บทที่ 377 ไมตรีจากอริยะ ตบะบรรพชนพุทธ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 377 ไมตรีจากอริยะ ตบะบรรพชนพุทธ

ตบะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนถึงจะแบกรับกรรมอันยิ่งใหญ่ของเจ้าแดนต้องห้ามอันธการได้

หานเจวี๋ยคิดไปคิดมา เกรงว่าคงต้องกลายเป็นอริยะเลยกระมัง

มิเช่นนั้นก็จะกลายเป็นตัวเบี้ยของอริยะได้ง่ายๆ

เหมือนจู่ถูที่แม้จะเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งมหาเคราะห์ก็ยังเป็นตัวเบี้ยของอริยะ นับประสาอะไรกับเขากันเล่า

หากเขายอมรับตอนนี้ว่าตนคือเจ้าแดนต้องห้ามอันธการ หรือยอมรับตอนที่อยู่ในระดับต้าหลัวและครึ่งอริยะ คงยากจะรอดพ้นจากคำนั้น

ตาย!

หานเจวี๋ยกระตุ้นความฮึกเหิม เริ่มฝึกบำเพ็ญ

การใช้ความฝันอันธการ สิ้นเปลืองเพียงพลังเวทปฐมเทพและพลังจิตเท่านั้น หานเจวี๋ยมิได้ต่อสู้ในความฝัน ดังนั้นยังคงอยู่ในสภาวะสมบูรณ์พร้อม บำเพ็ญต่อได้เลย

พลังวิเศษมหามรรคเป็นเพียงพลังวิเศษ ตบะสิถึงจะเป็นรากฐาน

ยกตัวอย่างเช่นข่งเซวียนในเรื่องสถาปนาเทวดา มีแสงเทพห้าสี เลิศล้ำทรงฤทธิ์ แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้แต่อริยะก็ล้วนเสียหน้าด้วยฝีมือเขา แต่เช่นนั้นแล้วอย่างไรเล่า

สุดท้ายก็แพ้อยู่ดีมิใช่หรือ!

เป้าหมายของหานเจวี๋ยคือพิสูจน์ต้าหลัวให้ได้ก่อนที่มหาเคราะห์ครั้งนี้จะสิ้นสุดลง

นั่นคือเป้าหมายขั้นต่ำที่สุด!

อย่างน้อยก็ต้องเป็นครึ่งอริยะก่อนมหาเคราะห์ครั้งถัดไปมาเยือน พยายามพิสูจน์มรรคกลายเป็นอริยะให้ได้ แบบนั้นมหาเคราะห์ครั้งถัดไปถึงจะกลายเป็นยุคสมัยของเขา

หากไม่สำเร็จเป็นอริยะ เช่นนั้นก็ต้องรอต่อไป

ด้วยอายุขัยของหานเจวี๋ย เขามีเวลาให้ใช้เหลือเฟือนัก

….

สิบปีผ่านไป

หานเจวี๋ยหยิบหนังสือแห่งความโชคร้ายออกมา สาปแช่งศัตรูพร้อมตรวจดูจดหมาย

[จี้เซียนเสินสหายของท่านได้รับยอดสมบัติมรรคาสวรรค์อำมหิต พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[ฟางเหลียงศิษย์หลานของท่านเผชิญกับการโจมตีจากจักรพรรดิเซียนเผ่าปีศาจ] x3

[เซวียนฉิงจวินคู่บำเพ็ญของท่านได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังในความฝัน พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[จิ่งเทียนกงสหายของท่านสาปแช่งยมโลก แรงกรรมเพิ่มพูน]

[ยอดแม่ทัพเทพสหายของท่านได้รับการชี้แนะจากอริยะ เรียนรู้พลังวิเศษมรรคาสวรรค์]

[หลงเฮ่าศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากหลี่เต้าคงสหายของท่าน บาดเจ็บสาหัส โชคดีมีผู้ทรงพลังช่วยเหลือ]

[หลี่เต้าคงสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

[ไท่ซู่เทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิงหงเสวียนคู่บำเพ็ญของท่าน]

….

