นางน้อยจอมพลังของนายพลบ้านนา บทที่ 269 สวีฉางหลินมีคนอื่น?
ความรู้สึกของสวีฉางหลินที่มีต่อนาง นางชัดเจนกว่าใคร ๆ และสัมผัสได้ แม้แต่เมื่อคืนนี้สวีฉางหลินก็ได้กอดนางไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ความสนิทใกล้ชิดเช่นนั้นมิอาจเสแสร้งออกมาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้นางจะกังวลใจทำไมเล่า
เมื่อคิดได้ดังนี้นางจึงโล่งใจมิน้อย
หลังจากทำอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ไปปลุกเจ้าก้อนน้อย ก่อนจะเดินทางออกไปพบว่าโจวคายจือก็ตื่นแล้วเช่นกัน เด็ก ๆ ทั้งหลายทยอยลุกขึ้นทีละคน
ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับหน้าที่ของตนเอง อีกทั้งช่วยให้อาหารหมูและอาหารเป็ด จนกระทั่งหลิวเกาสองพ่อลูกกลับมาแล้วจึงได้ร่วมรับประทานอาหารเช้ากัน เด็ก ๆ ทั้งหลายเดินทางไปเรียนหนังสือ โจวคายจือและโจวกุ้ยหลานดูแลภายในและภายนอกบ้านให้สะอาดสะอ้าน เวลาเที่ยงวันก็มาถึงอีกครั้ง
โจวกุ้ยหลานและโจวคายจือทำอาหารกลางวันการ จนกระทั่งอาหารทำเสร็จนางจึงวิ่งออกไปที่ป่าแล้วตะโกนเรียกสวีฉางหลินอยู่หลายหนแต่มิมีเสียงตอบรับ ในใจของนางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย จึงได้ตะโกนเรียกอีกหน แต่นอกจากเสียงสะท้อนกลับของตนแล้ว มิมีเสียงใดตอบรับอีก
ท้ายที่สุดนางก็มิมีทางเลือกอื่น จึงกลับไปรับประทานอาหารกลางวันพร้อมกับทุกคน และแบ่งอาหารเอาไว้ให้สวีฉางหลิน ไป ๆ มา ๆ เวลากลางคืนก็มาถึง
โจวกุ้ยหลานจึงได้นำอาหารกลางวันที่แบ่งเอาไว้จะเทลงในถังอาหารหมู แต่ถูกโจวคายจือเข้าไปรั้งเอาไว้เสียก่อน
“อาหารดีอยู่แท้ เหตุใดเอาไปให้หมูกินเล่า ช่างสิ้นเปลืองเหลือเกิน!”
“หากมิมีคนกินก็ต้องเอาให้หมูน่ะสิ มิเช่นนั้นคงจะสูญเสียเปล่า” โจวกุ้ยหลานตอบอย่างเฉยเมย แล้วนำอาหารจานนั้นเทใส่ลงไปในถังอาหารหมู หยิบมันขึ้นมาแล้วตรงไปที่เล้าหมู
โจวคายจือมองไปด้วยท่าทางกระวนกระวาย ถอดผ้ากันเปื้อนแล้วผลักประตูลงไปเขา
เมื่อกลับมาถึงบ้านพบว่าเหล่าไท่ไท่กำลังล้างขาอยู่ โจวคายจือจึงได้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้นางฟัง ดวงตาของเหล่าไท่ไท่เบิกกว้างทันที
“เจ้าว่าอย่างไรนะ สวีฉางหลินมีคนอื่นงั้นหรือ?”
“ข้าเองก็มิแน่ใจ แต่นางกลับมาด้วยกัน ข้าเอ่ยถามกุ้ยหลาน ทว่านางมิตอบสิ่งใดข้าเลย เอาแต่โมโหหงุดหงิดอยู่ทั้งวัน”
โจวคายจือนึกถึงท่าทางในวันนี้ของโจวกุ้ยหลานจึงได้รีบรายงานกับเหล่าไท่ไท่
เหล่าไท่ไท่ได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มิธรรมดา
นางหยิบผ้าเช็ดขึ้นมาเช็ดฝ่าเท้าจนแห้งแล้วสวมรองเท้าอีกครั้ง เดินตามโจวคายจือไปทางภูเขา
เมื่อมาถึงประตูเรือนก็พบกับสวีฉางหลินและสตรีอีกนางหนึ่งเดือนตรงกลับมา ที่บ่าของสวีฉางหลินแบกหมูป่าไว้ตัวหนึ่ง สตรีชุดดำนางนั้นก็แบกหมูป่ามาด้วยตัวหนึ่งเช่นกัน
เหล่าไท่ไท่กลอกตาเล็กน้อยแล้วยิ้มทักทายว่า “อ้าว ฉางหลิน ไปล่าหมูป่ากลับมาอีกแล้วหรือ?”
