ตอนที่ 394 ว่าใครเป็นหมอนปักลายบุปผา

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 394 ว่าใครเป็นหมอนปักลายบุปผา?

หลินเว่ยเว่ยกลัวว่าบัณฑิตน้อยจะรีบตัดบทสนทนา นางจึงรีบพูดอธิบายแทนว่า “บัณฑิตเจียงหมายความว่าหลังจากวันนี้เขาจะต้องเดินทางกลับฉือหลี่โกวของเขตเริ่นอันซึ่งอยู่ไกลมาก เขาจึงไม่สะดวก ! ”

เขตเริ่นอัน ? เคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง เหมือนจะอยู่ไกลมาก ลือกันว่านี่นั่นเป็นเขตภูเขา คนในตัวเมืองก็ไม่ได้มีชีวิตอย่างหรูหรามากนัก ส่วนฉือหลี่โกว…น่าจะเป็นชื่อหมู่บ้านกระมัง ? ไม่เคยได้ยินมาก่อน ! แต่มองจากบุคลิกและเสื้อผ้าของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่เหมือนคนที่ขาดแคลนเงินทอง…ขนมของร้านขนมหวานหนิงจี้ก็ไม่ได้ราคาถูก !

จ้าวหลินเฟิงยังพูดอย่างสุภาพอีกสองสามประโยค “ถ้าเช่นนั้นก็น่าเสียดายจริง ๆ หากมีโอกาสข้าจะต้องไปเยี่ยมแน่นอน…”

หลินเว่ยเว่ยกลัวบัณฑิตน้อยจะพูดประมาณว่า ‘ไม่มีโอกาส’ ออกมา นางจึงรีบตอบว่า “ที่หมู่บ้านเรามีภูเขาสวยและสายน้ำใส ในฤดูใบไม้ผลิมีบุปผาสีแดงต้นหลิวสีเขียว นกร้องบินว่อน หากพี่จ้าวมาเยือนก็จะเหมือนได้สัมผัสกับธรรมชาติ…”

หลินฉานเอ๋อร์ชิงพูดก่อน “พี่หลินเว่ยคงกำลังเอ่ยถึงอดีตใช่หรือไม่ ? บัดนี้ภาคเหนือเผชิญภัยแล้งหนักขนาดนี้ หากไปเยือนก็คงได้เห็นแต่ความแห้งแล้งกระมัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “พูดตามตรงว่าในหุบเขาของฝั่งเรามีแอ่งน้ำที่ไม่มีวันแห้งเหือดอยู่ แม้ว่าที่เชิงเขาจะมีฝนตกน้อย แต่บนภูเขาก็ยังพอมีอยู่บ้าง ในฤดูใบไม้ร่วงพวกเรายังเก็บเห็ดได้ไม่น้อย ไก่ป่าตุ๋นเห็ดถือเป็นอาหารจานเด็ดของหมู่บ้านเราเชียวล่ะ ! ”

พอหลินฉานเอ๋อร์ได้ยินเช่นนั้นก็รีบหันไปพูดกับพี่สี่ทันที “พี่สี่ พอเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้วเราไปเที่ยวชมหุบเขาเขียวชอุ่มของบ้านพี่หลินเว่ยกันดีหรือไม่ ? ”

หลินชิงหยูตอบด้วยความหงุดหงิด “เลิกคิดได้เลย ! ” เอาแต่พูดถึงพี่หลินเว่ย เรียกกันสนิทสนมขนาดนั้น แค่ไก่ป่าตุ๋นเห็ดจานเดียวก็หลอกล่อเจ้าได้แล้ว โชคดีที่เจ้าหลินเว่ยเป็นผู้หญิง ไม่อย่างนั้นเขาได้เดินเข้าไปชกหน้าอีกฝ่ายแล้ว !

หลินฉานเอ๋อร์พูดอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าจะไปหาพี่สาม แล้วให้เขาพาข้าไป ! ” หลินชิงเซียน พี่สามของหลินฉานเอ๋อร์ชอบท่องเที่ยวตามธรรมชาติ เวลาครึ่งปีมักจะหมดไปกับการท่องเที่ยวอยู่ด้านนอก และในฤดูใบไม้ผลิก็เป็นเวลาที่เขาออกนอกบ้าน !

