บทที่ 419 ศึกษาแลกเปลี่ยนวรยุทธในห้องหนังสือ

หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป

บทที่ 419 ศึกษาแลกเปลี่ยนวรยุทธในห้องหนังสือ

ทั้งสองอยู่ในห้องหนังสือ คนหนึ่งนั่งอยู่ คนหนึ่งยืนอยู่ พวกเขาพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยไปสักพัก ถึงแม้ในสามคำจะไม่ห่างจากความขัดแย้งในราชสำนัก แต่ก็ถือว่าคุยกันถูกคอ

หลานเยาเยาก้มมองไปทางรถเข็นของเจ้าพระยาเซียวเล็กน้อย จากนั้นก็หยุดสายตาไว้บนขาของเขา

แววตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วกล่าวเสียงเบาว่า:

“ได้ยินว่าสมัยก่อนเจ้าพระยาเซียวเป็นคนคุมสถานการณ์ในสนามรบ เป็นแม่ทัพเอกที่หาได้ยากคนหนึ่งของประเทศก่วงส้า ในมือเคยบั่นหัวคนมาแล้วเป็นหมื่นๆ เคยโด่งดังมากในสมัยหนึ่ง มีหน้ามีตาสมฐานะอย่างดี

ไม่ทราบว่าผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว วรยุทธของเจ้าพระยาเซียวก้าวหน้าไปบ้างหรือไม่?”

คำพูดของนางฟังเหมือนเป็นการชื่นชม แต่ก็เหมือนกำลังดูแคลน ส่วนจะหมายความว่าอย่างไรนั้น ต้องดูว่าคนฟังจะเข้าใจแบบไหนแล้ว

หลังจากเจ้าพระยาเซียวได้ฟังแล้ว

หรี่ตาลงเล็กน้อย มีความระมัดระวังปรากฏขึ้นในแววตาเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ

“เทพธิดาล้อเล่นแล้ว ตาเฒ่าคนหนึ่งอย่างข้า ตอนนี้นั่งอยู่บนรถเข็น ไม่ฝึกฝนวรยุทธนานหลายปี วันๆไม่ออกไปไหน หลายปีขนาดนี้แล้ว วรยุทธไม่เสื่อมถอยก็ไม่เลวแล้ว

ฟังความหมายของเทพธิดา หรือว่าเทพธิดายังอยากจะประลองยุทธกับผู้พิการเช่นข้าหรือ?”

หลานเยาเยามองดูเขาอย่างเหมือนยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม ราวกับไม่เห็นการระมัดระวังตัวในสายตาของเขา แต่กลับพยักหน้าเล็กน้อย กล่าวโดยตรงว่า:

“มีความตั้งใจเช่นนั้น!”

พูดคำนี้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม ราวกับว่าประลองยุทธกับคนที่นั่งอยู่บนรถเข็นไม่ใช่เรื่องที่เอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า และสีหน้าของนางก็เรียบเฉย ดูท่าทางเหมือนแค่รอให้เจ้าพระยาเซียวเอ่ยปากตอบตกลงเท่านั้น

เจ้าพระยาเซียวได้ยินคำพูดแบบนี้ของนางแล้ว สีหน้าก็ตึงไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี

“ในเมื่อเทพธิดามีความสนใจเช่นนี้ ข้าอยากจะปฏิเสธไม่ประลองด้วยคงจะไม่ได้แล้ว ดูท่ากระดูกแก่ๆนี้ก็ควรจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวแล้ว”

ได้ยินเช่นนั้น!

หลานเยาเยาเลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากมีรอยยิ้มที่เจตนาไม่ชัดเจนปรากฏขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เค็มไม่จืด(ธรรมดาๆ):

“ไม่ต้องหาสถานที่อื่นแล้ว ประลองกันที่นี่แหละ วางใจเถอะ! เราประลองพอเป็นพิธีให้รู้ถึงวรยุทธของอีกฝ่ายก็พอ ข้าคนนี้ก็เคารพผู้อาวุโสและรักเด็กอยู่ไม่น้อย”

เห็นว่าเจ้าพระยาเซียวผลักล้อรถเข็น เห็นได้ชัดว่าจะออกไปหาสถานที่กว้างขวางข้างนอกประลอง

แน่นอนว่านางไม่สามารถปล่อยให้เขาออกไปได้

เซียวจิ่นหยูรออยู่ข้างนอกไม่ไกลออกไป ถ้าหากรู้ว่านางจะประลองยุทธกับท่านพ่อที่พิการและร่างกายก็ยังอ่อนแอของเขาแล้ว คาดว่าคงจะชักกระบี่จี้มาที่คอของนางโดยตรงเลย!

เห็นเจ้าพระยาเซียวกระตุกมุมปากของเขาสำเร็จ

เดิมทีเขากำลังคิดออกไปหาสถานที่ประลองยุทธ คำพูดก็มาถึงคอแล้ว ยังต้องถูกอดกลั้นกลับเข้าไป

ใครให้นางเป็นเทพธิดาล่ะ?

