ตอนที่ 396 ส่งสายตาให้เจ้าก็จงรู้ตัว

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 396 ส่งสายตาให้เจ้าก็จงรู้ตัว

เมิ่งจิ่งหงเหมือนโดนเทน้ำเย็นราดศีรษะขึ้นมาทันที จริงสิ การสอบระดับเซี่ยนซื่อในครั้งนี้ รายชื่อเขาอยู่อันดับท้ายแถว ถ้ายังไม่พยายามอีกในช่วงสองเดือนสุดท้ายนี้ การสอบระดับฝู่ซื่อก็ต้องเข้าขั้นอันตรายอย่างแน่นอน ช่างเถิด ต่อไปถ้ามีโอกาสแล้วค่อยไปเที่ยวเขตอวี้อันก็ยังไม่สาย !

เดิมทีหนอนหนังสืออย่างเผิงหยูเหยี่ยนก็ไม่ชอบร่วมความสนุกกับคนอื่นอยู่แล้ว หลังครุ่นคิด เขาก็อยากไปเขตเริ่นอันกับพวกเมิ่งจิ่งหงเพื่อขอคำชี้แนะจากอาจารย์ฟ่านและอาจารย์ท่านอื่นที่สำนักศึกษา สำหรับเขาแล้ว อ่านตำราเพิ่มอีกสองเล่มก็ดีกว่าการไปดูตลาดการค้าข้ามเขตแดนอะไรนั่น

แต่หลินจื่อเหยียนมีหัวใจของเด็กหนุ่ม เขาหาเหตุผลที่คิดว่าดีแล้วให้ตนเอง “อ่านตำราพันเล่มไม่สู้การเดินทางพันลี้ อีกอย่างข้าก็ไม่วางใจให้พี่รองไปคนเดียว…”

คนเดียว ? เจ้าเห็นข้าตายไปแล้วหรือ ? เจียงโม่หานรีบส่งสายตาเย็นชาให้เจ้าเด็กคนนี้รู้ตัว

วันรุ่งขึ้น คนทั้งเจ็ดแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งเดินทางกลับเขตเริ่นอันส่วนอีกกลุ่มมีหลินเว่ยเว่ยเป็นแกนนำแล้วเดินทางขึ้นเหนือไปยังเขตอวี้อัน

ระยะทางร้อยลี้ รถม้าต้องใช้เวลาเดินทาง 2-3 วัน การเดินทางขึ้นเหนือต้องเผชิญลมแรง หากเดือนสองของภาคใต้เป็นฤดูใบไม้ผลิที่ดอกไม้ผลิบานแล้วเส้นทางที่ไปยังเขตอวี้อันยังเต็มไปด้วยหิมะ

หลินเว่ยเว่ยนั่งขัดสมาธิอยู่ในรถม้าแล้วจุดไฟในเตาให้แรงกว่าเดิม หลังหยิบเกาลัดที่คั่วจนสุกแล้วให้เจียงโม่หาน นางก็เปิดม่านหน้าต่างเพื่อชมโลกภายนอก หิมะตกไม่หยุดไม่หย่อน นางจึงรีบปิดม่านหน้าต่างลงอย่างดี “ไม่รู้ว่าหิมะจะตกไปถึงเมื่อใด”

นางรู้สึกสับสนเล็กน้อย ถ้าหิมะไม่หยุดตกสักที ตลาดการค้าในปีนี้ยังจัดได้อยู่หรือ ? แต่นางก็แอบคาดหวังในใจว่าหิมะจะตกนานอีกหน่อย เพราะอย่างไรมันก็ช่วยบรรเทาความแห้งแล้งในภาคเหนือได้ชั่วระยะหนึ่ง

เจียงโม่หานป้อนเกาลัดที่ปอกเปลือกเสร็จแล้วให้นาง “น่าจะตกอีกไม่นาน”

เป็นอย่างที่พูด ต่อจากนั้นประมาณหนึ่งชั่วยาม หิมะก็ค่อย ๆ หยุดตก ฟ้าเริ่มสว่าง เมื่อเปิดม่านรถม้าขึ้นมาก็เห็นสภาพอากาศหนาวเย็นด้านนอก ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนอดสั่นสะท้านไม่ได้ หลินเว่ยเว่ยหันมามองเจียงโม่หานด้วยความประหลาดใจ “เจ้าคงไม่ใช่จูเก่อเลี่ยง ( ขงเบ้ง ) กลับชาติมาเกิดใหม่ เพราะมีความรู้ด้านดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์จึงได้รู้อดีตและอนาคตโดยการนับนิ้วมือหรอกกระมัง ? ”

