ตอนที่ 402

My Disciples Are All Villains

ผู้ฝึกยุทธที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ต่างก็จ้องมองไปที่ราชาหมาป่า

มีใครบางคนได้พูดสาปแช่งออกมา “พวกชนเผ่าอื่นเป็นพวกที่ชอบฉวยโอกาสซะจริง เจ้าพวกนั้นช่างน่ารังเกียจเกินกว่าที่จะให้อภัยได้ แม้ว่าสำนักอเวจีจะเป็นสำนักฝ่ายอธรรมก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็ยังรู้ว่าการต่อต้านกับชนเผ่าอื่นเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่องค์ชายสี่หลิวปิงกับสมรู้ร่วมคิดกับชนเผ่าอื่นแบบนี้ซะได้”

“ทำไมพวกเขาถึงไม่เปิดใช้งานพลังจากเขตแดนกันล่ะ?”

“พวกสำนักอเวจีทำแบบนั้นไม่ได้หรอก ที่พวกเขาสามารถยึดครองเมืองได้อย่างง่ายดายเป็นเพราะว่าพวกเขาทำให้ม่านพลังไม่อาจทำงานได้…ถ้าหากหกแม่ทัพใหญ่และองค์ชายสี่อยู่ที่นี่ สำนักอเวจีจะต้องตกอยู่ในที่นั่งลำบากแน่”

ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายยังคงสนทนากันต่อไป ผู้ที่มีพลังวรยุทธที่แข็งแกร่งมากที่สุดมีเพียงผู้ที่มีพลังขั้นมหาราชครูเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถที่จะช่วยอะไรได้เลย อย่างมากที่สุดสิ่งที่ผู้ฝึกยุทธเหล่านี้จะทำได้มีเพียงการเก็บกวาดปลาซิวปลาสร้อยที่หลงเหลืออยู่ในตอนที่ใกล้จะสิ้นสุดสงคราม

หยางเยียนยังคงลอยอยู่ที่กลางอากาศ ตัวเขาได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะมองไปยังยอดฝีมือที่มาจากรั่วหลี่ที่อยู่ตรงหน้า

ในตอนนี้ยู่ฮงไม่ได้พร้อมสู้เหมือนกับในตอนแรก หลังจากเสียงระเบิดได้ดังออกมายู่ฮงก็กระเด็นลอยชนเข้ากับกำแพงเมืองไป

กำแพงเมืองเริ่มได้รับความเสียหาย แต่เพราะว่ามันเป็นกำแพงที่หนาจนเกินไปทำให้กำแพงเมืองจึงยังตั้งตระหง่านอยู่ได้

ยู่ฮงได้ล้มลงไปกับพื้น ตัวเขาพยายามพยุงตัวเองขึ้นมาด้วยมือข้างเดียวก่อนที่จะกระอักเลือดออกมา

ในตอนนี้สำนักอเวจีพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ คู่ต่อสู้ของพวกเขาเก่งกาจจนเกินไป ในตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีพลังการสู้รบที่ทัดเทียมกัน

หยางเยียนได้พูดส่งเสียงดังออกมา “ฮ่าลั่ว ผู้คนในรั่วหลี่ยอมอยู่ใต้ดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ของพวกข้ามาโดยตลอด เจ้าคิดที่จะก่อกบฏอย่างงั้นสินะ?” เสียงของหยางเยียนได้ดังไปก้องไปทั่วทั้งกำแพงเมือง

ฮาลั่ว ยอดฝีมือแห่งรั่วหลี่กำลังบินอยู่บนกลางอากาศจากในระยะไกล เมื่อได้ฟังแบบนั้นตัวเขาก็ได้กอดอกก่อนที่จะพูดจาอย่างเหยียดหยามออกมา “เวลาเปลี่ยนทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไป…ข้าไม่คิดฟังข้ออ้างของพวกเจ้าหรอก”

“เจ้าคิดว่าดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่จะอ่อนแอลงแล้วจริงๆ อย่างงั้นหรอ?” หยางเยียนได้ถามออกมา ถ้าหากดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่อ่อนแอขึ้นมาจริงๆ สำนักอเวจีของตัวเขาก็คงจะยึดดินแดนแห่งนี้ได้ไปนานแล้ว สำนักอเวจีไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องรอให้ชนเผ่าอื่นๆ บุกรุกมาได้ถึงขนาดนี้