สถานะยังเทียบเท่าองค์หญิง

เจ้าพระยาเช่นเขาก็ต้องทำตามความเห็นของนาง

“ได้!” เจ้าพระยาเซียวพยักหน้า “เช่นนั้นก็ที่นี่แล้วกัน!”

เดิมที เจ้าพระยาเซียวเตรียมพร้อมจะเริ่มแล้ว นึกไม่ถึงว่าหลานเยาเยายังพูดคำที่ทำคนอึ้งจนพูดไม่ออกมาอีกคำ:

“เจ้าพระยาเซียว เราประลองกันพอเป็นพิธีให้รู้ถึงวรยุทธของอีกฝ่ายก็พอ ท่านอย่ารังแกข้าที่เป็นคนรุ่นหลังล่ะ!”

“……”

เจ้าพระยาเซียวรู้สึกอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ใครรังแกใครเนี่ย?

เสียงของหลานเยาเยาเงียบไปไม่เท่าไหร่ สีหน้าท่าทางของพวกเขาทั้งสองก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที

เพราะเจ้าพระยาเซียวนั่งอยู่บนรถเข็น การที่เดินไปมาต้องอาศัยการหมุนล้อรถเข็น หากต้องการจู่โจม จะหนักเกินกำลังอย่างมาก

ดังนั้น ทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็น รอให้หลานเยาเยาเป็นคนเริ่มลงมือก่อน

อย่าเห็นว่า ร่างกายเจ้าพระยาเซียวอ่อนแอ ผอมจนดูเหมือนจะเหลือแต่กระดูก แต่พอประลองยุทธกับนางขึ้นมา กลับมีพลังที่น่าเกรงขามดุจดั่งเสือ มีพลังทำให้คนประหลาดใจ

แต่ว่า!

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธมาหลายปีแล้ว และร่างกายก็รับไม่ไหว

สองสามรอบลงมา ในขณะที่เขาก็รู้สึกว่าหนักเกินกำลังอยู่เล็กน้อย ก็แอบประหลาดใจที่วรยุทธของเทพธิดาจะยอดเยี่ยมเช่นนี้ ทั้งที่อายุยังน้อยขนาดนี้

ถ้าหากหมั่นขยันฝึกฝนวรยุทธตลอด ความสามารถในวันหน้าทำให้คนทึ่งมากแน่นอน

ตอนที่ประหลาดใจอยู่ เขาไม่ทันได้ระวังตัว ก็ถูกหลานเยาเยาถือโอกาสจู่โจมถึงตัว

แต่พูดขึ้นมาก็แปลก หลานเยาเยาหาลงมือแต่เท้าที่ไม่มีความรู้สึกของเจ้าพระยาเซียวโดยเฉพาะ สุดท้ายนางก็ยิ้มออกมา จู่โจมไปที่แขนของเขาโดยตรง ท่าทางภาคภูมิใจอย่างมาก ปลายนิ้วมือขาวเนียนเรียวยาวกลับจับไปที่ชีพจรของเจ้าพระยาเซียวในเวลาที่ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

“ไม่เลว ไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธมาหลายปีขนาดนี้แล้ว วรยุทธกลับไม่เสื่อมถอยเลยแม้แต่น้อย ยิ่งแก่ก็ยิ่งแกร่งจริง!”

ทันใดนั้น!

แววตานางเป็นประกายขึ้นมาเล็กน้อย ก็เอามือกลับไป

เจ้าพระยาเซียวหายใจอย่างลำบากเล็กน้อย ลมหายใจไม่มั่นคงเล็กน้อย บนหน้าผากก็มีคราบเหงื่อปรากฏขึ้นมา

คิดว่าคงเพราะไม่ได้ใช้วิทยายุทธมานาน ถึงได้เป็นเช่นนี้

“เทพธิดาถ่อมตนเกินไปแล้ว อายุน้อยๆก็มีกำลังภายในที่น่าทึ่งเช่นนี้ และกระบวนท่ารุนแรงชัดเจนและรวดเร็ว น่าชื่นชมจริงๆ”

คำพูดนี้ เจ้าพระยาเซียวกล่าวอย่างนอบน้อมและจริงใจ

แต่ว่า!

ไม่ได้ออกกำลังมานานแล้ว ระหว่างการต่อสู้สีหน้าของเขาซีดขาวลงไปเล็กน้อย

แน่นอน เขาก็รู้ว่า การประลองยุทธเมื่อครู่ เทพธิดาจงใจออมมือให้เขาทุกท่า ไม่ได้ลงมือบนตัวเขาอย่างเต็มที่

เพียงแต่ว่า……

ทำไมนางต้องทำเช่นนี้ด้วย?

เพียงแค่อยากหยั่งเชิงวรยุทธล้วนๆแค่นั้นหรือ?

