บทที่ 320 หึงหวง
“ช่างเถอะน่า เจ้าจะไปทะเลาะอะไรกับขอทานแก่ๆ เล่า เขาดูเหมือนคนบ้าจะตาย” ชายหนุ่มอีกคนดึงแขนเสื้อของบัณฑิตหนุ่ม
ดูเผินๆ เหมือนว่าจะโน้มน้าวไม่ให้สนใจ แต่อันที่จริงแล้ว เป็นการเยาะเย้ยขอทานชราทางอ้อม
กับแค่ยาจกขอข้าวกิน จะไปรู้เรื่องอะไร
นึกหรือว่าขอทานแบบนี้จะมารู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับหมากกระดานของแคว้นทั้งหก
ไร้สาระสิ้นดี!
“ข้าพูดความจริง” ขอทานชราไม่สนใจสายตาของผู้คนและยังคงยืนกรานคำเดิม
โชคยังดีที่รอบๆ นั้นมีเพียงแค่เหล่าบัณฑิต ไม่มีใครถึงขั้นคิดจะกลั่นแกล้งชายชราขอทาน จะมีอย่างมากก็แค่สายตาที่ดูถูกดูแคลนก็เท่านั้น
ส่วนชายขอทานก็เดินออกไประหว่างที่กำลังบ่นพึมพำไม่เป็นภาษา คนอื่นๆ ที่เห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าชายชราขอทานต้องเป็นคนบ้าแน่ๆ
เซียวลิ่วหลังไม่ใช่คนประเภทสนใจเรื่องของชาวบ้านอยู่แล้ว จึงบอกให้หลิวเฉวียนเปลี่ยนเส้นทางเดินรถ
ในฤดูร้อน กลางวันยาวนานกลางคืนสั้น และท้องฟ้ายังสดใสเมื่อมาถึงพระราชวัง
ทหารรักษาพระองค์รั้งรถม้าไว้ “ผู้ใดมาเยือน”
“ข้า เซียวลิ่วหลังจากสำนักฮั่นหลิน” เซียวลิ่วหลังคิดจะขอให้เขาไปที่ตำหนักเหรินโซ่ว แต่ทันใดนั้น ก็เห็นว่าเจ้าตัวเล็กหยิบตราอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้วยื่นให้ทหารดู “นี่! พวกเราเข้าไปข้างในได้ไหม”
สีหน้าของทหารไม่เปลี่ยนไปมากนักเมื่อเขาได้ยินชื่อสำนักฮั่นหลิน แต่เมื่อเขาเห็นตราของเสี่ยวจิ้งคง ท่าทีก็เปลี่ยนไปทันควัน “ได้สิ ได้เลย!”
จากนั้นรถม้าก็แล่นเข้าประตูวังไป
เซียวลิ่วหลังมองเจ้าตัวเล็กด้วยความประหลาดใจ “เจ้าได้มันมาจากไหน”
“ท่านย่าให้ข้ามาน่ะสิ เจ้าไม่ได้รึ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ยเสียงราบเรียบ
เซียวลิ่วหลังนึกในใจ จะไปมีได้ยังไงเล่า!
“เจียวเจียว พี่เสี่ยวซุ่น พี่เหยี่ยน ก็มีหมดเลยนะ”
อย่าบอกนะว่า มีแค่เขาคนเดียวรึที่ไม่ได้!
เซียวลิ่วหลังรู้สึกเหมือนฟ้ากำลังถล่มครืนลงมา!!
