ตอนที่ 377 คำนับขอบพระคุณ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 377 คำนับขอบพระคุณ

ผู้ที่ติดค้างหนี้ชีวิตผู้อื่น ไป๋ชิงเหยียนกล่าวว่านายอำเภอโจวจะคืนความยุติธรรมให้ผู้ตาย

ข่าวเรื่องที่ไป๋ชิงเหยียนเปิดหอบรรพชนเพื่อจัดการกับทายาทตระกูลไป๋ที่ข่มเหงรังแกชาวบ้าน ผู้เสียหายได้รับเงินค่าชดเชย บ้านและโฉนดที่ดินคืนกระจายไปทั่วเมืองซั่วหยางราวกับติดปีกบิน

ผู้เสียหายที่ไม่ยอมมาเพราะไม่เชื่อว่าไป๋ชิงเหยียนจะลงโทษคนของตระกูลบรรพบุรุษไป๋จริงๆ ต่างพากันมุ่งหน้าไปยังหอบรรพชนเพื่อฟ้องร้อง

ไม่นานผู้เสียหายทยอยกันมามากขึ้น ชายชราผมขาวโพลนอุ้มหลานชายและลูกสะใภ้ของตัวเองมายืนอยู่หน้าหอบรรพชน ขอร้องให้เจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ทวงความยุติธรรมคืนให้พวกเขา

ชาวบ้านทยอยกันมารวมตัวอยู่หน้าหอบรรพชนมากขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่ได้เงินชดเชยต่างซาบซึ้งในบุญคุณของไป๋ชิงเหยียน ก้มศีรษะคำนับแนบพื้นแสดงความขอบคุณ

สีหน้าของผู้อาวุโสในตระกูลบรรพบุรุษที่ลูกหลานของตัวเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิดเริ่มย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ คนตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่ปกติไม่ได้ทำเรื่องชั่วช้าพวกนี้เหมือนกับคนอื่นๆ ใช้ชีวิตของตัวเองตามปกติ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ตกตะลึงเป็นอย่างมาก รีบหันไปมองลูกหลานผู้ไม่เอาไหนของตัวเอง ส่งสายตาถามว่าเคยก่อเรื่องเช่นนี้ที่ด้านนอกบ้างหรือไม่

เรื่องที่เกิดขึ้นในหอบรรพชนไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ขนาดสตรีของตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่รอฟังข่าวอยู่ที่เรือนยังอยู่ไม่เป็นสุข รีบมุ่งหน้ามาที่หอบรรพชน ต่างยืนกลั้นเสียงสะอื้นมองไปทางลูกหลานของตัวเองอย่างร้อนใจอยู่กลางลานหญ้า

ทายาทตระกูลไป๋ที่ทำให้มารดาของหย่าเหนียงจมน้ำตายคือหลานชายของผู้เฒ่าห้าซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของประมุขไป๋ เขาเอาแต่ตะโกนร้องอย่างหวาดกลัว “ท่านปู่ช่วยด้วยขอรับ! ท่านปู่ช่วยข้าด้วยขอรับ! ข้าไม่อยากโดนไล่ออกจากตระกูลขอรับ!”

“ท่านปู่ ท่านประมุข ต่อไปพวกเราไม่กล้าทำเช่นนี้อีกแล้วขอรับ พวกเราชดใช้ในสิ่งที่ควรชดใช้ไปหมดแล้ว ต่อให้ข้ากับท่านพี่จะทำเรื่องสารเลวเพียงใด แต่ก็ไม่เคยทำให้ผู้ใดตายนะขอรับ!”

“ท่านปู่ ท่านช่วยขอร้องให้ท่านประมุขปล่อยพวกเราไปเถิดขอรับ!”