“…หลิวปิงได้สัญญากับพวกเราแล้วว่าจะมอบเมืองในมณฑลเหลียง 3 ใน 10 เมืองให้ถ้าหากพวกเราช่วยโค่นสำนักอเวจีได้” ฮาลั่วได้ตอบกลับมา ในอีกความหมายหนึ่งถ้าหากสำนักอเวจียอมให้ข้อเสนอที่ดีกว่า พวกเขาก็ยอมที่จะเปลี่ยนฝ่ายได้ในทันที ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามิตรแท้หรือศัตรูที่ถาวรอยู่ในโลกใบนี้ สิ่งที่สำคัญที่สุดมีเพียงผลประโยชน์เท่านั้น คำพูดของฮาลั่วมีเหตุผลทุกอย่าง ถ้าหากสำนักอเวจียอมมอบเมือง 4 เมืองขึ้นไปหรือมากกว่านั้น ชนเผ่าอื่นก็จะหันมาต่อต้านกับหลิวปิงโดยที่ไม่ลังเลแทน

เมื่อได้ยินเช่นนั้นลู่โจวก็ตื่นตกใจไปเล็กน้อย หลิวปิงได้ใช้เวลาอยู่ที่เขตพรมแดนมากว่าหลายปี ทำไมตัวเขาถึงหันไปใช้วิธีที่น่าอับอายเช่นนั้นกัน? ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่พรมแดนเป็นผู้ที่รู้ซึ้งดีว่าการที่จะรักษาเขตแดนแต่ละเขตแดนได้มันเป็นเรื่องยากมาแค่ไหน ทุกๆ ส่วนของดินแดนหยานอันยิ่งใหญ่ล้วนแต่ต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อของเหล่านักรบผู้กล้าหาญ แล้วทำไมหลิวปิงถึงได้ให้ดินแดนกับชนเผ่าอื่นไปอย่างง่ายดายเช่นนี้

“น่าเสียดายสำนักอเวจีของพวกเรามีศักดิ์ศรีมากพอ!” เสียงของหยางเยียนเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“หยางเยียน พวกเราต่อสู้กันมาเป็นเวลากว่าสามวันสามคืนตั้งแต่ที่ราบทางตะวันตกตลอดจนไปถึงเมืองของมณฑลเหลียง เจ้าน่ะเป็นคนที่มีฝีมือ ถ้าหากเจ้าอ่านสถานการณ์ออกเจ้าก็จะรู้ว่าอะไรถูกอะไรควร ยอมจำนนแต่โดยดีและเชื่อฟังข้าซะ” เสียงของฮาลั่วได้ตอบกลับมา

ผู้ฝึกยุทธจากลั่วหลานจำนวนหนึ่งได้ลอยขึ้นไปบนอากาศก่อนที่จะรวมตัวกัน พวกเขาทั้งหมดต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธ ไม่มีคนธรรมดาที่อยู่ในทัพของชาวลั่วหลานเลย เมื่อมองอย่างคร่าวๆ ทางชนเผ่าอื่นมีกองกำลังมากกว่า 2,000 คน

ในทางกลับกันฝั่งสำนักอเวจีมีเพียงผู้ฝึกยุทธกว่า 1,000 คนเท่านั้น ถ้าหากจะดูกันที่ตัวเลข คนจากรั่วหลี่และลั่วหลานมีจำนวนมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด

ตู๊ม!

เสียงของพลังอวตารที่กำลังเข้าปะทะกันได้ดังขึ้นมาจากท้องฟ้าทางด้านทิศตะวันออก

ผู้ฝึกยุทธทุกคนที่ได้ยินเสียงต่างก็หันไปมอง แต่ถึงแบบนั้นมันก็ไกลเกินกว่าจะเห็นได้ ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายมองเห็นเพียงแสงสีทองเพียงแค่ชั่วครู่หนึ่งเท่านั้น

“หรือว่านี่จะเป็นเพียงการจับเต่าใส่ขวดโหลกัน?” เฉินเหลียงชูที่เห็นแบบนั้นรู้สึกสงสัย “หรือว่ามันอาจจะเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจกัน?”

“เจ้าหมายความว่าอะไรกัน?” หยวนเอ๋อไม่เข้าใจคำพูดของเฉินเหลียงชู

“สีวู่หยาไม่ใช่คนโง่ มีความเป็นไปได้ที่เขาจะใช้หยางเยียนเป็นเหยื่อล่อ เมื่อถึงเวลาสำนักอเวจีก็จะล่าถอยกลับไปอย่างเต็มกำลัง ในตอนนั้นเหล่าหมาป่าก็จะไม่สามารถออกจากเมืองไปได้ง่ายๆ ถ้าหากพวกเขาเข้ามาที่เมืองแห่งนี้” เฉินเหลียงชูได้พูดอธิบายออกมา

ลู่โจวมองไปที่เฉินเหลียงชูก่อนที่จะวิเคราะห์สิ่งที่ตัวเขาเพิ่งจะพูดออกมา ความคิดของเฉินเหลียงชูดูสมเหตุสมผล ตัวเขาได้คว้ามือของหยวนเอ๋อเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมา “งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ” มันคงจะดีกว่าถ้าหากเลือกที่จะอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่านี้

ชนเผ่าอื่นยังคงเปิดฉากการโจมตีอีกระลอก ชนเผ่าอื่นบางคนเริ่มที่จะบุกมายังกำแพงเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในตอนนั้นเองหยางเยียนก็ได้สั่งการออกมาอย่างเด็ดขาด “ถอยซะ!”

