ตอนที่ 380 หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

สตรีแกร่งตระกูลไป๋

ตอนที่ 380 หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ

คนอื่นยังไม่เท่าใด ทว่า บุตรชาย หลานชายและน้องชายของเขาทำตัวเหิมเกริมมาหลายปี หากลงโทษตามกฎของตระกูลขึ้นมาจริงๆ พวกเขาคงถูกโบยจนขาดใจตายแน่!

เมื่อเห็นประมุขไป๋ลังเล ไป๋ชิงเหยียนหันไปกล่าวเติมไฟ

“เสี่ยวซื่อ เตรียมไม้ แส้ ให้พร้อม!”

ประมุขไป๋ถูกไป๋ชิงเหยียนเร่งรัดจนใจกระตุกวูบ เขาหลับตาลงบังคับให้ตัวเองตัดใจ

“คนที่ทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ไม่เหมาะสมเป็นลูกหลานของตระกูล ขับไล่พวกเขาออกจากตระกูลแล้วมอบตัวให้นายอำเภอโจวลงโทษดีหรือไม่ขอรับจวิ้นจู่” ประมุขไป๋ถามอย่างหยั่งเชิง

ขอแค่ไม่โดนลงโทษตามกฎของตระกูล ขอแค่คนยังมีชีวิตอยู่ เมื่อไป๋ชิงเหยียนจากไป เขาค่อยคิดหาวิธียัดเงินแลกกับความปลอดภัยของบุตรชายและหลานชาย หากมีวิธีอื่นอีก เขาย่อมช่วยปกป้องครอบครัวของน้องชายด้วยเช่นกัน

“ท่านพ่อ!” ไป๋ฉีอวิ๋นคุกเข่าให้บิดาของตัวเอง

“ท่านพ่อ ข้าเป็นลูกของท่าน เป็นประมุขของตระกูลคนต่อไปนะขอรับ ท่านพ่อจะไล่ข้าออกจากตระกูลไม่ได้นะขอรับ!”

“ท่านพี่ ท่านเป็นบ้าไปแล้วหรือขอรับ” ผู้เฒ่าห้าเบิกตาโพลงอย่างตกใจ

“ข้าเป็นน้องชายแท้ๆ ของท่านนะขอรับ!”

“ไม่ได้นะท่านประมุข ท่านจะขับไล่พวกเราออกจากตระกูลไม่ได้นะขอรับ!”

คนในตระกูลกว่าครึ่งคุกเข่าร้องไห้อ้อนวอน ทว่า ประมุขไป๋กลับไม่เปลี่ยนใจ

“ตอนที่พวกเจ้าทำเรื่องเลวร้ายเหล่านั้น เคยคิดถึงวันนี้บ้างหรือไม่”

ไป๋ชิงผิงยืนมองบรรดาคนในตระกูลที่กำลังคุกเข่าอ้อนวอนอยู่ที่พื้นด้วยสายตาเย็นชา เงยหน้ามองไปทางไป๋ฉีเหอผู้เป็นบิดาที่ส่ายหน้าให้เขาน้อยๆ อย่างไม่เป็นที่ผิดสังเกต

ผลลัพธ์ของตระกูลบรรพบุรุษในตอนนี้ ท่านพ่อของเขาเคยกล่าวเตือนไปแล้ว ทว่า ทุกครั้งที่ท่านพ่อเอ่ยเตือน มักถูกท่านปู่ทำโทษทุกครั้ง ต่อมาท่านพ่อจึงไม่กล่าวเตือนอีก ได้แต่หมกตัวอ่านตำราโบราณอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมของตน

ภายในหอบรรพชนของตระกูลไป๋เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้อ้อนวอนของคนในตระกูล ชาวบ้านจากด้านนอกมองเห็นเหตุการณ์ด้านในผ่านประตูหกบานที่เปิดกว้างของหอบรรพชน ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นเต้นยินดี

ประมุขไป๋มองบุตรชายที่สีหน้าเต็มไปด้วยความวิงวอน เขาตัดใจสะบัดมือของบุตรชายที่เกาะอยู่ที่ชายชุดของตัวเองออก เอ่ยอย่างยุติธรรม

“ข้าเป็นประมุขของตระกูล ก่อนหน้านี้ข้าไม่รู้เรื่องยังไม่เท่าใด บัดนี้ข้ารู้เรื่องแล้ว ย่อมไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าอาศัยบารมีของตระกูลไป๋ข่มเหงรังแกชาวบ้านจนเสื่อมเสียชื่อเสียงของตระกูลอีกต่อไป!”

เมื่อคนในตระกูลเห็นว่าประมุขไป๋ยอมสละทิ้งแม้แต่บุตรชายของตัวเอง ต่างพากันตกตะลึง

“ไม่ต้องขอร้องแล้ว! ประมุขต้องการประจบเอาใจเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ คงไม่สนใจหรอกว่าพวกเราจะเป็นจะตายอย่างไร เขาทอดทิ้งแม้กระทั่งบุตรชายและน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง จะสนใจพวกเราได้อย่างไรกัน!”