แม้จะไม่รู้ว่าจูเก่อเลี่ยงเป็นใคร แต่เจียงโม่หานก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะมีความรู้แบบนั้นได้อย่างไร ก็แค่คาดเดาแล้วบังเอิญถูกต้อง”

ภาคเหนือในอดีตชาติ พอเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้วก็เริ่มกลับมาแห้งแล้งอีกครั้ง กระทั่งถึงฤดูหนาวแล้วจึงค่อย ๆ บรรเทาลง ด้วยเหตุนี้หิมะย่อมจะตกได้อีกไม่นาน…

หลินจื่อเหยียนกอดเสื้อคลุมไว้แน่นพลางพูดกับหลินเว่ยเว่ย “พี่รอง ยิ่งขึ้นเหนือยิ่งหนาว ได้ยินว่าชาวตงหูล้วนอาศัยอยู่ในกระโจม พวกเขาทนอากาศที่หนาวเหน็บขนาดนี้ได้อย่างไร ? ”

“ความเคยชิน ! ก็เหมือนคนภาคใต้ที่พอมาเยือนภาคเหนือของเราก็คิดว่าอากาศหนาวมาก แต่พวกเราชินแล้ว เหตุผลเดียวกันนั่นแหละ ! ” หลินเว่ยเว่ยนึกถึงชาวเอสกิโมในอดีตชาติ อุณหภูมิติดลบหลายสิบองศาแต่ยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหินหรือบ้านที่สร้างจากน้ำแข็งได้อย่างสบาย สภาพชีวิตของชาวตงหูคงไม่ต่างอะไรจากพวกเขา ?

เนื่องจากหิมะตก พื้นจึงลื่น พวกนางต้องใช้เวลาเดินทาง 3 วันจึงมาถึงพื้นที่ใต้ปกครองของเขตอวี้อัน เดิมทีหวังได้เห็นเมืองขนาดเล็กที่เจริญรุ่งเรือง แต่ใครจะรู้ว่าได้มาเจอสภาพบ้านเมืองโทรม ๆ กระท่อมหลังเก่า บ้านหินผุพัง ถนนดินโคลนสายเล็ก ๆ ยังรวมถึงทุ่งหญ้าแห้งเหี่ยวที่มีให้เห็นอย่างไร้สิ้นสุดนอกตัวเมือง เมื่อลมหนาวพัดมา ต้นหญ้าแห้งเหี่ยวก็ลอยมาตามลม น่าหดหู่ใจสุด ๆ

เมื่อเห็นท่าทางผิดหวังของหลินเว่ยเว่ยแล้ว เจียงโม่หานก็อธิบายว่า “เมื่อสามปีก่อนอวี้อันแห่งนี้เป็นเมืองขนาดเล็กที่แสนจะธรรมดาและอยู่ติดชายแดน ที่นี่มีแต่ความเหน็บหนาว พืชผลที่มีย่อมไม่เพียงพอต่อการจ่ายภาษีด้วยซ้ำ การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาวของทุกปียังมีชาวตงหูเข้ามาปล้นสะดมไปด้วย มีแค่ช่วงสองปีหลังที่ฮ่องเต้ประสงค์เชื่อมสัมพันธ์กับชาวตงหูจึงได้เปิดตลาดการค้าข้ามเขตแดนขึ้นมา…”

ทว่าในเวลาไม่ถึงสิบปีข้างหน้า เขตอวี้อันแห่งนี้จะกลายเป็นเมืองชายแดนขนาดใหญ่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดและขับเคลื่อนเศรษฐกิจจนสามารถเก็บภาษีได้มากที่สุด กลายเป็นสะพานเชื่อมการค้าของต้าเซี่ยและตงหู แม้แต่เชื้อพระวงศ์ตงหูก็ยังปลอมตัวมาแลกเปลี่ยนเครื่องลายครามอันงดงามและเครื่องหยกอันล้ำค่าที่นี่ด้วย…

“หากตลาดการค้าข้ามเขตแดนนี้สามารถเปิดต่อไปได้ เช่นนั้นการลงทุนก็คงมีเพิ่มมากขึ้น ! ” ดวงตาอันเปล่งประกายของหลินเว่ยเว่ยจับจ้องไปที่บ้านหินเตี้ย ๆ เหล่านั้น ถ้าที่นี่มีการขายพวกหนังสัตว์ หากสร้างร้านค้าขึ้นมาแล้ว ต่อไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจะปล่อยเช่าไม่ได้ !