เสี่ยวจิ้งคงไม่รู้ว่าพี่เขยตัวแสบไม่มีตรานั้น และในตอนนี้ รถม้าก็ได้มาหยุดจอดอยู่ที่หน้าตำหนักทอง เพราะรถม้าไม่สามารถเข้าไปยังบริเวณวังหลังได้
เสี่ยวจิ้งคงกระโดดลงจากรถม้า แล้ววิ่งตึงตังเข้าไปที่วังหลัง
ทางแยกระหว่างวังหลังและพระราชวังชั้นนอกก็มียามเฝ้าอยู่เช่นกัน พวกเขาเคยเจอเสี่ยวจิ้งคงเพราะเขาเคยเป็นแขกขององค์ชายเจ็ด และยังเป็นแขกของตำหนักเหรินโซ่วด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงปล่อยให้เสี่ยวจิ้งคงเข้าไป
คนที่ลำบากก็คือเซียวลิ่วหลังนี่แหละ
เพราะเขาถูกทหารรั้งไว้
เสี่ยวจิ้งคงรีบวิ่งไปที่ตำหนักเหรินโซ่ว พอเจอกับจวงไทเฮา ก็ถามเสี่ยวจิ้งคงว่าใครส่งเขามาที่นี่ เสี่ยวจิ้งคงจึงบอกว่าเป็นพี่เขยตัวแสบ ฉินกงกงก็เลยออกมารับเซียวลิ่วหลัง
ฉินกงกงไม่เคยเจอเซียวลิ่วหลังมาก่อน พอเจอเป็นครั้งแรก เขารู้สึกหวาดกลัวกับรูปลักษณ์ของเซียวลิ่วหลัง เพราะนึกว่าเห็นผีเสียอีก
แต่พอมาคิดดูดีๆ ถ้าเซียวลิ่วหลังคือเซียวเหิงจริงๆ เหตุใดเขาต้องช่วยไทเฮาตั้งแต่แรกล่ะ
เซียวลิ่วหลังและฉินกงกงเดินเข้าไปในตำหนักเหรินโซ่ว
จวงไทเฮาเตรียมกำลังจะเสวยอาหาร แต่พอเห็นเสี่ยวจิ้งคงมาหา ก็ให้คนไปเตรียมสำรับมาเพิ่ม
จวงไทเฮาไม่ได้ประหลาดใจที่เสี่ยวจิ้งคงจู่ๆ มาเยี่ยมกะทันหัน แต่การปรากฏตัวของเซียวลิ่วหลังสร้างความตกอกตกใจให้เป็นอย่างมาก
แต่แน่นอนว่าจวงไทเฮาไม่แสดงออกทางสีหน้า
ไม่นานในครัวก็นำอาหารออกมาเพิ่ม
ฉินกงกงย้ายเก้าอี้เข้ามาเพิ่ม
ด้วยความที่เสี่ยวจิ้งคงตัวเล็ก ถ้าเป็นในชนบท เด็กเล็กๆ แบบนี้มักจะไม่กินข้าวร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่
แต่กู้เจียวไม่ได้เลี้ยงดูเสี่ยวจิ้งคงมาแบบนั้น นางสร้างเก้าอี้พิเศษเพื่อให้เสี่ยวจิ้งคงได้นั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ ได้
เซียวลิ่วหลังคาดไม่ถึงเลยว่าที่ตำหนักเหรินโซ่วจะมีเก้าอี้พิเศษเตรียมไว้ด้วยเช่นกัน
และไม่ใช่ฝีมือของกู้เจียวแน่นอน
เซียวลิ่วหลังชำเลืองมองจวงไทเฮาปราดนึง แต่ไม่ได้พูดอะไร
ทั้งสามคนเริ่มลงมือทานข้าว
จวงไทเฮาบอกให้นางข้าหลวงออกไปกันก่อน
หลังจากที่เซียวลิ่วหลังได้เข้ามาทำงานในสำนักฮั่นหลินเขาถึงได้รู้ว่าว่าในวังจะมีขุนนางพิเศษทที่ทำงานเกี่ยวกับการบันทึกชีวิตประจำวันของจักรพรรดิ คำพูดและการกระทำของจักรพรรดิ อาหารประจำวัน และกฎมารยาททั้งหมด และจะถูกบันทึกไว้ในพงศาวดาร
ไทเฮาและฮองเฮาเองก็เช่นกัน
ทั้งหมดนี้เหลืออยู่ในพงศาวดารของวังให้คนรุ่นหลังได้ตรวจทาน
การที่จวงไทเฮาถูกปลดออกจากวังดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่จริงๆ แล้วจะมีการบันทึกไว้
แน่นอนว่าจวงไทเฮาก็ต้องระวังคำพูดและการกระทำของตัวเองอยู่พอตัว
แต่ต่อให้ใส่ใจแต่ก็ยังทำต่อไปโดยไม่มีคำอธิบาย
ไม่ใช่ว่าพอเห็นว่าเขาเป็นคนของสำนักฮั่นหลินก็เลยทำถึงขั้นนี้
เพื่อพวกเขารึ
หรือว่าเพื่อเสี่ยวจิ้งคง
เซียวลิ่วหลังครุ่นคิดอยู่พัก
ช่างเถอะ เขาจะสนเรื่องพรรค์นี้ไปทำไมกัน
เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อจะมาใช้เวลาร่วมกับนางสักหน่อย เสี่ยวจิ้งคงต่างหากที่อยาก
เขามีเรื่องสำคัญกว่านั้นต้องทำ
หลังจากที่ตำหนักเหรินโซ่วได้รับการขยายสองครั้ง จึงทำให้มีขนาดใหญ่กว่าตำหนักบูรพาของไท่จื่อเสียอีก เสี่ยวจิ้งคงน้อยจึงเริ่มการสำรวจตำหนักหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ
“โอโห ชิงช้านี่ช่างใหญ่จริงๆ!”