ท่ามกลางคนในตระกูลที่คุกเข่าร้องไห้อ้อนวอน ไม่รู้ผู้ใดกล่าวประโยคนี้ออกมา

คนในตระกูลบรรพบุรุษที่กำลังจะโดนขับไล่ออกจากตระกูลเต็มไปด้วยความโกรธแค้น บัดนี้เขาหาที่ระบายออกมาได้แล้ว ผู้เฒ่าห้ายิ่งรู้สึกเกลียดชังพี่ชายของตัวเองเป็นอย่างมาก เขาเป็นน้องชายแท้ๆ ที่เกิดจากมารดาคนเดียวกันกับประมุขไป๋ แต่พี่ชายเขากลับจะไล่เขาออกจากตระกูลโดยไม่สนใจใยดีเช่นนี้เชียวหรือ

ผู้เฒ่าห้าถูกบุตรชายประคองให้ลุกขึ้น เขาจ้องไปทางประมุขไป๋ด้วยด้วงตาแดงฉาน ตวาดลั่น

“ตอนแรกพวกเราก็ปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับฉีซาน ทว่า ท่านพี่บอกว่าพวกเราทำผิดไม่ใช่หรือ ท่านปล่อยให้พวกเราทำตามอำเภอใจ แต่บัดนี้กลับจะไล่พวกเราออกจากตระกูลอย่างนั้นหรือ! ท่านช่างเป็นประมุขที่ดี เป็นพี่ชายที่ดีเสียจริง!”

ดวงตานิ่งขรึมของประมุขไป๋จ้องไปยังน้องชายผู้ไม่รู้ความเขม็ง เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะผู้เฒ่าห้าเข้ายึดครองจวนบรรพบุรุษแท้ๆ หากไม่ทำเช่นนั้น ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะเกิดเรื่องขึ้นมากมายเช่นนี้หรือ

ที่สำคัญหากใช้กฎของตระกูลลงโทษผู้เฒ่าห้าจากความผิดทั้งหมดที่เขาทำลงไป เขาคงไม่มีชีวิตรอดเป็นแน่

ทว่า ในฐานะประมุขไป๋ เขาไม่อาจกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาอย่างโจ่งแจ้งได้ ทว่า บรรดาคนโง่เหล่านี้กลับไม่ใช้สมองคิดทบทวนเลยว่าหากถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูลขึ้นมาจริงๆ พวกเขาจะมีชีวิตรอดหรือไม่ ช่างเป็นพวกไม่สำนึกบุญคุณแล้วยังมีหน้ามากล่าวหาเขาอีก!

“ในเมื่อประมุขไป๋ตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นก็รีบจัดการเถิด!”

ไป๋ฉีอวิ๋นคุกเข่าถลาเข้าไปด้านหน้าเตรียมอ้อนวอนต่อ ทว่า ไป๋ชิงเหยียนกลับเอ่ยขัดขึ้นก่อน

“ให้คนขวางพวกเขาเอาไว้ รบกวนเฉวียนอวี๋กงกงจัดหาคนช่วยนายอำเภอโจวจับกุมตัวคนที่ถูกประมุขไป๋ลบชื่อออกจากตระกูลไปขังคุก รอนายอำเภอโจวตัดสินโทษด้วยเถิด”

เฉวียนอวี๋พยักหน้า

นายอำเภอโจวรีบกล่าว “จวิ้นจู่วางใจได้ขอรับ ข้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรมที่สุดขอรับ”

ประมุขไป๋ยกพู่กันขึ้น จากนั้นลบชื่อคนเหล่านั้นออกจากตระกูลไป๋ท่ามกลางเสียงร้องไห้อ้อนวอนของบุตรชาย ประมุขไป๋ลบชื่อทิ้งคนหนึ่ง องครักษ์ของจวนรัชทายาทก็เข้าไปจับกุมตัวส่งไปที่จวนว่าการทีละคน ผู้ใดไม่ได้อยู่ที่หอบรรพชน องครักษ์พาคนไปจับกุมตัวถึงจวน

ไม่นาน ลานหญ้าของหอบรรพชนที่ตอนแรกอัดแน่นไปด้วยผู้คน บัดนี้บางตาลงมาก

มีเพียงผู้อาวุโสสี่คนพร้อมทั้งลูกหลานของเขายืดหลังตรงอยู่กลางลานหญ้า คงเป็นเพราะไม่ได้ทำสิ่งใดผิด พวกเขาจึงไม่รู้สึกหวาดกลัว กระทั่งแอบรู้สึกสะใจและโชคดีอยู่ลึกๆ โชคดีที่พวกเขาไม่ได้ปล่อยให้ทายาทของตัวเองข่มเหงรังแกชาวบ้าน

ไป๋ชิงผิงกวาดสายตามองไปยังตระกูลบรรพบุรุษไป๋ที่เหลืออยู่ไม่ถึงครึ่งกลางลานหญ้า สายตาที่ชายหนุ่มมองไปทางไป๋ชิงเหยียนเต็มไปด้วยความรู้สึกนับถือและชื่นชม