เมื่อหลานชายของผู้เฒ่าห้าอ้อนวอน ทายาทคนอื่นของตระกูลบรรพบุรุษที่คุกเข่าอยู่กลางลานหญ้าก็เริ่มขอร้องอ้อนวอนตามทันที

ประมุขไป๋มองดูหลักฐานความผิดที่ยังวางอยู่ข้างกายของนายอำเภอโจว จากนั้นมองไปทางไป๋ชิงเหยียนที่มีสีหน้าเย็นชา เขารู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

ผู้อาวุโสบางคนเริ่มทนไม่ไหว มองไปทางประมุขไป๋ “ท่านประมุข พวกเราชดใช้และคืนในสิ่งที่ควรคืนหมดแล้ว อย่าขับไล่เด็กๆ ออกจากตระกูลเลยนะขอรับ ครั้งนี้พวกเขาสำนึกผิดแล้วจริงๆ ได้รับบทเรียนแล้วด้วย ท่านขอร้องจวิ้นจู่ถือว่าเห็นแก่ตระกูลเดียวกัน ให้เรื่องนี้จบลงแค่นี้เถิดขอรับ!”

ไป๋ชิงเหยียนสีหน้าราบเรียบ กล่าวเพียง “ทายาทตระกูลบรรพบุรุษไป๋เหล่านี้ข่มเหงรังแกชาวบ้านนับครั้งไม่ถ้วน! ท่านประมุขว่าควรตัดสินลงโทษตามกฎของตระกูลหรือปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนายอำเภอโจวดีเจ้าคะ”

ประมุขไป๋รู้สึกตัวทันที กฎของตระกูลไป๋รุนแรงกว่ากฎของบ้านเมืองหลายเท่านัก หากไป๋ชิงเหยียนลงโทษตามกฎของตระกูลจริงๆ หากโดนโบยนับร้อยที เด็กพวกนี้คงไม่มีชีวิตรอดแน่นอน!

ไม่สู้ขับไล่ออกจากตระกูลก่อน เมื่อไป๋ชิงเหยียนอารมณ์เย็นลงและเป็นมิตรกับเขามากกว่านี้ ค่อยขอให้หญิงสาวไปบอกให้นายอำเภอโจวตัดสินโทษใหม่อีกครั้งหรือให้โอกาสเด็กเหล่านี้อีกสักครั้ง

“ท่านพ่อ! ลูกหลานตระกูลไป๋ของเราเคยเผชิญความลำบากเช่นนี้ที่ใดกันเจ้าคะ อาเจี๋ยยังเด็ก ถูกจับขังคุกแล้ว สิ่งที่ควรคืนก็คืนให้ไปแล้ว คนตายไม่อาจฟื้นคืนได้ พวกเราชดใช้เงินให้พวกเขาแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดยังต้องทำถึงขั้นนี้อีกเจ้าคะ” มารดาของไป๋ชิงเจี๋ยมองดูบุตรชายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นโดยไม่แม้แต่จะร้องไห้ออกมา นางร้องไห้ตะโกนใส่ประมุขไป๋ “ตระกูลไป๋ของเรามีความดีความชอบในการช่วยสถาปนาแคว้นนี้ขึ้นมา มีความดีความชอบทางทหารมากมาย คุณงามความดีเหล่านี้ช่วยคุ้มครองทายาทตระกูลไป๋ไม่ได้เลยหรือเจ้าคะ”

ไป๋ชิงเหยียนเงยหน้าขึ้น แววตาเยือกเย็นคมกริบ

“กล่าวบ้าบออันใดกัน!” ไป๋จิ่นจื้อโมโหจนสบถคำหยาบออกมา หยิบแส้ออกมาจากเอวด้านหลัง สะบัดไปยังอากาศหนึ่งที เสียงแส้กระทบกลางอากาศช่างน่าหวั่นเกรงยิ่งนัก สตรีกลางคนที่กำลังกล่าวอ้อนวอนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ

“ถูกจับขังคุกถือว่าลำบากแล้วหรือ น้องชายสิบเจ็ดของข้าอายุเพียงสิบขวบก็ออกไปสู้รบที่หนานเจียง เสียสละเพื่อบ้านเมือง ชูดาบติดตามท่านลุงใหญ่ของข้าไปสู้รบกับข้าศึกพลางสาบานว่าแม้ตายก็จะไม่ยอมถอย เขาถูกศัตรูฟันศีรษะ คว้านท้อง ในท้องมีแต่ดินโคลนและเศษไม้! สัตว์เดรัจฉานเหล่านี้ลำบากว่าน้องชายสิบเจ็ดของข้าอีกอย่างนั้นหรือ พวกเขาเด็กกว่าน้องชายสิบเจ็ดของข้าอีกหรือ!”