ทันทีที่เสี่ยวจิ้งคงเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง ก็เห็นชิงช้าขนาดใหญ่ที่สูงกว่าชิงช้าที่ตำหนักบูรพาราวสามเท่าได้ เกรงว่าถ้าเขาแกว่งชิงช้านี้ให้สูงขึ้นน่าจะได้เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของพระราชวังได้แน่ๆ
“ข้าจะเล่น! ข้าจะเล่น!”
เสี่ยวจิ้งคงกระตือรือร้นที่จะลองอยู่แล้ว
ฉินกงกงจึงเรียกผู้เชี่ยวชาญสองคนให้มาประกบเสี่ยวจิ้งคงในการเล่นชิงช้า
เซียวลิ่วหลังจำได้ว่าเขาเคยมายังตำหนักนี้เมื่อครั้งเยาว์วัย และเขาถูกวางยาพิษที่ลานของห้องโถงด้านข้างนี้ แต่หลังจากผ่านไปหลายปี แม้ว่าเขาจะไปเยี่ยมชมสถานที่เก่าอีกครั้ง เขาก็ไม่สามารถกระตุ้นความทรงจำเกี่ยวกับตอนนั้นได้อีก
แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขามั่นใจได้ นั่นคือในตอนนั้นไม่มีสิ่งที่เรียกว่าชิงช้าในตำหนักนี้อย่างแน่นอน
เพราะไทเฮาไม่ทรงโปรดเด็กๆ
ต่อมาเซียวลิ่วหลังก็ค้นพบว่าไม่ได้มีเพียงชิงช้าเท่านั้น แต่ยังมีไม้แกะสลักราคาแพง เครื่องหยกล้ำค่า และ…วัสดุโอสถล้ำค่าที่รวบรวมมาจากทั่วทุกมุม
กู้เจียวและน้องชายสามคนมีของเป็นของตัวเอง
มีเพียงลิ่วหลังเท่านั้นที่ไม่ได้ของ
แม้เขาจะไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้
ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นความรู้สึกอะไร โดยรวมแล้วคือ…เป็นความรู้สึกที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
เซียวลิ่วหลังพยายามเบี่ยงเบนความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจ ก่อนจะหันไปหาฉินกงกง แต่ดันเหลือบไปเห็นจวงไทเฮาที่กำลังนั่งจิบชาอย่างปล่อยอารมณ์
จวงไทเฮากำลังมองไปที่เสี่ยวจิ้งคง
เซียวลิ่วหลังถอนหายใจ พลางนึก สายตาแบบนั้นเขาไม่เคยได้รับจากหญิงชราเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับประสาอะไรกับข้าวของอื่นๆ ล่ะ
ช่างเถอะ เขาไม่อยากได้อยู่แล้ว
และในตอนนั้นเอง ขณะที่ฉินกงกงเดินถือถาดผลไม้เข้ามาก็สังเกตเห็นอาการบางอย่างของเซียวลิ่วหลัง เขาหรี่ตามองพลางเอ่ยถาม “ท่านเซียวซิวจ้วน เมื่อครู่นี้ข้าเห็นว่าท่านทานน้อยเกินไป อาหารของที่นี่ไม่ถูกปากท่านหรือ”
ด้วยความที่ฉินกงกงเคยอยู่ที่ตรอกปี้สุ่ยมาก่อน เลยพอเดาได้ว่าเซียวลิ่วหลังทานอาหารรสชาติประมาณใด
“ไม่เลยท่าน อาหารที่นี่โอชะมาก เพียงแต่ อากาศร้อนเกินไป ข้าจึงทานไม่ค่อยลง”
ฉินกงกงกล่าว “ข้าเองก็เดาว่าน่าจะเป็นแบบนั้น จึงเตรียมแตงโมหวานแช่เย็นพร้อมกับน้ำบ๊วยเปรี้ยว เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เซียวซิ่วจ้วนควรทานอะไรรองท้องก่อน และประเดี๋ยวกระหม่อมจะขอให้ครัวทำอาหารจานโปรดของท่านมาให้”
“ไม่ต้องหรอกท่าน” เซียวลิ่วหลังบ่ายเบี่ยง
“ข้าอยากกิน ข้าอยากกิน!” เสียงร้องของเจ้าตัวเล็ก
เซียวลิ่วหลังยิ้มมุมปาก หึ หึ เล่นชิงช้าอยู่ยังจะได้ยินอีกนะ
ฉินกงกงมองเขาด้วยรอยยิ้ม: “ตกลง ตกลงขอรับ! อยากกินอะไร กระหม่อมจะให้พวกเขาทำให้ขอรับ!”
