยากมีชื่อเสียงในงานแข่งขันกวีนี้หรือ ? แล้วเจ้ามาเข้าร่วมทำไม ? ”

เจียงโม่หานทำมือยอมแพ้ ก่อนจะกระซิบข้างหูนางเบา ๆ ว่า “ไม่ใช่เพราะเจ้าอยากมาเปิดหูเปิดตาที่คฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงหรือไร ? ”

ว่าอย่างไรนะ…เจ้ามาเป็นเพื่อนข้าหรือ ? หลินเว่ยเว่ยกะพริบตา “ความสามารถของเจ้าไม่ได้มีจำกัด เหตุใดต้องซ่อนไว้ ? คิดจะซ่อนไว้และไม่เปิดเผยหรือไร ? เจ้าคิดจะเปิดเผยมันเมื่อไหร่ ? ”

“เปิดเผยเมื่อถึงเวลาสมควร เหล็กดีต้องอยู่บนใบมีด ! ” เจียงโม่หานหยิบกล่องมูสเค้กบลูเบอร์รี่ขึ้นมาแล้วใช้ช้อนไม้เล็ก ๆ เริ่มตักกิน

เอาเถิด บัณฑิตน้อยคงมีแผนในใจอยู่แล้ว การที่เขาทำแบบนี้ต้องมีเป้าหมาย หลินเว่ยเว่ยก็หยิบกล่องมูสเค้กบลูเบอร์รี่ขึ้นมาแล้วเริ่มลิ้มรสชาติอย่างเพลิดเพลิน

บัณฑิตตัวสูงใหญ่คนข้าง ๆ ที่ไม่เหมือนปัญญาชนคนนั้นยังต่อบทกวีอีกประโยคและผ่านเข้ารอบสุดท้ายเพื่อไปชิงตำแหน่งผู้ชนะ หลินเว่ยเว่ยได้รับบทเรียนแล้วว่าจะตัดสินคนจากหน้าตาไม่ได้ !

เขายังไปต่อได้อีกสองรอบจนในที่สุดก็ได้เป็นผู้ชนะ ส่วนตำแหน่งรองชนะเลิศและอันดับที่สามก็แตกต่างกันเพียงคะแนนเดียว…ของรางวัลคือดอกเหมยกระดาษที่เจ้าของคฤหาสน์พับด้วยตนเอง

หัวข้อต่อไปเป็นกวีที่เกี่ยวกับฤดูใบไม้ผลิ ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยแล้วมันคือการละเล่นอย่างหนึ่ง ทว่าเจียงโม่หานรู้ว่านี่คือบทกวีที่พวกบัณฑิตท่องมาด้วยความยากลำบากและความสามารถคิดบทกวีได้ในเวลาอันสั้นก็น่ายกย่อง ดังนั้นเจียงโม่หานจึงยังจำกัดตัวเองและออกจากการแข่งขันในรอบที่เจ็ด

บทกวีต่อจากนี้ยาวเป็นหางว่าวและค่อนข้างยาก แต่มันก็ยังอยู่ในขอบเขตความสามารถในการจดจำบทกวีของผู้แข่งขัน

เสียนหยุนจูฉือเริ่มเปิดหัวข้อเป็นคนแรก “พิรุณกลางภูผา ไพรพนาร้อยสายธาร”

“เสียงน้ำเซาะหินนาน ทิวสนซ่านเย็นอุรา”

“ลมฝนคลายทุกข์แผ่ว หุบเขาแว่วเสียงฉินมา”

“เสียงฉินก้องเรือนหน้า ตำรานานับสถาน”

“ศีรษะรัดด้วยเกล้า จันทร์แวววาวทอแสงนาน”

หลินเว่ยเว่ยยกมือปิดปากหาวซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากนั้นก็หยิบเมล็ดสนปากอ้าออกจากกระเป๋าแล้วเริ่มแกะด้วยความเบื่อหน่าย แกะไปแกะมาดวงตาก็เริ่มหรี่เล็ก…เสียงต่อบทกวีของบัณฑิตเริ่มกลายเป็นเสียงเพลงกล่อมเด็กชั้นดี

รอให้ถึงเวลาที่เจียงโม่หานปลุกนางขึ้นมาอีกครั้ง งานแข่งขันกวีก็ใกล้จบลงแล้ว เจียงโม่หานอยู่เหนือบัณฑิตทั้งปวงก็จริง แต่เพราะ ‘พ่ายแพ้’ ในรอบอื่น ๆ เขาจึงได้อันดับที่สี่ เฮอะ กล่าวได้ว่าสามอันดับแรกไม่มีวาสนาต่อเขาต่างหาก

บัณฑิตตัวสูงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้างหลินเว่ยเว่ยหล่นไปอยู่ที่อันดับสอง และเพราะรูปร่างของเขาจึงทำให้บัณฑิตคนอื่นจดจำเขาได้อย่างง่ายดาย

ต่อจากนั้นก็เป็นเวลาสนทนากันของเหล่าบัณฑิต หลินเว่ยเว่ยแทบรอไม่ไหวที่จะได้ลุกขึ้นมา นางรีบขยับแขนขาจนเกือบจะทำท่ายืดตัวแบบนักยิมนาสติกออกมาทั้งชุดบุรุษอยู่แล้ว

บ่าวรับใช้ช่วยประคองบัณฑิตตัวอ้วนไม่ค่อยไหว เนื่องด้วยเขาลุกขึ้นยืนจากท่าคุกเข่าจึงทำให้ตัวเซไปมา ฝ่ายบ่าวรับใช้ต้องเดินเซออกไปหลายก้าว

หลินเว่ยเว่ยหัวเราะ พอเห็นบัณฑิตอ้วนมองมา นางจึงรีบเอามือปิดปากแล้วยิ้มอย่างขอโทษให้แก่เขา

“จบเห่ บัณฑิตน้อย เขาจะเข้ามาแล้ว…เขาคงไม่ได้จะมาต่อยข้าหรอกกระมัง ? ข้ายอมรับว่าที่หัวเราะเขาเมื่อครู่นั้นข้าผิดเอง แต่…ถ้าเขาลงมือขึ้นมา ข้าจะสวนกลับดีหรือไม่ ? ถ้าข้าสวนกลับแล้วควบคุมแรงได้ไม่ดีจนทำให้คนอื่นพิการขึ้นมา ข้าจะชดใช้ไหวหรือเปล่า…” หลินเว่ยเว่ยปิดหน้าและส่ายหน้าไปมา นางพูดกับเจียงโม่หานด้วยความลำบากใจ

บัณฑิตอ้วนเริ่มทักทายเจียงโม่หานก่อน “ข้าน้อย จ้าวหลินเฟิง เป็นบัณฑิตของอำเภอชิงหยุน…”

“จ้าวหลินเฟิงที่แปลว่าอ่อนไหวดุจสายน้ำและบุปผาแต่สง่างามดั่งหยก ? ” ดวงตากลมโตของหลินเว่ยเว่ยมองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนจะถามออกมาอย่างรวดเร็ว

บัณฑิตอ้วนพูดด้วยรอยยิ้ม “หลินเฟิงคือป่าเขาเขียวชอุ่ม บุปผาผลิบาน ไม่ทราบว่าน้องชายทั้งสองมาจากที่ใดและมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร ! ”

เจียงโม่หานยังรักษาความเย็นชาเอาไว้ “เจียงโม่หานจากเขตเริ่นอัน อำเภอเป่าชิง”

“หลินเว่ย เว่ยจากคำว่าสายลม มาจากสถานที่เดียวกันกับเขา” หลินเว่ยเว่ยชี้ไปยังบัณฑิตน้อยที่อยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

หลินจื่อเหยียนได้สหายใหม่สองสามคนที่มีอายุไล่เลี่ยกัน ส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองจงโจว เพราะอายุยังน้อยครอบครัวไม่อนุญาตให้เข้าสอบระดับเซี่ยนซื่อ หลังได้ยินว่าคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงจัดงานแข่งขันกวีจึงขอครอบครัวมาร่วมสนุก พอได้ยินว่าหลินจื่อเหยียนอายุน้อยกว่าพวกตนแต่สามารถเข้าสอบระดับเซี่ยนซื่อได้แล้ว พวกเขาก็อิจฉากันเสียยกใหญ่

หลังจากสนทนากันได้พักหนึ่ง บัณฑิตคนอื่นก็หาข้ออ้างแยกย้ายกันออกไป เหลือเพียง ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มีรูปร่างผอมเพรียวและหล่อเหลาคนหนึ่งที่คอยถามเรื่องสนุกในหุบเขาจากหลินจื่อเหยียนชนิดไม่หยุดปาก