ไป๋จิ่นจื้อนึกถึงน้องชายคนที่สิบเจ็ด รู้สึกปวดร้าวใจเป็นที่สุด เลือดในกายเดือดพล่าน ทายาทของตระกูลบรรพบุรุษไป๋เคยเผชิญความลำบากเช่นนี้บ้างหรือไม่ ความทรมานใดจะสู้ความทรมานที่น้องชายสิบเจ็ดของนางได้รับกัน!

“คนถ่อยอย่างพวกเจ้าไม่คู่ควรนำความดีความชอบของตระกูลไป๋มาอวดอ้างใช้เป็นเครื่องมืออ้อนวอนเช่นนี้ ตระกูลไป๋มีความดีความชอบมากมายนับร้อยปีก็จริง ทว่า ความดีความชอบเหล่านั้นได้มาจากการสละชีพอยู่ที่หนานเจียงของบุรุษตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงทุกคน พวกเขาสละชีวิตของตัวเองเพื่อให้คนอย่างพวกเจ้าอาศัยบารมีของตระกูลไป๋รังแกชาวบ้าน เห็นชีวิตชาวบ้านเป็นผักปลาเช่นนี้หรือ!”

ไป๋จิ่นจื้อกล่าวทุกถ้อยคำอย่างหนักแน่น “หากพวกเจ้าอยากได้ความดีความชอบ ตอนที่ท่านปู่ ท่านลุง ท่านอาและบรรดาพี่ชายน้องชายของข้าเสียชีวิตอยู่ที่หนานเจียง เหตุใดพวกเจ้าจึงไม่ไปสร้างความดีความชอบที่หนานเจียง แต่กลับให้พี่หญิงใหญ่ที่ได้รับบาดเจ็บหนักจากการปกป้องบ้านเมืองของข้าเสี่ยงอันตรายไปสู้รบกับซีเหลียงและหนานเยี่ยนเพื่อปกป้องชาวบ้านแถบชายแดนไว้เล่า ในบรรดาความดีความชอบของตระกูลไป๋ทั้งหมด พวกเจ้ามีส่วนร่วมแม้แต่น้อยหรือไม่! พวกเจ้ายังมีหน้านำความดีความชอบของตระกูลไป๋มาใช้ลบล้างความผิดที่ตัวเองก่อไว้อีก! ยังมีความละอายใจอยู่บ้างหรือไม่!”

ประมุขไป๋มองไปทางไป๋จิ่นจื้อ จากนั้นสายตาหยุดอยู่ที่เฉวียนอวี๋กงกง เขาพยายามระงับโทสะของตัวเองไว้ กล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจ “พวกเราล้วนเป็นคนในตระกูลไป๋เหมือนกัน…”