งานแข่งขันกวีใกล้จบลงแล้ว หลินเว่ยเว่ยเห็นบัณฑิตที่ค่อนข้างโดดเด่นในงานกำลังสนทนาอย่างสนุกสนานอยู่กับเจ้าของคฤหาสน์ นางจึงพูดกับเจียงโม่หานว่า “บัณฑิตน้อย คนอื่นกลัวว่าจะไร้โอกาสได้มีชื่อเสียง แต่เจ้าทำตรงกันข้ามคือซุกซ่อนความสามารถไว้ รอให้คนตกตะลึงทีหลังหรือไร ? ”

เจียงโม่หานรับกล่องอาหารมาถือไว้แล้วเหลือบมองนาง “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าซ่อนความสามารถเอาไว้ ? บางทีข้าอาจไม่มีความสามารถจริง ๆ ก็ได้”

หลินเว่ยเว่ยมองเขาด้วยดวงตาโค้งมนและพูดด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ “จะเป็นไปได้อย่างไร ? ทำให้ผู้อาวุโสเซวียยอมรับเป็นสหายได้ จะเป็นแค่หมอนปักลายบุปผา1 ได้อย่างไร ? ”

เจียงโม่หานเคาะศีรษะนางทันที “เจ้าว่าใครเป็นหมอนปักลายบุปผา ? ”

“หมอนปักลายบุปผาก็ไม่ได้แย่ไปเสียทีเดียว อย่างน้อยก็ดูดี เจ้าว่าจริงหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาแฝงความนัยมองใบหน้าอันหล่อเหลาของอีกฝ่าย

เจียงโม่หานรู้ว่านางเอาใบหน้าของเขามาล้อเลียนอีกแล้ว รูปโฉมเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ตัวเขาจะทำอะไรได้ ? ดูดีก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียหน่อย !

เอาเถิด บัณฑิตน้อย เจ้ามันแวร์ซาย2 !

หลินฉานเอ๋อร์และหลินชิงหยูไปรวมตัวกับญาติผู้พี่ของพวกตน…ในบรรดาบัณฑิตที่สนทนากับเจ้าของคฤหาสน์ก็มีญาติผู้พี่อยู่ด้วย เห็นได้ว่าพวกเขาพอจะเป็นคนมีสติปัญญาอยู่บ้าง

หลังออกมาจากคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงแล้วพวกหลินจื่อเหยียนก็บอกลาสหายใหม่ที่เพิ่งคบหา หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่ข้างเจียงโม่หาน เพราะกลัวว่าเขาอยู่คนเดียวแล้วจะดูโดดเด่นจนเกินไป

บนใบหน้าเจ้าของคฤหาสน์เปื้อนด้วยรอยยิ้มแสนอ่อนโยน ขณะเดินเข้ามาหาพวกนาง เขาก็พยักหน้าให้เจียงโม่หาน ก่อนจะพูดกับหลินเว่ยเว่ยว่า “วันนี้คุณชายหลินเว่ยมีความสุขหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดตามตรง “ตัวข้าไม่ใช่ปัญญาชนจึงไม่ค่อยสนใจบทกวีอะไรนั่นหรอก แต่ถ้ามีพวกขี่ม้ายิงธนูหรือมวยปล้ำก็จะถูกใจข้ามากกว่า ! ”

เจ้าของคฤหาสน์มองดวงตาอันเปล่งประกายของนาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “คาดไม่ถึงว่าคุณชายหลินเว่ยจะเก่งทั้งบุ๋นและบู๊ คุณชายหลินเว่ยทิ้งที่อยู่ไว้ได้ หากวันหน้ามีการจัดงานประลองขี่ม้ายิงธนูแล้ว ข้าจะต้องส่งเทียบเชิญให้คุณชายหลินเว่ยแน่นอน”

หลินเว่ยเว่ยขยับเท้าไปหาเจียงโม่หานแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “พวกเราไม่ใช่ชาวเมืองจงโจว พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางกลับแล้ว เกรงว่าจะรับเกียรตินี้ไว้ไม่ได้…”

เจ้าของคฤหาสน์พูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “เช่นนั้นเองหรือ ? น่าเสียดายจริง ๆ…กำลังจะถึงการสอบฝู่ซื่อในเดือนสี่แล้ว คุณชายทั้งสองไม่อยู่ที่เมืองจงโจวต่อเพื่อเตรียมตัวสอบหรือ ? ข้ามีผู้อาวุโสสองสามท่านที่มีความรู้ไม่เลว ข้าสามารถแนะนำให้ท่านทั้งสองได้”

หลินเว่ยเว่ยลูบจมูกแล้วพูด “ขอเอ่ยตามตรง ข้าไม่ได้เข้าร่วมการสอบจอหงวน แต่การมาเมืองจงโจวในครั้งนี้ก็เพราะมาเป็นเพื่อนน้องชายและสหายสนิทอีกไม่กี่คน…”

เจ้าของคฤหาสน์บังเกิดความประหลาดใจขึ้นมาทันที “ความสามารถของคุณชายหลินเว่ยโดดเด่นเหนือใคร แค่พูดก็เป็นกวี แล้วทำไม…”

หลินเว่ยเว่ยโบกมือ “ข้าไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้น ! ”