“สวัสดีขอรับท่านแม่”
สวีฉางหลินเอ่ยทักทายตามธรรมชาติ จากนั้นบอกให้เหล่าไท่ไท่ไปรอที่ลานบ้าน
ด้านเหล่าไท่ไท่เองก็มิได้มีพิธีรีตองต่อสวีฉางหลินนัก นางก้าวเข้าไปในบ้าน พบว่าสวีฉางหลินวางหมูป่าไว้ที่บนพื้น สตรีนางนั้นก็ทำตามเขา วางหมูป่าลงไปที่พื้นเช่นกัน
“นี่……พวกเจ้าล่ามาเองงั้นหรือ?” เหล่าไท่ไท่เอ่ยถาม แต่สายตานางจับจ้องไปที่สตรีชุดดำ
โจวคายจือเดินตามเข้ามา เมื่อเห็นหมูป่าทั้งสองตัวนี้ก็ใจเต้นแรง
หมูป่าถึงสองตัว ขายได้เงินมากโขทีเดียว!
“พรุ่งนี้ให้พี่ใหญ่เอาไปขายเถอะ” สวีฉางหลินกล่าวพลางยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก
เหล่าไท่ไท่พยักหน้าตอบรับ แล้วลากเสี่ยวจิ่ว ยิ้มให้ก่อนดึงนางเข้าไปในห้อง
โจวคายจือเองก็เดินตามเหล่าไท่ไท่เข้าไปในห้องเช่นกัน สวีฉางหลินตรงไปที่ห้องครัวมองไปยังเตา พบว่ายังมีอาหารอยู่ในหม้อร้อน ๆ จึงตักมันขึ้นมากิน
“มา ๆ แม่หนู มาสนทนากันก่อน หมู่บ้านของเรามิมีหญิงสาวเช่นนางฟ้าแบบเจ้าเลย ให้ป้าพิจารณาดูเจ้าหน่อย” เหล่าไท่ไท่กล่าวแล้วดึงหญิงชุดดำนั้นเข้าไปในห้องของโจวกุ้ยหลาน เดิมทีโจวกุ้ยหลานอาบน้ำนอนอยู่บนเตียงแล้ว เมื่อเห็นผู้คนตรงเข้ามาในห้อง นางจึงได้รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วจุดตะเกียงน้ำมัน
สตรีชุดดำขึ้นไปนั่งบนเตียง เหล่าไท่ไท่นั่งอยู่ข้างหน้า มองไปยังใบหน้าแล้วเอ่ยชื่นชมในใจ
แม่นางคนนี้หน้าตาดียิ่งนัก มิแย่ไปกว่ากุ้ยหลานของนางเลย รูปร่างสูงใหญ่ผอมเพรียว มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มิธรรมดา……
“แม่หนูมาจากที่ใดกันเล่า เหตุใดเจ้าจึงล่าสัตว์เป็น?” เหล่าไท่ไท่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยวจิ่วนั่งเงียบมิได้ตอบสิ่งใด
แต่เหล่าไท่ไท่ก็มิยอมแพ้ง่าย ๆ นางเอ่ยถามคำถามอีกมากมาย แต่เสี่ยวจิ่วกลับมิตอบนางแม้แต่คำเดียว ทำให้เหล่าไท่ไท่อึดอัดใจยิ่งนัก
สวีฉางหลินที่อยู่ด้านนอกมาทั้งวัน บัดนี้ก็มิได้สนทนากับโจวกุ้ยหลานอะไรมากความ หลังจากที่เขารับประทานมื้อค่ำซึ่งทางบ้านแบ่งเอาไว้ให้แล้ว ก็เดินหยิบจอบไปยังห้องทางตะวันตก
โจวกุ้ยหลานจัดการกับธุระในมือนางเสร็จเรียบร้อยแล้ว หันไปมองเห็นเขากำลังเดินไปทางห้องที่ตะวันตก
นางวางของในมือลงแล้วตามไป
“เจ้าทำอะไรกัน?”