ดวงตาคู่งามของไป๋ชิงเหยียนมองไปทางประมุขไป๋ แววตาคู่นั้นเยือกเย็นยิ่งกว่าเดิม “ในเมื่อเป็นคนตระกูลเดียวกัน เช่นนั้นก็ควรรู้ว่าที่คนในตระกูลไป๋ทุกรุ่นไปออกรบ สละชีพฆ่าฟันกับศัตรูไม่ใช่เพราะอยากได้ความดีความชอบทางทหารและไม่มีทางใช้ความดีลบล้างความผิดอย่างน่าไม่อายเช่นนี้เด็ดขาด! ภายในหอบรรพชนของตระกูลไป๋เต็มไปด้วยดวงวิญญาณของบรรพบุรุษและวีรบุรุษของตระกูลไป๋! สายเลือดหลักของตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวง นับตั้งแต่ร่วมสถาปนาแคว้นนี้มาพร้อมจักรพรรดิเกาจู่ ในบรรดาป้ายวิญญาณนับร้อยป้าย ป้ายใดบ้างที่เสียชีวิตอย่างสงบ! ทุกคนล้วนสละชีพเพื่อบ้านเมืองทั้งสิ้น! มีชีวิตอยู่เพื่อชาวบ้าน สละชีพเพื่อบ้านเมือง สองประโยคนี้คือศรัทธาที่สืบทอดต่อกันมาของตระกูลไป๋ ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงทำได้ตามนั้น ทว่า ทุกท่านซึ่งเป็นคนของตระกูลไป๋ที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ลองถามใจของตัวเองดูหน่อยเถิดว่าพวกท่านคนใดทำได้บ้าง”

ไป๋จิ่นจื้อมองดูชาวบ้านที่กำลังชะโงกหน้ามองเข้ามาด้านในหอบรรพชนของตระกูลไป๋ นางนึกถึงตอนที่พี่หญิงใหญ่ยืนอยู่หน้าจวนไป๋ กล่าวถึงคุณงามความดีของตระกูลไป๋จนทำให้คนที่ต้องการใส่ร้ายทำลายล้างตระกูลไป๋ละอายใจ ทำให้ชาวบ้านเลือดร้อนพากันลุกขึ้นมาปกป้องตระกูลไป๋

นึกถึงเหตุการณ์ที่ชาวบ้านเข้าข้างพี่หญิงใหญ่ตอนที่นางไปตีกลองเติงเหวินขอให้ฮ่องเต้ทรงลงโทษซิ่นอ๋องอย่างหนัก นึกถึงคำกล่าวของพี่หญิงใหญ่ที่บอกว่าเมื่อก่อนตระกูลไป๋เอาแต่ลงมือทำ แต่ไม่เคยกล่าวออกมาเป็นถ้อยคำ ไม่เคยบอกออกมาว่าตระกูลไป๋ซื่อสัตย์และจงรักภักดีมากเพียงใด ชาวบ้านถึงได้ลืมเลือนสิ่งเหล่านี้ไป

นึกถึงพลังมหาศาลที่ได้จากชาวบ้านในเมืองหลวงทุกคน

ไป๋จิ่นจื้อกำแส้ในมือแน่น มองดูบรรดาทายาทตระกูลบรรพบุรุษที่คุกเข่าอยู่กลางลานหญ้า ตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ท่านปู่ของข้าชรามากแล้วแต่ยังคงสวมชุดเกราะพาบรรดาบุรุษทั้งหมดของตระกูลไป๋ รวมถึงน้องชายคนที่สิบเจ็ดซึ่งอายุเพียงสิบขวบของข้าไปออกรบกับศัตรูเพื่อปกป้องบ้านเมือง การเสียสละของพวกเขาไม่ได้มีไว้เพื่อสัตว์เดรัจฉานอย่างพวกเจ้า”

“บุรุษตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงไม่ใช่ไม่กลัวตาย พวกเราตระกูลไป๋ก็มีพ่อแม่ มีคนรอคอยให้พวกเรากลับมาเช่นเดียวกัน ทว่า บุรุษคนดีทุกคนของตระกูลไป๋ไม่เคยลืมคำสั่งสอนของบรรพบุรุษ พวกเขายอมพลีชีพเพื่อปกป้องชาวบ้าน! เพราะตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงเห็นชาวบ้านเป็นดั่งสายเลือดเดียวกัน เพราะชาวบ้านแถบชายแดนไม่มีผู้ใดคอยปกป้อง เพราะได้สมญานามว่าเจิ้นกั๋วจึงไม่อาจทำผิดต่อภาษีที่ชาวบ้านจ่ายมาให้!”