ลู่โจว, หยวนเอ๋อ และเฉินเหลียงชูต่างก็กระโดดออกมาจากกำแพงเมือง พวกเขาทั้งสามได้บินไปยังใจกลางเมืองที่ไม่ได้มีทัศนวิสัยกว้างไกลเหมือนกับแต่ก่อน

ในตอนนี้ทุกอย่างเต็มไปด้วยความวุ่นวายเกินไป มีผู้ฝึกยุทธทั่วจากทุกหนทุกแห่ง

“ท่านอาจารย์ แล้วคนธรรมดาทั่วไปล่ะ?” หยวนเอ๋อได้ถามออกมา

เฉินเหลียงชูส่ายหัวก่อนที่จะเป็นผู้ตอบคำถามซะเอง “ไม่จำเป็นจะต้องห่วงไป ในคืนแรกที่สำนักอเวจีโจมตีเมือง…พลเมืองส่วนใหญ่ก็อพยพไปกันหมดแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคก่อนช่วงเวลาประวัติศาสตร์ เพราะแบบนั้นการอพยพจึงเสร็จสิ้นอย่างรวดเร็ว”

“ไม่แปลกใจเลยจริงๆ ที่พวกเราไม่เห็นผู้คนธรรมดาอยู่เลยในตอนที่มาถึง” หยวนเอ๋อได้คลี่คลายความสงสัยที่มีไปได้

พวกเขาทั้งสามได้บินอยู่เคียงข้างกันก่อนที่จะสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นภายในเมือง

แม้ว่าชาวเมืองส่วนใหญ่จะอพยพไปแล้วก็ตาม แต่ถึงแบบนั้นก็ยังมีผู้ฝึกยุทธจำนวนมากและชาวเมืองทั่วไปอยู่ภายในเมืองอยู่ดี ผู้คนที่เหลืออยู่อาศัยโอกาสในการฉกฉวยสิ่งมีค่า เฉินเหลียงชูเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะกี่ยุคกี่สมัยก็ยังมีคนที่เห็นแก่ตัวเองพวกนี้ที่ไม่คำนึงถึงผู้อื่น

“มองไปทางทิศตะวันออกซะสิ” เฉินเหลียงชูได้ชี้ไปทางทิศตะวันออก

ผู้ฝึกยุทธที่สังเกตการณ์การต่อสู้อยู่บนกิ่งไม้เองก็ตกตะลึงเมื่อได้หันไปทางทิศตะวันออก

ทางทิศตะวันออกมีพลังอวตารสูง 70-80 ฟุต 2 ร่างกำลังบินเคียงค้างกันอยู่ ที่ด้านหลังของอวตารทั้ง 2 มีอวตารจำนวนหนึ่งตามมาติดๆ

“สุดยอดผู้พิทักษ์ที่เหลือกับรถม้าลอยฟ้า!”

“นี่มันแย่แน่! สำนักอเวจีกำลังคิดถอยกลับไป!” ผู้ฝึกยุทธกลุ่มนั้นได้กระโดดออกจากกิ่งไม้ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออก

ลู่โจวตัดสินใจที่จะหยุดอยู่ที่พื้นก่อนที่จะจ้องมองสุดยอดผู้พิทักษ์ 3 คนบินผ่านไป ในไม่ช้าพวกเขาทั้งหมดก็มารวมตัวกันกับหยางเยียนก่อนที่ทุกคนจะหายตัวไป

ลู่โจวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้เห็นดังนั้น ‘ตามที่คาดไว้ ศิษย์ทรยศนั่นกำลังล่อให้ศัตรูเข้ามาที่ด้านในเมือง’

เมื่อเหล่าผู้ฝึกยุทธจากสำนักอเวจีกว่า 1,000 คนเลือกที่จะถอย ในตอนนั้นเองแผนการที่พวกเขาได้วางเอาไว้ก็ดูเหมือนจะชัดเจนมากยิ่งขึ้น

