ตอนที่391 คุมขัง (1)

ตอนที่391 คุมขัง (1)

พลังความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เสวี่ยอยู่สูงกว่านาง ยิ่งตอนนี้นางที่โดนพิษจากไม้เถียนมู่ไป ทำให้ปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายช้าลงเข้าไปใหญ่ มือข้างขวาแทบไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แล้ว จึงทำให้ความแข็งแกร่งของนางลดต่ำลงมาก หากสัประยุทธ์ต่อสู้กัน นางไม่มีทางต่อกรกับเขาได้เลย จึงทำได้เพียงเลี่ยงใช้ทางอื่น หยิบใช้วาทศิลป์เข้าเจรจาแทน

ปรมาจารย์เสวี่ยไม่ปริปากพูดแม้สักคำ เพียงก้มหน้าไปหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาผืนหนึ่ง และค่อยๆ บรรจงปาดเช็ดใบกระบี่ในมือ

เซียถงคิดไปว่า อีกฝ่ายน่าจะเริ่มเปิดโอกาสให้เจรจาต่อรองเข้าแล้ว จึงรีบกล่อมต่อทันทีว่า

“ตราบใดที่ยอมปล่อยข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเงินทอง อัญมณีหรือตำแหน่งอำนาจ ข้าจะหามาให้ทั้งหมด ในเมื่อจักรวรรดิซีฉินตกรางวัลให้ท่านได้ แล้วไยจักรวรรดิตงลี่จะตกรางวัลให้ท่านบ้างมิได้?”

ใบกระบี่ยาวถูกขัดเงาจนขึ้นคมสวยเป็นประกายดุจหยาดวารีใสพิสุทธิ์ในฤดูใบไม้ร่วง คมสีเย็นยะเยือกที่สาดสะท้อนออกมาดูน่ากลัวเล็กน้อย ปรมาจารย์เสวี่ยในที่สุดก็เงยหน้าสบมอง แววตานิ่งสงบราวกับผิวน้ำนิ่ง

“ปรมาจารย์เสวี่ย สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้หาใช่ว่าท่านเองจะมิทราบ? หากสังหารข้าทิ้ง ไป๋หลี่หานไม่มีวันปล่อยเจ้าลอยนวล”

เซียถงครั่นคร้ามมิใช่น้อยกับทีท่ามุ่งมั่งไม่แยแสต่อสิ่งใดของอีกฝ่าย ก้าวถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว

ทว่าหลังจากถูกพิษจากไม้เถียนมู่เข้าไป ร่างกายที่ด้านชาของคนส่งผลให้ปฏิกิริยาการตอบสนองเชื่องช้าลงกว่าปกติถึงครึ่งต่อครึ่ง ก่อนที่นางจะขยับตัวหนีเสียด้วยซ้ำ ปรมาจารย์เสวี่ยก็อ้อมหลังเข้าดักเอาไว้เสร็จสรรพ ฝ่ามือซ้ายของนางกระตุกวูบหวังจะอาศัยกระบี่ทัณฑ์ฟ้าเข้าปะทะชน

ทว่าตอนนี้ กระทั่งกระบี่ทัณฑ์ฟ้าก็ยังไม่มี พิษในกายก็ยิ่งพยศรุนแรงยิ่งขึ้น สุดท้ายนี้ นางจึงอาศัยทักษะนักฆ่าเฉพาะตัวหลบเลี่ยง เลื่อนมีดสั้นประกายคมกริบจากใต้แขนเสื้อเข้าสัประยุทธ์ต้านรับเอาไว้แทน

เซียถงไม่กล้าช่วงชิงจังหวะโจมตีสวนกลับไป ทำเพียงตั้งรับปัดป้องและตีระยะหนีห่างอีกฝ่ายเท่านั้น ส่วนคมกระบี่ยาวของปรมาจารย์ก็ยังตามติดไม่ห่างเหินประดุจเงาตามตัว

เสาะหาจังหวะวิ่งขึ้นไปยังขั้นบันไดที่ลงมาอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ถูกคมกระบี่ของปรมาจารย์เสวี่ยเข้าขัดขวางทุกคราไป

“ปรมาจารย์เสวี่ยผู้แกร่งกล้าและยิ่งใหญ่ ใครหรือจะไปคิดว่าชอบรังแกเด็กสาวตัวน้อยๆ ที่โดนวางยาพิษ? หากข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่กลัวขายขี้หน้าเลยรึ? หรือไม่รู้สึกละอายใจเลยที่สังหารข้าทิ้งไปเพื่อคนอื่น?”

