บทที่ 387 ใครกันแน่ที่ควรด่า

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 387 ใครกันแน่ที่ควรด่า

บทที่ 387 ใครกันแน่ที่ควรด่า

เมื่อปราศจากเสียงโห่ร้องจากผู้คน กู้จือเหวินก็รู้สึกดีขึ้น แต่เมื่อเขาคิดว่าต้องขอโทษกู้เสี่ยวหวาน กู้จือเหวินก็รู้สึกรังเกียจราวกับกินแมลงวัน

กู้จือเหวินยืนอยู่ที่เดิมและไม่ขยับตัว ทุกคนคิดว่าเขาเป็นคนขี้ขลาด และกล่าวทันทีว่า “นายน้อย เจ้าคงไม่ได้ตลบตะแลงใช่หรือไม่!”

กู้จือเหวินหงุดหงิดมาก วันนี้เขาไม่ควรออกมาเลย เดิมทีเขาคิดว่าจะสามารถเดาปริศนาทั้งสองข้อนี้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะไม่เคยเห็นปริศนาเหล่านี้มาก่อน เมื่อสักครู่ชายที่พ่อบ้านจ้าวอะไรนั่นกล่าวอีกว่าปริศนานี้ไม่เคยมีใครเดาได้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถ้าเขาไม่สามารถเดาได้ก็ถือว่าไม่แปลก

อย่างไรก็ตาม เขาไม่เคยคิดว่ากู้เสี่ยวหวานที่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพียงแค่เด็กสาวในหมู่บ้านจะสามารถทายปริศนานี้ได้

กู้เสี่ยวหวานรู้คำตอบได้อย่างไร นางเป็นเพียงเด็กในหมู่บ้านที่ไม่รู้หนังสือสักตัว แม้แต่กู้หนิงอันที่ได้เรียนหนังสือ เขาก็ไม่สามารถทายปริศนาธรรมดาได้

ยิ่งกู้จือเหวินคิดเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น และในตอนท้าย เขาก็ตะโกนอย่างโกรธเคือง “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าไม่รู้จักตัวอักษรสักตัวเดียว เจ้าจะเข้าใจปริศนานี้ได้อย่างไร ถ้าเจ้าไม่เข้าใจ เจ้าจะเดาปริศนาได้อย่างไร และถึงแม้จะเดาได้ แต่เจ้ารู้วิธีเขียนคำนี้ได้อย่างไร? เจ้าพูดมาสิว่าเจ้าโกงหรือเปล่า?”

ยิ่งกู้จือเหวินคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เมื่อสักครู่ กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างชัดเจนว่าเขียนคำนี้อย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะรู้หนังสือ?

น่าขันยิ่งนัก กู้จือเหวินเหลือบมองกู้เสี่ยวหวานอย่างดูถูกดูแคลน นางผู้นี้เกรงว่าแม้แต่พู่กันก็คงจะจับไม่เป็น ดังนั้นนางจะรู้หนังสือได้อย่างไร

กู้ซินเถาที่อยู่ด้านข้างเห็นว่าพี่ชายของนางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขาต้องขอโทษกู้เสี่ยวหวานและกล่าวว่าเขาไม่ดีเท่ากู้เสี่ยวหวาน นางจึงเกิดความกังวลเล็กน้อย เมื่อเห็นพี่ชายกล่าวเช่นนั้นออกไป นางจึงรีบเสริมว่า “ใช่แล้ว กู้เสี่ยวหวาน เจ้าต้องโกงเป็นแน่ เจ้าคงจะจับพู่กันไม่เป็นด้วยซ้ำ แล้วเจ้าจะเขียนอักษรเป็นได้อย่างไร? นอกจากนี้ เจ้ารู้ตัวอักษรในปริศนานั่นด้วยหรือ? เจ้าเขียนเป็นหรือ?”