มีเพียงการจัดการกับตระกูลบรรพบุรุษไป๋อย่างถอนรากถอนโคลนเด็ดขาดเช่นนี้ คนอื่นๆ ในตระกูลจะได้รู้สึกหวาดกลัว ตระกูลบรรพบุรุษไป๋จะได้ใสสะอาดขึ้นมาจริงๆ

ที่จริง ด้วยฐานะของเจิ้นกั๋วจวิ้นจู่ ไป๋ชิงเหยียนไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงมานั่งจัดการปัญหาเหล่านี้ด้วยซ้ำ หญิงสาวเพียงถอนตัวออกจากตระกูล ทุกอย่างก็จบแล้ว

ทว่า ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้ทำเช่นนั้น ไป๋ชิงผิงรู้สึกขอบคุณไป๋ชิงเหยียนจากใจจริงที่นางยังไม่ทอดทิ้งตระกูลบรรพบุรุษไป๋

ประมุขไป๋วางพู่กันลงด้วยมือที่สั่นเทา ข่มโทสะที่มีอยู่ในใจอย่างยากลำบาก เอ่ยถามไป๋ชิงเหยียน

“เช่นนี้เจวิ้นกั๋วจวิ้นจู่พอใจแล้วหรือไม่”

ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้เอ่ยตอบประมุขไป๋ หญิงสาวหันไปมององครักษ์ไป๋ที่ยืนอยู่ข้างกาย

“กู่เหล่ามาถึงแล้วหรือไม่”

ไม่เพียงแต่ประมุขไป๋ ผู้อาวุโสคนอื่นในตระกูลต่างหวั่นวิตกเช่นเดียวกัน ยังไม่จบอีกหรือ ยังมีต่ออีกอย่างนั้นหรือ

“เรียนจวิ้นจู่ กู่เหล่ารออยู่ด้านนอกครู่ใหญ่แล้วขอรับ” องครักษ์ไปก้าวไปด้านหน้าเพื่อรายงาน

“ให้กู่เหล่าเข้ามาได้” ไป๋ชิงเหยียนยกถ้วยชาขึ้นจิบ กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ไม่นานกู่เหล่ามือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งกอดม้วนไม้ไผ่ไว้แนบอกเดินเข้ามาด้านใน ด้านหลังมีผู้ดูแลบัญชีของตระกูลบรรพบุรุษไป๋เดินตามเข้ามาด้วยร่างที่สั่นเทา

เมื่อประมุขไป๋เห็นไป๋ยงผู้ดูแลตระกูลบรรพบุรุษเดินเข้ามาพร้อมกับกู่เหล่า ร่างของเขาชาวาบทันที รู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูก

“คุณหนูใหญ่ คุณหนูสี่…” กู่เหล่าทำความเคารพไป๋ชิงเหยียนและไป๋จิ่นจื้อจากนั้นกล่าวขึ้น

“บ่าวและไป๋ยงผู้ดูแลตระกูลบรรพบุรุษไป๋พาคนไปตรวจสอบเงิน ของพระราชทาน ที่ดินและกิจการต่างๆ ที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงมอบให้ตระกูลบรรพบุรุษไป๋ในช่วงหลายปีมานี้โดยละเอียดแล้วขอรับ”

ประมุขไป๋ฝืนทนมาทั้งวันแล้ว ร่างกายที่เดิมทีอ่อนล้าจนแทบทนไม่ไหว บัดนี้เซถลาเกือบล้มไปทางด้านหลังเพราะความหวาดกลัว

“ท่านปู่!” ไป๋ชิงผิงเอื้อมมือไปประคองประมุขไป๋จนเกือบล้มลงบนพื้นไปพร้อมกับประมุขไป๋

ประมุขไป๋จับมือหลานชายของตัวเองแน่น รู้ดีว่าไป๋ชิงเหยียนพุ่งเป้ามาที่เขา

“บัญชีที่อยู่ในมือของข้าเหล่านี้คือเงินซึ่งหายไปที่ใดก็ไม่รู้อย่างไม่ทราบสาเหตุและของพระราชทานจากฮ่องเต้ที่ตระกูลไป๋แห่งเมืองหลวงส่งมาให้ตระกูลบรรพบุรุษขอรับ แม้แต่จำนวนที่ดินและกิจการร้านค้าก็ไม่ตรงกับที่รายงานให้ตระกูลไป๋แห่งเมืองทราบในตอนแรก! รายได้จากที่นาทำเลดีและกิจการบางแห่งก็ไม่ตรงกันขอรับ! ประมุขไป๋มักบ่นกับเจิ้นกั๋วอ๋องทุกปีว่าตระกูลบรรพบุรุษไป๋ยากจน หลายครอบครัวในตระกูลบรรพบุรุษยากลำบาก เจิ้นกั๋วอ๋องสงสารคนในตระกูลบรรพบุรุษจึงให้ข้านำเงินออกมาให้ตระกูลบรรพบุรุษ ทว่า เงินเหล่านั้นไม่เคยปรากฏในบัญชีของตระกูลบรรพบุรุษเลยสักนิด!”