เซียถงทุ่มใช้พลังสุดตัวเพื่อหลบเลี่ยงเพลงกระบี่ที่กระหน่ำเข้าใส่อย่างสิ้นหวัง

คมกระบี่ยาวที่เข้าเผชิญหน้าหยุดลงกะทันหัน ประกายสลัวสาดสะท้อนใส่หน้าเซียถงวาบหนึ่ง ปรมาจารย์เสวี่ยจับจ้องไปที่นางและกล่าวว่า

“ข้าหาได้ต้องการชีวิตเจ้าเลย”

คล้อยหลังศึกสัประยุทธ์ไล่ล่ากันเกือบครึ่งวัน ในที่สุดเซียถงก็ได้ทราบ อีกฝ่ายมิได้ต้องการจะฆ่านางจริงๆ มิเช่นนั้น คงไม่อยู่รอดปลอดภัยจวบจนตอนนี้ นางในขณะนี้แทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว จึงตัดสินใจเอ่ยถามออกไป น้ำเสียงลังเลไม่แน่ใจว่า

“ปรมาจารย์เสวี่ย หากไม่ต้องการชีวิตข้า แล้วต้องการอันใด? กักขังไว้ที่นี่?”

“มีกรงขังเตรียมพร้อมอยู่แล้ว”

ปรามาจารย์เสวี่ยตอบ

“แล้วท่านแม่ข้าล่ะ? ถูกขังอยู่ที่นี่เช่นกัน? คนพวกนั้นต้องการอะไรกันแน่?”

เซียถงยิงคำถามออกไปอีกชุดใหญ่

เนื่องจากจำต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างหนักเป็นเวลานาน ส่งผลให้พิษจากไม้เถียนมู่ในร่างกายที่ถูกสกัดเริ่มแพร่กระจายอีกครั้งแล้ว และหากเป็นเช่นนี้ต่อไป นางจะไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกแล้วแม้แต่ปลายนิ้ว คงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากยอมจำนนเสียบัดนี้ เพื่อแลกกับเก็บรักษาสภาพร่างกาย รอโอกาสหยิบใช้ในช่วงเวลาสำคัญจริงๆ

“เดี๋ยวจะมีคนมาช่วยตอบคำถามนี้ให้เจ้าในภายหลัง คุณหนูเซีย เชิญคุมเจ้านี่เพื่อปิดตาเสีย”

ปรมาจารย์เสวี่ยหยิบถุงกระสอบดำออกมาใบหนึ่งและโยนให้เซียถง

“ไยต้องทำให้เป็นเรื่องยุ่งยากปานนี้? หากจับตัวท่านแม่ไปก็แสดงว่าต้องการแลกเปลี่ยนอะไรสักอย่างกับข้า ต้องการสิ่งใดไฉนไม่รีบบอกให้จบไป?”

เซียถงรับถุงกระสอบดำมา ขมวดคิ้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“คุณหนูเซีย ข้าไม่อยากทำร้ายท่าน อย่าทำอะไรแผงๆ จะดีกว่า”

ปรมาจารย์เสวี่ยชำเลืองมองไปที่มือข้างขวาของนาง พลางชูกระบี่ยาวจี้ปลายแหลมเข้าชี้ ใส่

“อุบายเด็กน้อยเช่นนี้ กลับต้องทำให้ปรมาจารย์เสวี่ยหัวเราะเยาะเสียแล้ว”

เซียถงยอมรับไม่มีถงเถียง และคลายฝ่ามือขวาออกมา โปร่ยผงพิษหนึ่งกำมือลงพื้นที่ตั้งใจจะลอบโจมตีใส่อย่างสิโรราบ และนำถุงกระสอบดำมาสวคุมบนหัวแต่โดยดี ในเมื่อไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็แค่ต้องเชื่อฟัง อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังดีกว่า หากพิษจากไม้เถียงมู่กระจายไปทั่วร่างกายจริงๆ ถึงเวลานั้นนางจะไม่สามารถขยับตัวใดๆ ได้อีกเลย และนั่นหมายถึง เหลือหนทางเดียว…รอความตายเท่านั้น

หลังจากที่สวมถุงกระสอบดำ ทัศน์คติโดยรอบของเซียถงก็มืดมิดมองไม่เห็นสิ่งใดอีกต่อไป และทันใดนั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่า มือทั้งสองข้างของตนถูกกดเข้าหากันและมีอะไรบางอย่างพันธนาการรอบข้อมืออยู่ ด้วยความตกใจ นางร้องอุทานขึ้นทันที

“ปรมาจารย์เสวี่ย นี่หมายความเยี่ยงไร?”