“ขอบคุณที่ชม เจ้าพระยาเซียวท่านไม่บาดเจ็บใช่ไหม? เราแค่ศึกษาแลกเปลี่ยนกัน อย่าคิดว่าข้ารังแกท่านล่ะ”

สำหรับคำชม หลานเยาเยารับเอาไว้อย่างหน้าหนามาก

และคนเขานั่งอยู่บนรถเข็นแท้ๆ อีกทั้งไม่ได้ฝึกฝนวรยุทธมาหลายปี นางยังจะดื้อด้านประลองยุทธกับเขา สุดท้ายนางชนะแล้ว ยังจะพูดว่าไม่ได้รังแกเขา

ใบหน้านี้……

“มิกล้ามิกล้า”

เจ้าพระยาเซียวจะสามารถพูดอะไรได้?

อย่างไรก็รังแกไปแล้ว ตอนนี้ค่อยมาพูดคำเหล่านี้ เขารู้สึกจนใจมากในทันที

ช่างเป็นสาวน้อยที่เจ้าเล่ห์นัก

แต่ว่า การประลองยุทธครั้งนี้เขาสู้ได้อย่างมีความสุขมาก อารมณ์ก็ดีขึ้นมามากโดยไม่รู้ตัว ความคิดเห็นที่มีต่อเทพธิดาที่อยู่สูงส่งก็ต้องเปลี่ยนไปไม่น้อยอยู่แล้ว

หลานเยาเยาจัดระเบียบเสื้อผ้าที่ยุ่งเหยิงของตน

ไม่ต้องให้เจ้าพระยาเซียวดูแล ก็มาหน้าโต๊ะด้วยตัวเอง พบว่าบนโต๊ะมีกระดาษจำนวนมาก ข้างบนล้วนแต่ถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่โดดเด่นหนักแน่นเต็มไปหมด

หลานเยาเยารู้ว่า ลายมือของเจ้าพระยาเซียวมีเอกลักษณ์ของตัวเอง มีคนมากมายอยากจะซื้อภาพเขียนตัวอักษรของเขาภาพหนึ่งยังหาซื้อไม่ได้

พบว่าไม่มีเก้าอี้ นางก็หาเก้าอี้มาตัวหนึ่งลากมาถึงหน้าโต๊ะแล้วก็นั่งลงไป หยิบกระดาษเปล่าขึ้นมาอย่างดูแลตัวเอง จุ่มพู่กันลงไปในน้ำหมึก เขียนอักษรอย่างจริงจังขึ้นมา

นางเขียนไปด้วยพูดไปด้วย

“ข้ายอมรับเองว่านอกจากวรยุทธจะดีเล็กน้อยแล้ว ยังมีการเรียนรู้ฝึกฝนจนมีลายมือที่ดี วันนี้ได้เปิดหูเปิดตาเห็นวรยุทธของเจ้าพระยาเซียวแล้ว แล้วยังได้เห็นลายมือที่หาชมได้ยากนี้อีก

ได้ยินมานานแล้วว่าลายมือของท่านโดดเด่นสง่างาม มีเอกลักษณ์ของตัวเอง น้อยคนมากที่จะได้เห็น วันนี้ได้เห็นคำร่ำลือไม่เท็จเลยจริงๆ

ตอนนี้ข้าก็จะเขียนตัวอักษรลงไปบ้าง ขอเจ้าพระยาเซียวโปรดให้คำชี้แนะด้วย”

เมื่อพูดถึงการเขียนอักษร สายตาของเจ้าพระยาเซียวก็เป็นประกายขึ้นมาทันที

“เทพธิดาก็ชอบศึกษาลายมือ?”

เมื่อพูดถึงศิลปะการเขียนพู่กันจีน การเขียนตัวอักษร เขาก็เกิดความสนใจขึ้นมาทันที

ตั้งแต่ที่นั่งอยู่บนรถเข็นแล้ว เขาที่เดิมทีก็ชื่นชอบการเขียนพู่กันจีนอยู่แล้ว ก็หลงใหลมันมากยิ่งขึ้นมาก ดังนั้นลายมือของเขาก็ยิ่งดีมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายไม่เพียงแต่ทำให้คนชื่นชมไม่ขาดปาก ยังล้ำค่าไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน

ตอนนี้ได้ยินว่าเทพธิดาก็ชอบเขียนอักษร จึงเข็นรถเข็นมาข้างหน้าด้วยตัวเอง ทันทีที่มาถึงโต๊ะก็เห็นลายมือของเทพธิดา

มีความประหลาดใจประกายขึ้นมาในดวงตาเล็กน้อย

ลายมือเรียบหรูและสวยงาม วิถีพู่กันแข็งแรงและมีพลัง ฝึกฝนจนได้ลายมือที่ดีมากจริงๆ

แต่ว่าเขาเพิ่งจะดูไปไม่กี่คำ จู่ๆก็ถูกหลานเยาเยาให้กระดาษปิดบังระยะการมองเห็นของเขาเอาไว้ ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวอย่างสงสัย:

“เทพธิดานี่คือ……”

พูดอยู่กับปากแท้ๆ ว่าต้องการเขาช่วยชี้แนะเล็กน้อย แล้วเขาก็มาด้วยตัวเองแล้ว ยังไม่ทันได้ดูกี่คำ นางก็ปิดกั้นระยะการมองเห็นของเขาทันที

ไม่อยากให้เขาเห็นหรือ?