คำพูดของกู้จือเหวินและกู้ซินเถาดูเหมือนจะเตือนทุกคน ทันทีที่ทุกคนได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานไม่รู้หนังสือ นางจะเข้าใจปริศนาและทายคำตอบได้อย่างไร?

ทุกคนมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างฉงนสงสัย จากนั้นจึงมองไปที่จ้าวเซิงและกู้จือเหวินที่มีสีหน้าขุ่นเคือง ทุกคนต่างงงงวย

จ้าวเซิงมองดูทุกคนที่มีสีหน้าสงสัย เขายิ้มและยืนขึ้นเพื่อกล่าวกับทุกคนว่า “ทุกคน ขออภัย ข้าไม่ใช่คนท้องถิ่น วันนี้ข้านำสมบัติล้ำค่ามาเพื่อให้ทุกคนทายปริศนาทั้งสองข้อนี้ได้ นี่คือปริศนาที่ถูกจัดแสดงในสถานที่ต่าง ๆ เป็นเวลาห้าปีแล้ว แต่ไม่มีใครเคยตอบได้เลย นายท่านและภรรยาของเขาก็รู้สึกกังวลใจ ในปีนี้พวกเขาจึงส่งข้ามาที่เมืองหลิวเจียเพื่อไขปริศนาสองข้อนี้ ข้าเชื่อว่าเมื่อทุกคนได้ฟังสิ่งที่ข้าพูดก็คงจะรู้แล้ว ข้ากับแม่นางผู้นี้ไม่เคยพบกันมาก่อน หากแม่นางผู้นี้โกงขึ้นมาจริง ๆ จ้าวผู้นี้ก็รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมลยสักนิด”

ปรากฏว่าจ้าวเซิงผู้นี้ไม่ใช่คนที่อาศัยอยู่ในเมืองหลิวเจีย สวีเฉิงเจ๋อขมวดคิ้ว ชายผู้นี้ดูสง่างาม แม้ว่าเขาจะบอกว่าเป็นพ่อบ้าน แต่เสื้อผ้าของเขาหรูหราและงดงามมาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ใช่พ่อบ้านของคนธรรมดา

ฉินเย่จือจ้องมองตั้งแต่ครั้งแรกที่จ้าวเซิงเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขารู้สึกจากคนผู้นี้ว่าทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขาไม่ต่ำต้อยเลย

ทุกคนยังพูดกันอีกด้วยว่าไม่เคยเห็นจ้าวเซิงมาก่อน และไม่เคยเห็นเขามาจัดการทายปริศนาเหล่านี้ ปรากฏว่าปีนี้เป็นครั้งแรกที่เขามาที่เมืองหลิวเจีย หลังจากได้ยินสิ่งที่เขากล่าว ทุกคนก็เชื่อว่ากู้เสี่ยวหวานไม่ได้โกง แต่จะอธิบายคำพูดของ กู้จือเหวินได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้ไม่รู้หนังสือ นางจะอ่านหรือทายปริศนาได้อย่างไร?

เมื่อเห็นความสงสัยของทุกคน กู้เสี่ยวหวานก็เม้มปากเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “ทุกคน ข้าไม่เคยไปสำนักศึกษาจริง ๆ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะอ่านหนังสือไม่ได้ ท่านพ่อของข้าที่ตายไปแล้วเคยเรียนหนังสือมาบ้าง ท่านพ่อรู้คำไหนก็เอามาสอนข้า ปีที่แล้วน้องชายของข้าไปเรียนที่สำนักศึกษา และเมื่อกลับมาบ้านเขาก็จะสอนสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ให้แก่ข้า ดังนั้นที่นายน้อยผู้นี้บอกว่าข้าไม่รู้หนังสือจึงเป็นเรื่องโกหก ทุกคนอย่าไปเชื่อเขา” กู้เสี่ยวหวานตอบโต้อย่างไร้ความปรานี

แต่กู้จือเหวินไม่เชื่อ “พูดอย่างเดียวไม่เพียงพอหรอก เจ้าลองเขียนมาสักสองสามคำ แล้วข้าจะดูว่าเจ้ารู้หนังสือจริง ๆ หรือเปล่า!”