“คุณหนูเซีย อย่าได้คิดมากจนเกินไป ทางข้าเองก็จำเป็นต้องป้องกันตัว พึงทราบ ตัวท่านหาใช้หญิงสาวธรรมดาทั่วไป เรื่องนี้ใครๆ ต่างกระจ่างแจ้งดี”

ท่ามกลางวิสัยทัศน์ดำมืด ปรมาจารย์เสวี่ยส่งเสียงตอบกลับ

หลังจากมัดมือทั้งสองข้างของนางเสร็จสิ้น ปรมาจารย์เสวี่ยก็นำทางพาเซียถงเดินไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง สิ่งเดียวที่ได้ยินในขณะนี้นอกจากเสียงฝีเท้าก็คือ สุ้มเสียงถอดถอนหายใจอย่างสิ้นหวังของหวานหลีซุนจากด้านหลัง

คล้อยหลังจากเดินติดตามได้สักครู่ ก็เหลือเพียงความเงียบสงัดที่อยู่รอบตัว เสียงฝีเท้าของไปปรมาจารย์เสวี่ยที่เดินนำหน้าค่อนข้างเบาบาง จำต้องใช้สมาธิอย่างยิ่งในการฟัง เซียถงแอบถอนหายใจเล็กน้อย น่าเสียดายที่เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายเบาเกินไป จนไม่สามารถแกะรอยทิศทางจากเสียงสะท้อนที่ย่างเหยียบได้เลย

จากติดตามเป็นเวลาสักพักใหญ่ ในที่สุดฝีเท้าเบื้องหน้าก็หยุดลง

เซียถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถุงกระสอบดำที่ปิดคลุมศีรษะในที่สุดก็ถูกเปิดออก แสงไฟสลัวตรงหน้าพร่างพรายทำให้วิสัยทัศน์ผิดเพี้ยนไปชั่วขณะ นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ต้องใช้เวลาสักนิดเพื่อปรับแสงให้ชินอีกครั้ง

ที่นี่ยังคงเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสดังเดิม พร้อมกับตะเกียงไฟสีทองแดงที่ติดรอบห้อง แต่สถานที่แห่งนี้ไม่มีอุปกรณ์และเครื่องมือทรมานแบบก่อนหน้า มีเพียงฟูกเตียงสำลีเก่าวางไว้อยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเท่านั้น

“ท่านแม่ข้าอยู่ที่ไหน?”

หลังจากกวาดสายตามองไปรอบห้อง เซียถงอดรู้สึกผิดหวังมิได้ เพราะแต่เดิมคิดว่า นางจะได้พบหน้าท่านแม่เสียที

“อยู่ที่นี่อย่าทำตัวมีปัญหา มิฉะนั้นอาจต้องตายจริงในสักวัน”

ร่างของปรมาจารย์เสวี่ยไสววูบหายวับต่อหน้าไป ปรากฏตัวอีกทีก็อยู่ตรงทางเดินลับช่องหนึ่ง หลังจากพูดจบเขาก็ดันกลไกลับลง กำแพงโลหะปิดตัวในพริบตาต่อมา กลายเป็นห้องปิดตายโดยสมบูรณ์

“ท่านแม่ข้าอยู่ที่ไหน! เจ้าพาท่านแม่ข้าไปไว้ที่ไหน?!”

เซียถงยกมือคู่นั้นที่ถูกพันธนาการมัดไว้ทุบกำแพงโลหะไม่หยุดหย่อน คล้อยหลังผ่านไปสักครู่ใหญ่ แลเห็นว่าไม่มีการตอบสนองใดๆ จากหลังกำแพงโลหะนั่น นางก็หันหลังพิงกับกำแพง ทรุดตัวนั่งมอบกับพื้นด้วยความสิ้นหวัง

นางหลับตาลงและพยายามครุ่นคิดหาวิธี ยกมือขึ้นจ่ออยู่ตรงปาก ใช้ฟันฉีกกัดเลือกเส้นหนาหนึบให้ขาดออกจากกัน

ทว่าปรมาจารย์เสวี่ยใช้เชือกชนิดพิเศษพันธนาการข้อมือของนางเอาไว้ ต่อให้พยายามกัดจนริมฝีปากเซียถงหลุดลุ่ย มีเลือดออกตามไรฟัน ทว่าเชือกที่มัดกลับไม่มีวี่แววจะขาดเลย ยื่งใช้แรงมากเท่าไหร่ นางยิ่งรู้สึกเกิดอาการวิงเวียนศีรษะหนักขึ้นเรื่อยๆ จนนสุดท้ายก็ล้มตัวลงหอบกับพื้นอย่างหมดสภาพ

ส่งเสียงเรียกหาเสี่ยวฮั่วผ่านห้วงความคิด มุ่งจิตสื่อไปหา ปรากฏก็ได้พบความจริงว่า ทั้งเสี่ยวฮั่วและหลิวซูต่างนอนหมดสติอยู่ภายในห้วงความคิดโดยสิ้น