เจียงโม่หานหันไปมองนางแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจในความฉลาดหาเงินของนาง ถ้านางไม่ได้กลับชาติมาเกิดเหมือนเขาก็หมายความว่าสายตาของนางพิเศษมากทีเดียว

เจียงโม่หานพูดขึ้นมา “อย่างน้อยภายในสามปีนี้ ตลาดการค้าข้ามเขตแดนของที่นี่ก็จะไม่โดนถอดถอน”

ในฤดูร้อนของปีนี้พวกกบฏจากราชวงศ์ก่อนยังรอโอกาส ด้านแคว้นหนานซือและแคว้นซีเหลียงกำลังพิพาทกันอยู่จึงไม่สามารถใช้กำลังทหารกับตงหูได้ ดังนั้นการเปิดตลาดการค้าข้ามเขตแดนจึงเป็นการสนับสนุนให้ต้าเซี่ยกับตงหูได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาด้านความขัดแย้งได้

“สามปี ! ถ้าเช่นนั้นเริ่มลงทุนตั้งแต่แรกก็จะได้กำไรหลายเท่า…บัณฑิตน้อย เราจะลงมือดีหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ย ยิ้มตาหยีและเห็นฟันขาว

เจียงโม่หานหัวเราะเบา ๆ “ในใจของเจ้าไม่ได้มีคำตอบอยู่แล้วหรือ ? ”

“ต่อไปเจ้าจะเป็นผู้นำครอบครัว ข้าจึงต้องถามความเห็นจากเจ้าก่อนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าข้าไม่เห็นเจ้าอยู่ในสายตา…แต่ที่จริงแล้วเจ้าอยู่ในใจของข้าตลอด ! ” ตอนพูดถึงประโยคสุดท้าย ท่าทางโลภเงินของหลินเว่ยเว่ยก็เปลี่ยนเป็นความเสน่หาเข้ามาแทนที่

เจียงโม่หานครุ่นคิด ก่อนจะพูดว่า “ต่อไปเรื่องเล็กของบ้านเราจะมีเจ้าเป็นคนตัดสินใจ ส่วนเรื่องใหญ่…เราสองคนปรึกษากันแล้วค่อยตัดสินใจ” เด็กคนนี้ไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป มีหลายเรื่องที่หากไม่ใช่เพราะเขากลับชาติมาเกิดใหม่ก็ไม่มีทางมองได้กระจ่างเท่านาง ! แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เรื่องหาเงินเท่านั้น…

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าซื้อบ้านหรือร้านค้าเอาไว้สักสองสามหลังที่เขตอวี้อันถือเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก ? ” หลินเว่ยเว่ยถามด้วยรอยยิ้ม

เจียงโม่หานพูด “เรื่องเล็กแบบนี้เจ้าตัดสินใจเลย ! ”

หลินเว่ยเว่ยเปิดกระเป๋าถักของเขาแล้วหยิบตั๋วเงินออกมาหนึ่งใบ “ได้ ! ข้าจะไปถามคนแถวนี้…”

“หากไม่สามารถหาร้านที่เหมาะสมได้ เจ้าสามารถไปหาซื้อที่ดินทางฝั่งตะวันออกของที่ว่าการเขต แล้วเราสร้างร้านใหม่เองได้ ! ” ชาติก่อนเขาเคยมารับหน้าที่ดูแลตลาดการค้าข้ามเขตแดนอยู่พักหนึ่ง เขตอวี้อันเริ่มเติบโตและการพัฒนาเริ่มจากใจกลางสู่ทางตะวันออก ศูนย์กลางเดิมของเมืองจึงเริ่มอยู่ไกลและโดดเดี่ยวมากขึ้นเรื่อย ๆ

คนในเมืองก็ไม่ได้โง่ พวกเขานึกถึงโอกาสที่เขตอวี้อันจะพัฒนาได้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จะปล่อยให้เช่าลานหน้าบ้านแล้วตัวเองไปอยู่ข้างหลังแทน เพราะกลัวว่าหากขายบ้านแล้วพวกตนจะไปอยู่ที่ใด ?

หลินเว่ยเว่ยเดินในเขตอวี้อันอยู่นานสองนานแต่หาซื้อร้านหรือบ้านดี ๆ ไม่ได้สักหลัง นางจึงถอนหายใจ “ดูท่าแล้วมีแค่ต้องซื้อที่ดินเพื่อสร้างเอง…แต่เรามีเวลามาสร้างร้านที่นี่หรือ ? ”

เจียงโม่หานลูบหางเปียน้อย ๆ ของนาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร หากจะบดหน้าดินก็ต้องรอให้ถึงช่วงที่มีอากาศอบอุ่นก่อน พอถึงเวลานั้นการสอบเยวี่ยนซื่อก็จบลงแล้ว ก่อนจะถึงการสอบเซียงชื่อก็ยังมีเวลาเหลืออีก 4 เดือน ย่อมมากพอให้สร้าง ! ”