“ขุดห้องใต้ดิน” สวีฉางหลินตอบกลับ
เปลือกตาของโจวกุ้ยหลานกระตุกเบา ๆ นางกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา ก็พบว่าสวีฉางหลินเดินถือจอบตรงไปเริ่มขุดแล้ว
ที่แท้เขายังจำได้ถึงเรื่องขุดห้องใต้ดินที่เคยเอ่ยไว้กับนาง……เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในใจของนางก็อ่อนลงเล็กน้อย และคิดว่าสองวันมานี้นางสงสัยเขาอย่างไร้เหตุผล
แต่นางก็มิใช่คนประเภทที่จะยอมให้ตนเองรู้สึกแย่ นางเอ่ยถามออกไปตามตรงว่า “เจ้ารู้จักกับเสี่ยวจิ่วมาก่อนหน้าหรือ?”
การกระทำของสวีฉางหลินชะงักลงเล็กน้อยแล้วเงยหน้ามองดูโจวกุ้ยหลาน
“รู้จัก” เมื่อกล่าวจบเกรงว่าโจวกุ้ยหลานจะให้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เขาจึงกล่าวต่อไปว่า “นางมิใช่คนเลว”
นี่เป็นคำตอบที่เขาให้กับภรรยาเป็นการปลอบใจได้ดีที่สุดแล้ว
สิ่งที่นางกังวลมิใช่ว่าเสี่ยวจิ่วจะเป็นคนเลว
โจวกุ้ยหลานเม้มริมฝีปากและมิได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก เมื่อเห็นว่าสวีฉางหลินกำลังยุ่ง นางจึงถือตะกร้าออกไปหวังจะช่วย
สวีฉางหลินเกรงว่านางจะเหนื่อย จึงสั่งให้นางไว้พักผ่อน
ท้ายที่สุดแล้วนางก็เถียงสู้สวีฉางหลินมิได้ โจวกุ้ยหลานเดินออกมาจากห้องทางตะวันตก พบกับโจวคายจือที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ตรงปากประตูและมองมา
“พี่ใหญ่ น้ำร้อนแล้ว ไปอาบน้ำให้เด็ก ๆ และพาเข้านอนเถอะ” โจวกุ้ยหลานหันไปเอ่ยกับอีกฝ่าย ส่วนตนเดินกลับไปที่ห้องเอง
เมื่อตรงเข้าไปในห้องก็พบเหล่าไท่ไท่กำลังลุกขึ้นจากเตียง ลากมือนางเข้าไปในห้องกล่าวเบา ๆ ว่า “เสี่ยวจิ่วคนนี้มิธรรมดา เจ้าอย่าได้สับสนไป”
“เอ่ยถามสิ่งใดได้บ้าง?” โจวกุ้ยหลานถาม
เหล่าไท่ไท่ตอบ “มิอาจถามสิ่งใดได้เลย”
เมื่อกล่าวจบ ก็พบว่าโจวกุ้ยหลานเหล่มองนาง จึงได้ตะโกนกลับไปเล็กน้อยด้วยความโมโหว่า “เนื่องจากมิอาจเอ่ยถามสิ่งใดได้จึงน่ากลัว แม่นางคนนี้มิรู้ว่ามาจากที่ใด เจ้าอย่าได้วางใจง่าย ๆ ข้าเกรงว่าสวีฉางหลินจะถูกนางแย่งไป”
“เอาล่ะแม่ วันนี้ก็ใกล้มืดแล้ว รีบกลับบ้านเถิด อีกประเดี๋ยวพี่ชายและพี่สะใภ้กลับมาหาแม่มิเจอจะเดือดร้อน”
โจวกุ้ยหลานกล่าวจบก็ผลักเหล่าไท่ไท่ออกไปด้านนอก
“เจ้าลูกคนนี้ เหตุใดยังมิจับตามองดูสวีฉางหลินอีก ข้าจะบอกเจ้าให้ พี่สาวคนโตของเจ้านั้นหย่ากับสามีแล้ว หากว่าชีวิตเจ้าก็ย่ำแย่อีก ผู้เป็นแม่เช่นข้าจะทำอย่างไร ข้าคงมิเอาเจ้าแน่!”
เหล่าไท่ไท่เดิมทีต้องการจะเกลี้ยกล่อมโจวกุ้ยหลาน แต่โจวกุ้ยหลานรีบดึงนางออกไปข้างนอก
เมื่อส่งเหล่าไท่ไท่ลงภูเขาไปแล้ว กลับมาจึงพบว่าเจ้าก้อนน้อยอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย กำลังฟังเสี่ยวจิ่ว พูดอะไรบางอย่างอยู่ เจ้าก้อนน้อยจ้องมาที่โจวกุ้ยหลานด้วยดวงตาอันเบิกกว้าง แววตานั้นช่างอยากรู้อยากเห็นนัก