จิ๊ๆ!

ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์อำมหิต!

จี้เซียนเสินอีกก้าวเดียวก็ถึงสวรรค์โดยแท้!

ยอดสมบัติมรรคาสวรรค์แข็งแกร่งแค่ไหน หานเจวี๋ยกระจ่างดีที่สุด เพิ่มคำว่าอำมหิตเข้ามาอีกสามคำ คาดว่าคงไม่ย่ำแย่แน่นอน

หากคนผู้นี้รอดชีวิตจากมหาเคราะห์ไปได้ เขาจะกลายเป็นตัวตนเช่นเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ จักรพรรดิปีศาจและจู่ถูหรือไม่

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่าเซวียนฉิงจวินได้รับการชี้แนะจากผู้ทรงพลังในความฝัน จะต้องมีแผนร้ายแน่นอน จำเป็นต้องวิวัฒนาการดูสักหน่อย!

จิ่งเทียนกงใช้ได้เลย เขาไปจัดการตามคำสั่งของหานเจวี๋ยจริงๆ

ไท่ซูเทียนเริ่มเข้าใกล้สิงหงเสวียนแล้วหรือ

หานเจวี๋ยสาปแช่งไปพลาง นึกกังวลไปพลาง

หากแช่งไท่ซู่เทียนให้ตายตรงๆ จะต้องล่วงเกินเจ้าแม่หนี่ว์วาแน่

เป้าหมายของไท่ซู่เทียนคือหานเจวี๋ย เป็นไปไม่ได้ที่หนี่ว์วาจะไม่นึกสงสัยหานเจวี๋ย

ไม่ได้!

ต้องไปเตือนสิงหงเสวียนไว้เสียหน่อย

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ข้าอยากรู้ว่าไท่ซู่เทียนเข้าใกล้ข้าด้วยจุดประสงค์ใด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยหนึ่งพันล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

หานเจวี๋ยรู้สึกวิงเวียนขึ้นมาทันที

เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เขาอยู่ในตำหนักกว้างขวางโอ่อ่าหลังหนึ่ง สว่างเรืองรอง ไท่ซู่เทียนคุกเข่าอยู่หน้าเทวรูปองค์หนึ่ง

เป็นเทวรูปนารี หน้าตาอ่อนโยน แผ่รัศมีเมตตาปรานี

“เด็กคนนี้คือตัวแปร ข้าหวังว่าเจ้าจะลงสู่แดนมนุษย์ ชำระล้างกรรม เข้าใกล้เขา ทำให้เขาไว้วางใจ” เทวรูปเปล่งเสียงนุ่มละมุน

อริยบุคคล เจ้าแม่หนี่ว์วา!

ไท่ซู่เทียนถามด้วยความสงสัย “เหตุใดต้องเข้าใกล้เขา เป้าหมายคืออะไรหรือ”

หนี่ว์วาเอ่ยตอบ “เขาอาจเป็นจุดเปลี่ยนในการสลายความแค้นระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ มรรคาสวรรค์สี่สิบเก้าประการ เหลือทางโอกาสรอดเพียงเสี้ยวเดียว โอกาสเสี้ยวนี้อาจจะหมายถึงเขา หากเจ้าผูกไมตรีกับเขา วันหน้าข้าก็สานสัมพันธ์กับเขาได้”

“ท่านแน่ใจหรือ”

“ไม่แน่ใจ ระยะนี้ตัวแปรแห่งมรรคาสวรรค์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เราทำได้เพียงเลือกเดิมพันดู เด็กคนนี้นิสัยขี้ระแวงตั้งแต่เกิด ไม่เป็นฝ่ายไปหาเรื่องวุ่นวายก่อน บ่วงกรรมของเขาน้อยยิ่ง ด้วยพรสววรรค์ของเขา เดิมทีสมควรก้าวเดินบนเส้นทางบุตรแห่งสวรรค์แต่เขาไม่กลับเอา จุดนี้ทำให้ข้านึกถึงบรรพชนเต๋า”

“บรรพชนเต๋า? เขาเกี่ยวข้องกับบรรพชนเต๋าหรือ”

“ย่อมมิใช่ เราเพียงรู้สึกว่าเขาอาจจะเดินตามเส้นทางอขงบรรพเต๋า แน่นอนว่าแค่อาจจะ”

ไท่ซู่เทียนฟังแล้วตกอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง

ฉากสถานกาณณ์พังทลายลงไปเช่นนี้

หานเจวี๋ยจมอยู่ในภวังค์ความคิด หนังสือแห่งความโชคร้ายในมือก็ชะงักไปเช่นกัน

หือ?