ทุกคนก็พยักหน้าเช่นกัน

นี่เป็นการทดสอบข้อเขียน แต่ตอนนี้กลายเป็นการต่อสู้ไปเสียแล้ว กู้เสี่ยวหวานมองกู้จือเหวินอย่างเย็นชา เมื่อกู้จือเหวินเห็นว่าความคิดเห็นของสาธารณชนเข้าข้างเขา ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาพึงพอใจแค่ไหน

เมื่อมองไปที่กู้เสี่ยวหวานอย่างมีชัย กู้เสี่ยวหวานก็ยิ้มออกมาราวกับว่านางไม่กังวลในคำพูดของเขาเลยสักนิด

เมื่อจ้าวเซิงเห็นว่าทุกคนมีอารมณ์ร่วมสูงมาก เขาก็หมดหนทาง ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงมองดูกู้เสี่ยวหวานและมองด้วยความสงสัย “แม่นางว่าควรทำอย่างไรดี?”

จ้าวเซิงก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน เดิมทีเขาต้องการคนมาทายปริศนานี้เท่านั้น สำหรับเขา ใครก็ตามที่ทายปริศนาได้ก็เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานถูกสาดด้วยน้ำสกปรก จ้าวเซิงก็มีความรู้สึกอยากจะ ‘ปกป้อง’

เมื่อเผชิญหน้ากับการจ้องมองอย่างปลอบโยนของจ้าวเซิง กู้เสี่ยวหวานหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “กู้จือเหวิน ถ้าข้าเขียนออกมาได้จริง ๆ ล่ะ?” กู้จือเหวินผู้นี้จะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะหมดหนทาง เมื่อเห็นท่าทางของเขาตอนนี้ นางก็อยากจะลบล้างสิ่งที่เขาพูดเสียจริง

“ถ้าเช่นนั้น ข้าจะขอโทษเจ้าและบอกว่าข้าไม่เก่งเท่าเจ้า!” กู้จือเหวินคิดว่าคราวนี้เขาแตะจุดตายของกู้เสี่ยวหวาน แล้วกล่าวอย่างมีชัย

กู้เสี่ยวหวานไม่เชื่อเขาอีกต่อไปและกล่าวประชดประชันว่า “เมื่อครู่มีคนพูดว่าถ้าข้าชนะ เจ้าจะขอโทษและบอกว่าเจ้าไม่เก่งเท่าข้า ทำไมในครั้งนี้เจ้าถึงเพิ่มเงื่อนไขเพิ่มเติม แต่ผลลัพธ์ก็ยังเหมือนเดิมล่ะ?”

จ้าวเซิงยิ้มในใจ แม่นางผู้นี้ช่างแข็งแกร่ง! เมื่อเห็นท่าทางที่มั่นใจของนาง ดูเหมือนว่านางคงมีแผนของตัวเอง

กู้เสี่ยวหวานกล่าวอย่างเย็นชา “มันง่ายมาก ถ้าข้าเขียนได้ เจ้าต้องขอโทษข้าและพูดต่อหน้าทุกคนว่าเจ้าไม่เก่งเท่าข้า หลังจากนั้นเจ้าก็เห่าออกมาสามครั้ง!”

กู้จือเหวินผู้นี้เป็นคนกลับกลอก การให้เขาเห่าออกมาเหมือนสุนัขก็เกรงว่ามันจะเป็นการดูถูกสุนัข

ทันทีที่กู้จือเหวินได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและด่าออกมา “กู้เสี่ยวหวาน เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าด่าข้าว่าเป็นสุนัขอย่างนั้นหรือ?”

“ใครกันแน่ที่ควรด่า!” กู้เสี่ยวหวานไม่ได้แสดงความอ่อนแอเลย และไม่แสดงอาการขี้ขลาดใด ๆ

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า … ” เสียงหัวเราะจากฝูงชนดังขึ้น