เสี่ยวจิ้งคงพูดอย่างกระวนกระวาย “ข้า ข้า ข้ายังนึกไม่ออก! รอให้ข้าลงมาก่อนนะ!”
ฉินกงกงหัวเราะ “ได้เลยขอรับ!”
เซียวลิ่วหลังเบนสายตาไปทางจวงไทเฮา
นางแทบจะไม่เหลียวมองมาทางเขาเลยสักนิด
เซียวลิ่วหลังเริ่มอึดอัดใจ พลางนึก ไม่อยากเจอขนาดนั้นเลยหรือ
เซียวลิ่วหลังสูดหายใจลึก ก่อนจะตัดสินใจพูดออกไป “ฉินกงกง ข้าขอถามอะไรท่านหน่อยได้หรือไม่”
“ว่ามาขอรับ”
“ท่าน…รู้จักนางในวังหรือนางสนมที่มีไฝที่ข้อมือซ้ายหรือไม่”
ฉินกงกงพยายามนึกดู ก่อนจะส่ายหัวให้ “ไม่รู้จักและไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยขอรับ” ฉินกงกงหัวเราะพลางอธิบายต่อ “กระหม่อมเป็นแค่ขันที ถ้าถามถึงเรื่องอื่นว่าไปอย่าง แต่เรื่องนางในละก็…กระหม่อมมิบังอาจไปนั่งสังเกตข้อมือของแต่ละคนขอรับ”
ฉินกงกงไม่ได้ถามต่อว่าเหตุใดเซียวลิ่วหลังถึงถามอะไรแบบนั้น
เซียวลิ่วหลังไม่แปลกใจกับคำตอบของเขา “แล้วไทเฮาทรงรู้จักหรือไม่ขอรับ”
“ลองไปถามให้นะขอรับ” ฉินกงกงไม่ได้บอกว่าเขาสามารถถามไทเฮาได้ แน่นอนว่าที่ฉินกงกงตอบเช่นนั้น หมายถึงเซียวลิ่วหลังไม่ต้องไปถามไทเฮาด้วยตัวเอง
ส่วนเหตุผลนั้นก็น่าจะรู้ๆ กันอยู่
หลังจากถามเสร็จ ฉินกงกงก็เดินมาบอกกับเซียวลิ่วหลัง “ไทเฮาเองก็มิเคยเห็นเช่นกันขอรับ”
“ไม่เป็นไร นี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด” เซียวลิ่วหลังเอ่ยอย่างไร้อารมณ์ “อ๋อ จริงสิท่าน นางข้าหลวงจางผู้เป็นผู้ดูแลสำนักข้าหลวงสตรียังอยู่ในวังนี้หรือไม่ พอดีญาตินางวานให้ข้าเอาของมาให้ ข้าต้องมอบให้นางเองกับมือ”
ฉินกงกงได้ยินดังนั้นจึงเรียกขันทีนายหนึ่งให้เข้ามา พลางรับสั่ง “เจ้าไปตามนางข้าหลวงจางที หากนางอยู่ บอกให้นางมาที่ตำหนักเหรินโซ่วด้วย”