นี่มันเรื่องอะไรกัน

ที่แท้หนี่ว์วาให้ไท่ซู่เทียนเข้าใกล้เขาเพื่อสานไมตรี เช่นนั้นเหตุใดไท่ซู่เทียนถึงวางแผนทำร้ายสิงหงเสวียนเล่า

หานเจวี๋ยรู้สึกว่าจำเป็นจะต้องตรวจสอบให้กระจ่าง

เขาสามารถสังหารศัตรูอย่างเหี้ยมหาญได้ แต่จะเปลี่ยนไมตรีให้เป็นความแค้นไม่ได้

ไม่แน่ว่าอาจมีแผนร้ายอย่างอื่นซ่อนอยู่อีก

‘ข้าอยากรู้ว่าไท่ซู่เทียนต้องการฆ่าสิงหงเสวียนด้วยสาเหตุใด’

หานเจวี๋ยใช้ระบบวิวัฒนาการต่อ

[ไม่สามารถทำนายได้ นางไม่มีเจตนาสังหาร]

หานเจวี๋ยตะลึงงัน

ไม่มีเจตนาสังหารหรือ

หรือว่าอนาคตเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกแล้ว?

หานเจวี๋ยทำได้เพียงเปลี่ยนคำถามแล้วถามใหม่ว่า ‘ข้าอยากรู้ว่าผู้ใดมาชี้แนะเซวียนฉิงจวินในความฝัน’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยห้าร้อยล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

เงาร่างหนึ่งผุดขึ้นในสมองของหานเจวี๋ย ข้อความแถวหนึ่งเด้งขึ้นมาตรงหน้าเขา

[จักรพรรดินีผืนพิภพ: ไม่ทราบตบะ เจ้าแห่งสังสารวัฏ]

ที่แท้เป็นจักรพรรดินีผืนพิภพ

นี่เป็นการแสดงเจตนาดีต่อหานเจวี๋ย หรือว่าแผนการอื่นอยู่

หานเจวี๋ยถามต่อ ‘นางมีเจตนาร้ายต่อสิงหงเสวียนหรือไม่’

[ไม่มีเจตนาร้าย]

ครั้งนี้ไม่มีการหักอายุขัย ดูเหมือนถ้าหากถามสองคำถามที่เกี่ยวข้องกัน คำถามที่สองจะไม่ถูกหักอายุขัย

หานเจวี๋ยรู้สึกเบาใจลง และสาปแช่งศัตรูอีกครั้ง

มหาเคราะห์น่าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ แล้วจริงๆ ทำให้หานเจวี๋ยเกิดเงามืดในใจ กลัวคนใกล้ชิดจะได้รับความเดือดร้อน

หานเจวี๋ยเคยคิดจะใช้ความฝันอันธการไปเรียกสิงหงเสวียนและเซวียนฉิงจวินกลับมา แต่หากทำเช่นนี้ สตรีทั้งสองจะรู้ว่าเขาใช้พลังวิเศษนี้ได้ อาจเป็นการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์อันเสี่ยงต่อการเปิดเผยตัวตนของเขา อันตรายเกินไป ไม่ควรเสี่ยง

….

เวลาผ่านพ้นไปอีกยี่สิบปี

หานเจวี๋ยเพิ่งสาปแช่งศัตรูเสร็จ ก็พลันสัมผัสถึงกลิ่นอายบางอย่างได้

มีกลุ่มอิทธิพลเข้ามาในแดนชำระบาปเก้าขุมอีกแล้ว!