“แต่ละคนมีความใฝ่ฝันเป็นของตน การแสดงความสามารถของตนก็ไม่ได้อยู่ที่การสอบจอหงวนอย่างเดียว เมื่อครู่คุณชายหลินเว่ยบอกว่าสนใจในการขี่ม้ายิงธนูและมวยปล้ำ หรือท่านยังต่อสู้ได้ด้วย ? ” เหมือนว่าเจ้าของคฤหาสน์จะถามอย่างไม่จริงจังมากนัก

หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างถ่อมตัว “ไม่กล้าพูดว่าได้หรอก แต่เรียนอย่างผิวเผินมาจากคนอื่นแค่ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น…”

เจ้าของคฤหาสน์พยักหน้า พอสังเกตเห็นสายตาที่จ้องมาของเจียงโม่หานแล้ว เขาก็ไม่ได้คิดจะถามอีกต่อไป เพียงพูดว่า “รอให้ถึงการสอบในเดือนสี่แล้วที่คฤหาสน์จะจัดงานประลองปาลูกดอก ยิงธนู ล่าสัตว์และกิจกรรมอื่น ๆ หากทั้งสองท่านสนใจก็สามารถมาเข้าร่วมได้”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญของท่านมาก พอถึงตอนนั้นแล้วเวลาเป็นใจ เราจะต้องมาเข้าร่วมแน่นอน…”

เมื่อเจ้าของคฤหาสน์ไปบอกลาบัณฑิตคนอื่นแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็ลูบเหงื่อที่ไม่มีอยู่บนหน้าผาก จากนั้นก็หันไปพูดกับเจียงโม่หาน “บัณฑิตน้อย เจ้าของคฤหาสน์เป็นมิตรเกินไปหน่อยหรือไม่ ? ข้าท่องบทกวีแค่บทเดียวก็ทำให้เขาสนใจได้แล้วหรือ ? ”

เจียงโม่หานละสายตาเปี่ยมความนัยออกจากแผ่นหลังเจ้าของคฤหาสน์แล้วพูดกับเด็กน้อยว่า “ต่อไปก็อยู่ห่างเขาหน่อย ! ”

หลินเว่ยเว่ยหัวเราะร่าเพราะตีความหมายของเขาผิดไป “บัณฑิตน้อย ความหึงหวงของเจ้าเกิดขึ้นได้อย่างกะทันหันเหมือนกัน เขาอายุเท่าพ่อของข้าได้เลย ! อีกอย่างคือตอนนี้ข้าเป็นผู้ชาย เขาคงไม่ได้มีความคิดแบบชายรักชายประมาณนั้นหรอกกระมัง ? ”

“จริงจังหน่อย ! สัญชาตญาณบอกข้าว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ! ” เจียงโม่หานมีใบหน้าบึ้งตึง เขากำลังครุ่นคิดว่าในชาติที่แล้วเจ้าของคฤหาสน์ศาสตร์หกแขนงได้รับบทบาทเป็นอะไรกันแน่…

หลินเว่ยเว่ยรีบแสร้งทำเป็นจริงจัง “ได้ พูดเรื่องสำคัญกัน…เย็นนี้จะไปกินข้าวที่ไหน แล้วกินอะไร ? ”

เจียงโม่หานก้มหน้ามองกล่องอาหารที่ว่างเปล่าในมือ…กินขนมไปเยอะแยะขนาดนี้ เจ้ายังมีกระเพาะซ่อนอยู่ที่อื่นอีกหรือ ?

หลินเว่ยเว่ยลูบหน้าท้องอันแบนราบของตน…ขนมคือขนม จะแทนที่อาหารหลักได้อย่างไร ? อีกอย่างกว่าจะได้เข้าเมืองจงโจวสักหนไม่ใช่เรื่องง่าย หากไม่ชิมของอร่อยที่นี่แล้วจะไม่เท่ากับมาเสียเที่ยวหรือไร ?

เจียงโม่หานส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “อาหารเสฉวนของหอจุ้ยเกามีแบบดั้งเดิมมากมาย ถ้าอย่างไร…ไปลองชิมหรือไม่ ? ”

หลินเว่ยเว่ยเงยหน้ามองเขา “บัณฑิตน้อย เจ้าดูคุ้นเคยกับเมืองจงโจวมากเลย ! แม้แต่ร้านอาหารของที่นี่ เจ้าก็รู้จักดี บอกมา ! ในอดีตเจ้ามาที่นี่บ่อยใช่หรือไม่ ? ”

[i]
1 หมอนปักลายบุปผา เปรียบเปรยว่า งดงามแต่ไร้สมอง
2 แวร์ซาย เป็นคำด่ายอดฮิตสำหรับชาวโซเชียลมีเดียประเทศจีน แปลว่า ตอแหลหรือดัดจริต