เมื่อสาวกของสำนักอเวจีมองกลับมา พวกเขาก็เห็นชาวรั่วหลี่และลั่วหลานได้เข้ามาสู่เมืองเรียบร้อยแล้ว ชนเผ่าอื่นได้บินเข้ามาในเมืองอย่างช้าๆ มันเป็นกำลังคนที่มีประมาณกว่า 2,000 คน ที่ทุกคนบินอย่างช้าๆ เป็นเพราะว่าทุกคนกำลังระวังกับดักที่มีอยู่ภายในเมือง มีเหล่าผู้ฝึกฝนเวทมนตร์คาถาบินอยู่ที่แนวหน้า พวกเขาได้ปล่อยวงแหวนพลังสีม่วงออกมาในขณะที่พยายามมองหาเขตแดนพลังที่อยู่ภายในเมือง

“ไปกันเถอะ”

ตอนนี้การต่อสู้ได้เปลี่ยนฝ่ายกลายเป็นการต่อสู้ระหว่างหลิวปิงและชนเผ่าอื่น

“เข้าไปในนั้น” ลู่โจวได้ชี้ไปที่อาคารหลังหนึ่ง ทั้งสามได้ขไปหลบในอาคารหลังนั้น ทันทีที่พวกเขาเข้ามา ทั้งสามก็ได้ยินเสียงการต่อสู้อันดุเดือดที่ดังมาจากทางตอนใต้

ในตอนนั้นเองพลังขอบเขตสวรรค์ก็ถูกปลดปล่อยออกมา

“สำนักอเวจีไม่ได้ล่าถอยกลับไปยังทางตอนใต้อย่างงั้นเหรอ? ทำไมถึงมีการต่อสู้เกิดขึ้นได้กัน?” เฉินเหลียงชูเดินไปทางทิศใต้ของอาคารก่อนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่าง ตัวเขาที่มองลอดออกไปเห็นอะไรบางอย่างจนเบิกตากว้าง “นั่นมันกองทัพใหญ่ของดินแดนหยาน?!”

หญิงสาวที่สวมใส่ชุดปักได้เข้าต่อสู้กับสำนักอเวจีอย่างดุเดือด

“พี่สาวจิงยี่?” หยวนเอ๋อจำหญิงสาวคนนั้นได้

“หลี่จิงยี่อย่างงั้นเหรอ?” ลู่โจวเองก็มองออกไปนอกหน้าต่างตามไปเช่นกัน

พลังอวตารของหลี่จิงยี่ที่มีกลีบดอกบัวถึงเจ็ดกลีบทำให้ลู่โจวที่ได้เห็นไม่รู้นึกสงสัยเลยว่ามันคือพลังของหลี่จิงยี่

‘เหวยซู่หยานเอาชนะศึกในมณฑลยี่อย่างงั้นหรอ? แล้วทำไมคนของเขาถึงมาปรากฏตัวที่มณฑลเหลียงได้?’

ลู่โจวจำเจียงอาเฉียนได้ดี ‘หลี่จิงยี่เป็นสหายของเจียงอาเฉียน ดังนั้นนางจึงเป็นศัตรูกับสีวู่หยาด้วยอย่างงั้นสินะ?’

สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

“หลี่จิงยี่ไม่สามารถเอาชนะสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ได้ด้วยลำพังแน่ เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์มีแต่จะต้องส่งยอดฝีมือผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัวแปดกลีบเท่านั้น…ทุกอย่างจบแล้ว…สำนักอเวจีเสร็จแน่!” เฉินเหลียงชูได้พูดออกมา

ชนเผ่าอื่น, หลิวปิงและหลี่จิงยี่ต่างก็กดดันสำนักอเวจีมาจากทั้งสามด้าน

ในทางกลับกันสุดยอดผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ยังคงลอยอยู่ที่กลางอากาศ

เฉินเหลียงชูที่เห็นแบบนั้นใจเต้นแรง สำนักอเวจี สำนักฝ่ายอธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดกำลังจะถูกทุกฝ่ายบดขยี้ในการต่อสู้ครั้งนี้

“ข้าไม่คิดแบบนั้นหรอก” ลู่โจวส่ายหัว

“ท่านไม่คิดแบบนั้นหรอผู้อาวุโส?”

“ถ้าหากยู่เฉิงไห่อยู่ที่นี่…เขาจะต้องเปลี่ยนการต่อสู้ได้แน่” ลู่โจวพูดออกมา

ในตอนนั้นเองดวงตาของเฉินเหลียงชูเบิกกว้าง

ลุ่โจว, หยวนเอ๋อ และเฉินเหลียงชูมองไปที่รถม้าของสำนักอเวจีในเวลาเดียวกัน บนรถม้าคันนั้นจะมียู่เฉิงไห่อยู่ที่บนรถม้าหรือไม่?