หานเจวี๋ยพูดไม่ออกเลย

เขาตรวจหาศัตรูที่แข็งแกร่งในละแวกใกล้เคียงทันที

แม้ว่าจะยกระดับอาณาเขตเต๋าแล้ว แต่รัศมีการตรวจจับยังคงไม่ครอบคลุมทั่วแดนชำระบาปเก้าขุม

กลุ่มอิทธิพลรายใหม่อยู่ห่างไกลจากอาณาเขตเต๋ายิ่ง หานเจวี๋ยก็ตรวจสอบไม่ได้เช่นกัน

‘มาก็มาเถอะ อย่ามารบกวนข้าก็พอ’

หานเจวี๋ยคิดเช่นนี้ ช่วงนี้นิกายเจี๋ยไม่กล้าเพ่นพ่านไปทั่วแล้ว เป็นไปได้ว่าคงพบไท่กู่หยวนเฟิ่งเข้าหรือไม่ก็อาจจะแบกรับการพัวพันของแรงกรรมเป็นเวลานานๆ ไม่ไหว

หานเจวี๋ยถามในใจ ‘ผู้ที่เข้ามาเป็นกลุ่มอิทธิพลใด’

[จำเป็นต้องหักอายุขัยสิบล้านปี จะดำเนินการต่อหรือไม่]

ดำเนินการต่อ!

[วังเทพ]

เป็นพวกเขา!

หานเจวี๋ยเลิกคิ้ว ในใจรู้สึกกระสับกระส่ายอยู่บ้าง

สาเหตุที่วังเทพพ่ายแพ้ มีสาเหตุหลักมาจากการที่เขาสาปแช่งจู่ถู

ถึงแม้ไม่มีผู้ใดทราบว่าเป็นเขา แต่เขาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ อีกทั้งมู่หรงฉี่ก็มีความแค้นรุนแรงกับวังเทพด้วย

ไม่ได้ ต้องอยู่ให้ห่างจากพวกเขาหน่อย

หานเจวี๋ยควบคุมเกาะสำนักซ่อนเร้น มุ่งหน้าเข้าไปลึกยิ่งขึ้น

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานเจวี๋ยถึงได้ยอมหยุด หลังจากกำชับตักเตือนชาวสำนักซ่อนเร้นแล้ว เขาก็ฝึกบำเพ็ญต่อ

งานประลองใหญ่ประจำศตวรรษของสำนักซ่อนเร้นเปิดฉากขึ้นอีกครั้ง

เมื่อไม่มีหานเจวี๋ยเข้าร่วม จินกังนู่ก็ครองอันดับหนึ่งไปอย่างมั่นคง

เจียงอี้ต่อสู้กับจอมปีศาจคุกรัตติกาลอย่างดุเดือด คว้าชัยชนะมาด้วยความยากลำบาก ภาคภูมิใจอย่างยิ่ง

จอมปีศาจคุกรัตติกาลและต้วนหงเฉินได้ที่สามและที่สี่เรียงกันไปตามลำดับ ต่างฝ่ายต่างฉุนเฉียวยิ่งนัก

ลี่เหยาได้ที่ห้า ที่หกมิใช่มู่หรงฉี่ มิใช่ถูหลิงเอ๋อร์ แต่เป็นฉู่ซื่อเหริน!

บรรพชนพุทธเริ่มผงาดขึ้นมาแล้ว!

ลี่เหยามองฉู่ซื่อเหรินด้วยสีหน้าท่าทางซับซ้อน เอ่ยถามว่า “เจ้าออมมือไว้หรือ”

คนอื่นก็มองไปที่ฉู่ซื่อเหรินเช่นกัน

ฉู่ซื่อเหรินตอบเรียบๆ ว่า “ข้าประลองกับพวกเจ้าด้วยตบะในชาตินี้เท่านั้น สู้ผู้อื่นมิได้จริงๆ”

สุนัขสวรรค์ฮุ่นตุ้นอดไม่ไหวเอ่ยถามออกไปว่า “เจ้าสามารถสำแดงตบะในชาติก่อนได้ด้วยหรือ”

ฉู่ซื่อเหรินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยๆ พยักหน้ารับ

………………………………………………………………